ตอนที่แล้วตอนที่ 691 ศัตรู? ก็แค่หินลับมีด!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 693 พญาคชสารไพลินกับอสูรปีศาจหกกร

ตอนที่ 692 เก็บไปเลย เจ้าขอทาน


เขตรอบนอกแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ

นับตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในหุบเขามรณะ เย่เซียว จื่อกวง เยี่ยซู่และอาเป่ยทุกคนรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเปิดประตูลับและเข้าไปใน ‘วิหารนำทาง’ ซึ่งกล่าวกันว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘เทพปัญญา’ ในตำนาน สหายที่ไม่ธรรมดาของเขาทั้งสองคนคือโวกัวและกู่เติ้งได้ออกไปก่อน สี่วันต่อมา เมื่อไม่มีข่าวของทั้งสอง พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ด้วยพลังของทั้งสองคนเว้นแต่พบเจอพื้นที่ภูมิภาคพิเศษ ไม่มีใครในหอทงเทียนเว้นแต่จื้อจุนที่จะฆ่าพวกเขาได้ อย่างไรก็ตามจื้อจุนอยู่ในช่วงขังตัวฝึกฝนเป็นเวลาเกือบเดือน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้ว่ามีคนลอบเข้าไปในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ และปฏิบัติการครั้งนี้ลับมาก ดังนั้นไม่มีใครรู้

โวกัวและกู่เติ้งร่วมมือกัน ต่อให้พวกเขาพบกับอสูรปีศาจโบราณ พวกเขาเชื่อว่าต่อให้สู้ไม่ได้ก็น่าจะหลบหนีออกมาได้อย่างไม่เป็นอันตราย

ทั้งสองคนคงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ของแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ

ภายใต้ความจริงที่ว่าไม่มีปัจจัยรบกวนจากภายนอกใดๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ตายในการรบ พวกเขาจะไม่แสดงความเห็นแก่ตัวใดๆ แต่ทั้งสองคนกลับหายไปอย่างแปลกประหลาด

หมายความว่ายังไง?

เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาถูกคุมขังด้วยกลไกบางอย่าง หรือละเมิดกฎบางอย่างและถูกฆ่าโดยกฎสวรรค์? ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงได้ชักช้าไปถึงสามวัน ตั้งใจว่าจะออกมาในวันเดียวไม่ใช่หรือ? คนที่อยู่ข้างนอกควรจะเข้าไปหรือจากไปดี? ยิ่งอยู่ด้านนอกแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ ก็ยิ่งอันตรายมาก!

เว้นแต่จื้อจุนผู้ขังตัวฝึกปรือเป็นเวลาที่ไม่มีใครรู้ ซากพลังทำลายล้างที่เหลืออยู่หลังจากสงครามระหว่างเทพ ยังคงส่งผลต่อกันกลายเป็นภาพที่มิอาจหยั่งรู้ได้

การอยู่ในที่นี้นานเกินไปนับเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด

“วันนี้ไม่มีอสูรปีศาจอีกต่อไปแล้ว แม้แต่เสียงร้องของแมลงก็หายไปด้วย” จื่อกวงถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าจะมีอันตรายนะ, หัวหน้า! ตัดสินใจเถอะ เราจะเข้าไปหรือจะจากไป?”

“เรารอมาสามวันแล้ว และเราก็ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว” เยี่ยซู่รู้ว่ารอบๆ เงียบอย่างสิ้นเชิง เงียบราวป่าช้า และจิตใจของเขาว้าวุ่น

“เห็นด้วย” เสียงเบาๆ ดังมาจากอาเป่ย

“ถ้าไม่ใช่ศัตรูน่ากลัว อย่างนั้นก็ต้องเป็นพลังทำลายล้างที่กวาดผ่านที่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกของข้าผิดเพี้ยน เวลาที่ภยันตรายมาถึงคงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที” จื่อกวงชี้ไปที่ขอบฟ้า ในท้องฟ้ามีแสงหลายสายพุ่งออกมาจากเมฆเหมือนกับปลาวาฬพ่นน้ำ พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในท้องฟ้า พายุหมุนหลายร้อยลูกปรากฏอยู่ทุกที่อย่างไม่มีเหตุผล สายฟ้าแปลบปลาบอยู่ในระยะไกล และบางครั้งเกิดรอยแยกมิติดูดกลืนวัตถุที่สัมผัส

“ต่อให้ข้าต้องเผชิญกับความยากลำบาก ข้าไม่ยินดีจะทิ้งสหายร่วมกลุ่มเลย แล้วแต่พระเจ้าเถอะ

เย่เซียวหยิบกระดองเต่าออกมา

เขาใช้นิ้วลูบ

แล้วเคาะสามครั้ง

จากนั้นเอาเหรียญโบราณออกมาแล้วปั่นอยู่บนกระดองเต่า

เมื่อเหรียญโบราณหยุดเคลื่อนไหว เขาหยิบเหรียญที่ร่วงขึ้นมาตรวจสอบลวดลายของเหรียญและกระดองเต่า มีลายเส้นกากบาทเบาบางอยู่บนนั้น

หลังจากเย่เซียวและจื่อกวงมองหน้ากันเองสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป และพวกเขาส่ายหน้า

นี่คือสัญลักษณ์ของอันตรายใหญ่

“รีบถอยเถอะ” เย่เซียวไม่คัดค้านการตัดสินใจอีกต่อไป แม้ว่าพรสวรรค์การทำนายของเขาจะใช้งานได้ทุกๆ สามเดือน แต่ก็แม่นยำมาก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถระบุผลที่ตามมาของลางร้ายนี้ แต่การอยู่ที่นี้เพื่อรอโวกัวและกู่เติ้งต่อไปคงเป็นเรื่องที่โง่มาก เป็นไปได้มากว่าจื้อจุนคงทราบข่าวและออกจากการขังตัวฝึกฝนและอยู่ในช่วงการเดินทาง

เมื่อพวกเขาจากไป เย่ว์หยางออกมาจากพายุหมุนและมองดูท้องฟ้าที่ทั้งสี่คนบินจากไปด้วยความเสียดาย

ถ้าเขามีพลังพอ เขาเชื่อว่าทั้งสี่คนนั้นคงไม่สามารถหลบหนีไปได้

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฆ่าหนึ่งในนั้น แต่ยากจะฆ่าได้ทั้งหมด ที่สำคัญคนพวกนี้เหมือนกับนกหวาดเกาทัณฑ์ พอพวกเขาปรากฏตัวก็แยกย้ายกันหนีทันที

เย่ว์หยางคิดแล้วคิดอีกและตัดสินใจทนรออีกสักระยะหนึ่ง

เขาแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ และเขาค่อยมองหาโอกาสที่จะฆ่าพวกเขา

ตอนนี้ เขากำลังเข้าไปในวิหารนำทางและจะฆ่าพวกที่ติดอยู่ในนั้นซึ่งก็คือโวกัวและกู่เติ้ง ตามแผนที่เส้นทางที่จักรพรรดินีราตรีระบุ กลไกในวิหารนำทางไม่ใช่ที่อันตราย สำหรับทหารรับจ้างระดับปราณฟ้าสองคนผู้ติดอยู่ในถ้ำ โวกัวและกู่เติ้ง เขาจะใช้สองคนนี้ทดสอบกระบี่แดงชี่เสี่ยวเหลียนของเขา

ภายในวิหารนำทาง

อันที่จริงโวกัวและกู่เติ้งยังไปไม่ถึงโถงใหญ่ของวิหารนำทางด้วยซ้ำ

พวกเขาเสียเวลามากเกินไปกับทางลับซึ่งมีไม่สิ้นสุด ติดกับและพบกับวิญญาณปีศาจโบราณปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว

เส้นทางลับเส้นแล้วเส้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด สุสานวิญญาณร้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุด อักษรรูนและแท่งแก้วผลึกที่ไม่มีทางเข้าใจได้... หลายอย่างแปลกประหลาดยากจะหยั่ง ตั้งแต่ผ่านเข้าประตูลับที่ไม่ธรรมดา โวกัวและกู่เติ้งรู้สึกมึนชาศีรษะ บางครั้งเมื่อพวกเขาลงไปทางลับพวกเขาพบว่าตนเองมาอยู่หน้ามหาสมุทรกว้างใหญ่ บางครั้งพวกเขาก็ผ่านไปเจอสุสาน พวกเขาพบกับลาวาร้อนไล่ตามหลัง บางครั้งขณะที่พวกเขาเดิน จู่ๆ ถนนก็หายไปและมีอุปสรรคขวางเอาไว้ กับดักอื่นจะเริ่มทำงานและนำพาผู้บุกรุกดิ่งเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งก็มีวิญญาณร้ายรอผู้บุกรุก

วิญญาณร้ายเหล่านี้ไม่มีทางถูกฆ่าได้

ถ้าพวกมันถูกทุบถูกกระแทก พวกมันจะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์แบบทันที

วิญญาณร้ายไม่มีสำนึกเหตุผล มีแต่สาปแช่ง นอกจากร้องไห้สำนึกผิดแล้วบางทียังฉีกผู้บุกรุกเป็นชิ้นๆ และทำให้กลายเป็นพวกพ้องของพวกมัน

“มันบ้าอะไรกัน! มิน่าเล่านักสู้ของหอทงเทียนถึงไม่พยายามเข้ามา! นี่ไม่ใช่สถานที่พิชิตกันได้ด้วยกำลัง!” โวกัวเหมือนกับยักษ์ที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะทางลับมีมากมายไปหมด เขาเป็นนักรบหยาบกร้าน ไม่ว่าจะเป็นอสูรรบ หรือทักษะต่อสู้ เขาให้ความสนใจกับพลังโจมตีหลัก เขาไม่เพียงแต่สู้ได้ในสภาวะแวดล้อมพิเศษอย่างนั้นได้ ถ้าเขาไม่มีพลังชั้นปราณฟ้าระดับสี่ เขาคงกลายเป็นอาหารของวิญญาณร้ายยุคโบราณที่ฆ่าไม่ตายเหล่านั้นไปแล้ว

“ใจเย็น เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ ยิ่งยากลำบาก ผลตอบแทนย่อมยิ่งใหญ่? ถ้ามันง่ายขนาดนั้นวิหารนำทางจะเหลือสมบัติไว้ให้เราหรือ?” แทนที่จะเป็นโวกัว กู่เติ้งจะสู้ในสภาพแวดล้อมพิเศษได้ดีกว่า และเขาเชื่อว่าเขาจะผ่อนคลายถ้าเขาไม่ถูกโวกัวฉุดลาก

“บางทีคงไม่มีวิหารนำทางแต่แรก นั่นเป็นเพียงสิ่งลวง ต่อให้เราเดินวนเวียนไปทั้งชีวิต เราก็ไม่สามารถพบได้

โวกัวกำลังบ่น

อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ในตอนนี้

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงมือที่นี่ได้สำเร็จ ถ้าเขาไม่ได้อะไรออกไป เขาจะไม่ออกไปแน่นอน

ใช้เวลาเกินไปกว่าที่ตกลงกับหัวหน้าเย่เซียวแล้วไม่ใช่หรือ? นั่นไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ นอกจากนี้พวกเขาอาจไม่กลับทางเดียวกับที่พวกเขามา...

หลังจากผ่านเสาผลึกอักษรรูนที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ โวกัวและกู่เติ้งก็มาสุดทางลับและพบกับสุสานใหญ่

หนอนศพนับไม่ถ้วนและโครงกระดูกอยู่ภายในสุสานค้างคาวผีศิลาและปีศาจเอล์ฟดำโบราณ

แม้ว่าพวกเขารู้ว่ามันอยู่ในนั้นทั้งหมด พวกเขายังไม่ต้องการยกเลิกการค้นหา

บางทีคงจะมีทางลับนำไปสู่วิหารนำทาง

หลุมศพจำนวนมากถูกขุดคุ้ย ถ้าพวกเขาพลาดตรงนี้ พวกเขาคงจะบ้า ถ้าพวกเขาพลาดทางลับที่แท้จริงพาไปยังวิหารนำทาง! โวกัวและกู่เติ้งข่มความรู้สึกอยากอาเจียน พวกเขาเรียกอสูรรบออกมาฆ่าสัตว์ประหลาดที่นี่ทั้งหมด แม้แต่ปีศาจเอล์ฟดำที่ไม่มีวันถูกฆ่าก็ยังถูกขับไล่โดยอสูรพฤกษา หญ้าเริงระบำ

ค้นหาอย่างระมัดระวัง ผลที่ได้ช่างน่าผิดหวัง

สุสานว่างเปล่าสิ้นเชิง จากโลงศพหนึ่ง ก็พบอีกโลงศพหนึ่ง...

ทางออกของวงเวทเทเลพอร์ตหนึ่งเป็นทะเลทรายไม่มีที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยทรายเหลืองและเต็มไปด้วยลมรุนแรง และพบกับอีกโลกหนึ่ง

“ฮึ่ม!.... สาบานได้เลยว่าทันทีที่ข้าพบสมบัติสักชิ้น ต่อให้เป็นผลึกเวทชิ้นเล็กๆ ก็ตาม ข้าจะออกไปด้วยความพอใจทันที และจะไม่หาทางนำข้าไปวิหารนำทางอีกแล้ว” โวกัวคำรามด้วยความโกรธ เขาไม่อาจทนรับได้อีกต่อไปและต้องการจากไป แต่เขาอาจตัดใจจากสมบัติที่มากมายเป็นภูเขาเลากาไปอย่างมือเปล่า

“ไปกันต่อเถอะ!” หน้าของกู่เติ้งไม่พอใจ เขากลั้นหายใจตั้งใจหาวิหารนำทาง

เมื่อเขากลับมาที่ทางลับ มีผลึกเวทบริสุทธิ์อยู่ข้างหน้าพวกเขา เปล่งแสงน้ำเงินเลือนราง

โวกัวหยิบขึ้นมาอย่างร่าเริง “แน่ใจพอแล้ว มีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่ง โอว..สวรรค์ แม้ว่าผลึกเวทนี้จะไม่มีพลังมาก แต่มันบริสุทธิ์มาก เป็นผลึกเวทที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาในชีวิต วิหารนำทางมีจริงๆ เร็วเข้า! ไปต่อกันเถอะ เราต้องปล้นวิหารนำทางและกวาดสมบัติออกมาให้หมด แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ สมบัติทั้งหมด เลือดเทพและจิตวิญญาณยุทธ ทั้งหมดต้องเป็นของเรา”

กู่เติ้งไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามกู่เติ้งมีสีหน้าเย็นชา “โวกัว! ก่อนนี้ยังไม่มีผลึกเวท”

โวกัวสับสน ก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วว่านี่คือผลึกเวทไม่ใช่หรือ?

กู่เติ้งแค่นเสียงเย็นชาและกล่าว “มีบางคนตามเราเข้ามา.... เมื่อครู่นี้เขาได้ยินทุกอย่างที่เราพูด นั่นคือสาเหตุให้เขาโยนผลึกเวทมาให้และบอกให้เราถอยกลับไป”

“เจ้าฝันอยู่หรือ ไม่ว่ามันจะเป็นใครเจ้าต้องไม่ไปจากวิหารนำทาง ไม่มีใครสามารถทำให้ข้าจากไปได้”

โวกัวมองดูรอบๆ หาศัตรูซ่อนเร้น

ใครกำลังตามพวกเขา?

เป็นมิตรหรือศัตรู?

ที่มุมทางลับด้านหนึ่งสาวยักษ์ผู้มีผมเหมือนเพลิง เป็นเพลิงนรกที่โหมกระหน่ำ

พลังของนางเพียงพอจะทำให้มุมตาของโวกัวและกู่เติ้งกระตุก นางคือนักรบปราณฟ้าระดับห้า

โวกัวและกู่เติ้งแทบเคลื่อนไหวพร้อมกันก็คือ หนีให้เร็ว

เขาถอยกลับเข้าไปในสุสานใหญ่ราวกับลูกธนู ถือว่าเป็นเรื่องโง่มากถ้าจะสู้กับสาวยักษ์ผู้นี้ซึ่งเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับห้าในทางลับที่คับแคบอย่างนี้ แม้แต่โวกัวที่ขึ้นชื่อในเรื่องความบ้าพลัง เมื่อเห็นการระเบิดพลังของฝ่ายตรงข้าม ก็บอกนัยถึงพลังได้แล้ว สาวยักษ์ผู้นี้แทบจะคล้ายกับเขามาก นางเป็นนักสู้ปราณฟ้าสายรุก การต่อสู้ของนางซึ่งหน้าตรงๆ เป็นเรื่องที่นางทำได้ดี

“ถ้าเจ้าไม่พูดไว้ก่อนนั้นว่า เจ้าจะไม่ขออะไรมาก แค่ได้ผลึกเวทสักชิ้นแล้วก็จะจากไป นั่นอาจทำให้ข้าโยนผลึกเวทอีกสองสามชิ้นให้กับเจ้า เพื่อที่ว่าเจ้าจะได้จากไปด้วยความพอใจ เจ้าจะได้ไม่ต้องมาสู้กันหนักมาก” เมื่อโวกัวและกู่เติ้งกลับมาที่สุสานใหญ่ พวกเขาพบบุรุษคนหนึ่งสวมหน้ากากแปลกประหลาดชั้นแพลตตินัม ไม่รู้ว่าเขามารออยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด

ติง

ผลึกเวทบริสุทธิ์ถูกโยนออกมาจากมือของเขาอีกชิ้นหนึ่ง

มันกระเด้งมาถึงแทบเท้าของโวกัว

ตาของบุรุษหน้าเป็นประกายแวววาวขณะเขาพูดเหน็บแนม “เก็บเอาไปเลย เจ้ายาจก!”

หน้าของโวกัวเขียวคล้ำด้วยความโกรธ

กู่เติ้งสูดหายใจหนาวเหน็บ อย่างนั้นผลึกเวทก็เป็นบุรุษหน้ากากโยนออกมาสินะ หมายความว่ายังไง? หลังจากเขาได้ยินเสียงโวกัวตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาเป็นคนแรกที่โยนผลึกเวทที่ด้านนอกหยอกล้อโวกัวจากนั้นเหยียดหยามถากถางเขา รอให้เขากับโวกัวเข้ามาในสุสาน มีทางลับเพียงทางเดียวที่สามารถพามาถึงต่อหน้าพวกเขาได้ เขาไม่ทันได้สังเกตอีกฝ่าย ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น แค่ความสามารถพรางตัวของเขา แค่นี้ก็ดูถูกไม่ได้แล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด