ตอนที่ 690 อูหม่าเทียน
อูหม่าเทียนยืนตัวตรงแน่ว เขาทำอย่างนี้มาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว
‘คนที่กำลังสูบบุหรี่นี้คือผู้บัญชาการสูงสุดของสัมพันธมิตรใต้หรือ? และเขาเป็นวิญญาณดวงหนึ่งด้วยใช่ไหม? วิญญาณสูบบุหรี่กะเขาได้หรือ? ดูเหมือนบุหรี่ท่าทางจะรสชาติดี วันหลังข้าค่อยถามว่ามันยี่ห้ออะไร...’
ตอนแรกเริ่มเขารู้สึกกลัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกเลือกชื่อให้มาเผชิญหน้าตัวต่อตัวอย่างนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพของกองทัพหยวนซาน แต่ก็เป็นแค่กองพลท้องถิ่น เป็นทหารรักษาการณ์ของเมืองหยวนซานเท่านั้น นั่นเป็นแค่เพียงเมืองเล็กๆ และทหารก็ไม่ใช่กองทัพใหญ่ ในครั้งที่พวกเขาถูกส่งไปคุ้มกันอาคันตุกะในฐานะองครักษ์รักษาสันติภาพและรับคำสั่งคุ้มกันกองคาราวาน
‘ข้าเป็นแค่คนเล็กน้อยทำไมพวกเขาถึงได้รู้จักข้าด้วย?’
‘เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น?หรือว่าจะมีอะไรดีๆ?’ ในระหว่างทาง เขายังคงกังวลถึงเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวก็ตาม เขาไม่เคยทำอะไรเลวทราม และกองทัพที่มีค่าแรงถูกอย่างนั้นพวกเขาไม่เคยได้พบกับความร่ำรวย และสามารถสร้างผลกำไรเล็กน้อยให้กับตัวพวกเขาเองเท่านั้น ผู้บริหารระดับสูงเพียงแต่ทำเป็นมองไม่เห็นกับเรื่องเช่นนั้น
อูหม่าเทียนนึกออกได้ไม่กี่เรื่อง ถ้าระดับสูงถามเขาเกี่ยวกับความผิดของเขา เขาคงจะทวงถามค่าแรงที่ค้างจ่ายเขาหนึ่งปีกับเจ็ดเดือนแน่
แต่เป็นผู้นำกองทัพที่แตกสลาย เขาไม่สนใจอะไรมากนัก
อูหม่าเทียนยากจนและเหน็ดเหนื่อยพยายามสงบใจตนเอง แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในทวีปซางโจวกิจกรรมที่คึกคักและชีวิตที่รุ่งเรืองทำให้เขาตะลึง เรือค้าขายต่างๆเดินทางเข้าออกทวีปซางโจวและโดยรอบก็มีสิ่งเค้าโครงสิ่งก่อสร้าง ป้ายฉูดฉาดเรียงรายไปตามถนนย่านธุรกิจของเมืองหยวนซานกลายเป็นน่าเวทนาเมื่อเทียบกับที่นี่ ประชากรหนาแน่นเหมือนกับมีการเงินที่สะพัดอยู่โดยรอบ
เขาไม่เคยมาทวีปซางโจวมาก่อนในชีวิต แต่เขารู้ว่าทวีปซางโจวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความยากจนแร้นแค้น
สองข้างฝั่งถนนมีอาคารใหม่หลายหลังค่อยๆ ก่อสร้างขึ้นเมืองที่กำลังมีกิจการรุ่งเรืองนี้จะทำให้อูหม่าเทียนมีแรงบันดาลใจมาก
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้นและมีสีหน้าท่าทางสงสัย การสั่นสะเทือนของพลังงานในอากาศให้ความรู้สึกแปลกๆ ‘ดูเหมือนกระแสพลังงานจะถูกควบคุมเอาไว้…’
การค้นพบคราวนี้ทำให้ความคิดที่ซับซ้อนทั้งหมดของเขาหายไป..”
ขณะที่เขาเดินทางต่อไป เขาตระหนักว่านอกจากธุรกิจที่รุ่งเรืองแล้ว ยังมีกองทหารมากมาย นั่นก็ถูกแล้ว กองทัพ เขาเห็นกองทัพอย่างน้อยสี่กองทัพที่แตกต่างกันกำลังฝึกเคลื่อนไหว
เมื่อเขาเห็นปิง เขายิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก
เขายืนอยู่กับที่เป็นเวลาครึ่งวันและปิงทำกับเขาเหมือนกับไม่มีตัวตน อูหม่าเทียนอย่างน้อยก็รู้ว่ากฎเป็นเช่นไร ถ้านายทหารผู้สั่งการไม่พูด ปกติเขาจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยืนตรงอยู่กับที่ความคิดกระเจิดกระจิง
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือปิงกำลังลอบสังเกตเขาอยู่
อูหม่าเทียนมีร่างที่ไม่สูงและไม่ผอม บางส่วนของเส้นผมปรกหน้าผากของเขาดูราวกับว่าไม่ได้อาบน้ำมาสองสามวัน และด้วยใบหน้ากลมป้อมของเขา มีความทุกข์ที่มิอาจอธิบายได้ แววตาของเขาว่างเปล่าทำให้เขามีท่าทีเหมือนเลื่อนลอย บวกกับท่าผ่อนคลาย เขาดูไม่เครียดเลย เขาเหมือนกับโครงกระดูกที่ใกล้จะแตกสลายบนเสื้อผ้าของเขามีคราบน้ำมันใหญ่ที่ยังไม่ได้ชะล้างและดูเหมือนเพิ่งจะเป็นรอยเปื้อนไม่นาน
‘คนผู้นี้เป็นทหารผ่านศึกที่เจ้าเล่ห์แน่นอน’
ประกายในดวงตาของปิงฉายแววหลักแหลมและเปรื่องปราชญ์
ทหารผ่านศึกที่เก่งมักจะมีปัญหาในกองทัพ พวกเขาจะเหมือนกันหมดตามหลักการดูแลตนเองหลังจากซ่อนตัว ดูภายนอกจงรักภักดีแต่ขัดแย้งอยู่ภายในเป็นรูปแบบที่พบได้ทั่วไปจากในเชิงปฏิบัติ ความกล้าหาญของพวกเขาทั้งหมดส่วนใหญ่ถูกบั่นทอนออกไป แม่ทัพบางคนเกลียดที่จะมีทหารผ่านศึกที่มีฝีมืออยู่ในกองทัพพวกเขา เนื่องจากขวัญกำลังใจของหน่วยงานจะแตกทำลายได้อย่างง่ายดาย
แต่นอกจากสิบสามเมืองที่พบกับการโจมตีของโจรสลัด มีเพียงเมืองหยวนซานที่ไล่ล่าโจรสลัดและคนที่นำไล่ล่าก็คืออูหม่าเทียน
“เจ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ปิงถามอย่างเย็นชา เขาสังเกตว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขากำลังใจลอย สีหน้าของเขาเริ่มซึมเซา
“ปัญหา? โอว.. บุหรี่ของท่านดูดีจริงขอรับ ขอสักมวนได้หรือไม่?”
อูหม่าเทียนมึนงงอย่างสิ้นเชิงไม่ทันได้ใช้สมองคิดก็โพล่งความคิดของเขาออกไป และพอเขารู้ตัว หน้าของเขาถึงกับซีดขาว
‘เวรเอ๊ย... ฉิบหายกันละทีนี้, ข้าเพิ่งจะฆ่าตัวตายแท้ๆ! นี่ข้าทำอย่างนั้นได้ยังไง?’
‘คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกที่ข้าพูดกับผู้บัญชาการ คือขอบุหรี่สูบ!’
อูหม่าเทียนรู้สึกว่าวันเวลาเขาถูกตัดสินไปแล้ว ‘หมดกัน, จบกัน, ข้าคงถูกปลดแน่นอนตำแหน่งผู้บัญชาการคงไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องเผชิญหน้ากับการลดขั้นตัวเองหลังจากที่ข้าพยายามเอาตัวรอดมาได้ ข้าคงจะต้องร่อนเร่ไปตามถนน และเสียใจกับการกระทำแน่นอน...”
เมื่อคิดถึงบ้านที่ทรุดโทรมของเขาในอนาคตอูหม่าเทียนเศร้าจนอยากจะร้องไห้
‘พลาดหลุดปากครั้งเดียวจะนำไปสู่ความโศกเศร้าในอนาคตเมื่อข้ากลับบ้าน ข้าจะใช้ความทุกข์ทรมานนี้เป็นบทเรียน และสอนบริวารของข้าทุกคน ดูเหมือนว่าการพูดคุยจากประสบการณ์ตัวเองเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ข้าต้องไม่ลืมที่จะบอกพระราชาผู้ทรงชราภาพว่าพระองค์ค้างหนี้คาแรงข้าสองหมื่นเหรียญ...ใครจะชดใช้หนี้ข้า? พวกเขาสามารถไปได้ แต่หนี้ต้องชดใช้.. เมื่อปีที่แล้วชวนจื่อก็บอกว่าเขาอยากเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้ข้า โอว.. ข้าไม่อยากปล่อยเขาไปเลย เราจะไปกินกันที่ไหน? ข้าต้องคิดถึงเรื่องดีๆ เอาไว้ดีกว่า โอว ใช่แล้วหมูย่าง..หมิงเซิงเคยบอกไว้เมื่อตอนนั้น ข้าไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเอ่... ตอนนี้ข้าชักจะหิวแล้ว...’
ปิงก็ตกใจที่อูหม่าเทียนของบุหรี่เขา เขาพบเจอผู้ใต้บังคับบัญชามาหลายคนแล้ว แต่ไม่มีใครเคยขออะไรจากเขามาก่อน
“เอาไปสิ”
ปิงไม่ตระหนี่และโยนให้อูหม่าเทียนมวนหนึ่งทันที
อูหม่าเทียนที่ยังหมกมุ่นความคิดอยู่กับเรื่องหมูย่างรับบุหรี่ไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว ‘มันเบามาก อะไรกันวะนี่’ เขาหงุดหงิดทันที “ท่านขอรับ,ทำไมหมูย่างเล็กนิดเดียวเอง?”
‘เสแสร้งแกล้งกันชัดๆ!’
เขาเงยหน้ามองดูหมูย่างของเจ้านายอย่างไม่พอใจแต่เมื่อเขาเห็นหน้าชัดเจน เขาเหมือนกับโดนถังน้ำแข็งราดใส่ตัวเขาจรดเท้า เขาอ้าปากกว้างตลอดทั้งตัวกลายเป็นเหมือนรูปปั้นไม่ขยับสักนิด แข็งชะงักอยู่กับที่
“หมูย่าง?” หน้าของปิงเต็มไปด้วยควันมองเห็นไม่ชัด แต่เขาหรี่ตาแคบเปล่งประกายเย็นชาเหมือนกับคมมีด “ในเมื่อเจ้าชอบหมูย่างมากนัก ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงไปทำหน้าที่ย่างหมู แม้ว่าพ่อครัวของเราจะไม่มีเมนูนี้อยู่ด้วย แต่ข้าเห็นด้วยที่จะเพิ่มเมนูนี้เข้าไป เจ้ามีงานเพียงอย่างเดียวนั่นคือจัดหาหมูย่างให้เพียงพอทั่วกองทัพ”
อูหม่าเทียนอ้าปากกว้าง และจ้องมองปิงอย่างว่างเปล่า ถึงเวลานั้นเขาไม่รู้ว่าจะสนองตอบคำสั่งที่น่าเย้ยหยันได้ยังไง
‘จะคุกเข่าร้องขอความช่วยเหลือ? กอดขาของเขา? หรือจะร้องไห้ดี? หรือว่าข้าควรจะแข็งใจบอกว่าข้าไม่ควรทำ? หรือว่าข้าจะถูกยามเฝ้าประตูสองคนฟันและป้อนเลี้ยงสุนัข..’
เมื่ออูหม่าเทียนเรียกสติกลับมาปิงก็หายไปแล้ว
ด้วยคำสั่งนั้นเพียงคำสั่งเดียวเขาถูกย้ายไปอยู่แผนกครัว
ชีวิตของเขามันน่าเศร้าอย่างแท้จริง
อูหม่าเทียนเอาคำสั่งไปด้วยและเดินคอตกไปที่ประตู แสงอาทิตย์ภายนอกไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดในใจเขาได้ เขากำหมัดแน่น หน้าของเขามีแววมุ่งมั่นไม่หวั่นไหวเขาตัดสินใจทำให้เจ้าผีอมควันเข้าใจว่า ‘เจ้าฆ่าทหารได้ แต่หยามกันไม่ได้!’
ความรู้สึกมุ่งมั่นของเขาดึงดูดความสนใจของยามที่เฝ้าประตู เขาเดินออกมาข้างหน้า
“พี่ชาย, แผนกครัวและห้องครัวอยู่ที่ไหน?”
หลังจากส่งอูหม่าเทียนไปที่ห้องครัวแล้ว ปิงยังทำกิจวัตรต่อไป เรื่องเกี่ยวกับโจรสลัดดูเหมือนไม่ส่งผลต่อเขา นอกจากเป็นการเตือนทวีปต่างๆ ให้ยกระดับการป้องกันเขาไม่ได้ลงมือทำอะไรแต่อย่างใด
ภายในห้องบัญชาการมีแผนที่ขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ที่ผนัง มีเส้นสีต่างๆ ขีดเขียนไว้เป็นจำนวนมากทั่วทั้งแผนที่มีแต่ภาพวาดและตัวหนังสือเต็มไปหมด จนคนดูรู้สึกวิงเวียนหัว
กลิ่นควันบุหรี่รุนแรงภายในห้องขณะที่แสงแดดฉายลอดผ่านหน้าต่าง มองเห็นทั้งควันและฝุ่นลอยอยู่รอบๆ บริเวณ
เขายืดเอวและแตะกล่องบุหรี่โดยไม่รู้ตัว แต่เขารีบหยุดโดยเร็ว บุหรี่เพิ่งหมดไปเร็วๆ นี้และเขามีเหลือเก็บไว้น้อยมาก ดังนั้นเขาต้องประหยัด
‘สงสัยจริงว่าตอนนี้ถังห้าวอยู่ที่ไหน’
‘และอาซิ่นกับพวกที่เหลือ พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง’
สถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่มีอะไรน่าท้าทายไปกว่าในอดีต เทียบกับสงครามใหญ่ในสวรรค์วิถีแล้ว อาจนับได้ว่าสบายๆ แต่เวลานั้นแม้ว่าเขาจะวุ่นวายและกังวลมาก แต่ตราบใดที่เขาสั่งการได้ดี เขาก็ไม่มีแรงกดดันมาก เมื่อฟ้าถล่มผู้บัญชาการเหนือเขาจะคอยปกป้องเขาเอาไว้ และเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร
แต่ตอนนี้แรงกดดันทั้งหมดอยู่กับตัวของเขา
ในเวลานั้นเขามักจะนึกถึงถังเทียน แม้ว่าถังเทียนจะห้าวทั้งวันทั้งคืนและไม่มีเวลาใช้ชีวิตตามปกติ แต่สภาพจิตใจของเขาหนักแน่นไม่เหมือนใคร เขาไม่เคยรู้สึกว่าแรงกดดันเป็นเรื่องใหญ่ และถ้าเขาตกอยู่ภายใต้ความเครียด เขาจะแหงนหน้าพูดง่ายๆ “จะต้องไปคิดอะไรกันมากมาย แค่ทำลายศัตรูให้ได้ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง’
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ถังเทียนอยู่ที่นั่นด้วย ปิงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลย
‘ข้าไม่เหมาะจะเป็นผู้นำจริงๆ’
แต่ปิงไม่เคยต้องการเป็นหัวหน้า ‘มันเหนื่อยมาก ชีวิตควรจะมีความสนุก ตราบใดที่ทุกคนอยู่ที่นี่ เดี๋ยวก็ดีเอง สงสัยจริงว่าเมื่อไหร่ถังห้าวจะมาอยู่ที่นี่...’
ในท่ามกลางความงงงวย ปิงทิ้งตัวลงกับโซฟาและงีบหลับ
**********************
เซรีนกลับมายังเมืองสามวิญญาณโดยสวัสดี และทั่วทั้งกลุ่มดาวหมีใหญ่ต่างพากันถอนหายใจโล่งอก สำหรับกลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบันนี้เซรีนเป็นคนสำคัญในยุทธศาสตร์ของพวกเขา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาง จะเป็นความสูญเสียของกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างหนัก
เซรีนเชิดหน้าเดิน ตาของนางเป็นประกายร้อนแรง
อาวุธพลังสายเลือดของกองพลเลือดเซียนมีผลกระทบต่ออารมณ์ของนางอย่างใหญ่หลวง แม้ว่านางจะสามารถนับจำนวนการทำผิดพลาดในอาวุธพลังสายเลือดได้มากมาย แต่ในแง่ของการแสดงออกกองพลภูผาน้ำแข็งไม่ด้อยไปกว่ากองพลเลือดเซียนเลย
แต่สำหรับพี่หญิงใหญ่ที่หยิ่งยโส การข่มอีกฝ่ายหนึ่งอย่างราบคาบเป็นเพียงผลประการเดียวที่นางยอมรับ
นับเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญกับการยั่วยุนับตั้งแต่นางถูกเชิดชูเป็นปรมาจารย์ ทำให้ความตั้งใจสู้ของนางทะยานสูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์
‘งั้นก็เข้ามาเลย!’
นางสาบานในใจจะสร้างอาวุธจักรกลวิญญาณชนิดใหม่ที่สามารถทำลายกองพลเลือดเซียนในทุกด้าน!
ทันทีที่นางกลับมา นางไม่มีความตั้งใจจะพัก นางสวมรองเท้าส้นสูงเดินลงส้นปังๆ เข้าไปในห้องค้นคว้าวิจัย ด้วยรังสีอำมหิตของนางถนนแยกออกเหมือนกับทะเลโลหิตสำหรับนางทำให้ไม่มีใครกีดขวางนาง ขณะนั้นเองใครก็ตามที่ขวางทางนางจะต้องตายอย่างแน่นอน
เมื่อผ่านไปทางห้องฝึกฝน นางหยุดกึกอยู่กับที่หลังจากได้ยินเสียงปะทะกระแทกเป็นชุดๆ
นางหันหน้าไปดูที่สนามฝึกซ้อม สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานางคืออาวุธจักรกลวิญญาณที่แสนจะอัปลักษณ์ในแง่ผลงานที่สวยงามของนาง มันเป็นอาวุธจักรกลวิญญาณที่น่าเกลียดที่สุดตัวถังที่อวบอ้วนมองดูเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ขึ้นอืด
“นั่นมันตัวบ้าอะไรก๊าน?” นางโพล่งคำพูดออกมา
ผี่ผาที่อยู่ข้างๆนางชะเง้อมอง นางอธิบาย “นั่นคือสัตว์ประหลาด”
“สัตว์ประหลาด?” เซรีนตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว, ลั่วซือทำการออกแบบใหม่”ผี่ผาอธิบาย “มีกลุ่มเด็กนักเรียนที่มีผลการฝึกฝนระดับทั่วไป แต่ว่าเข้ากันได้ดีกับสัตว์ประหลาดมาก ดังนั้นลั่วซือจึงทำให้พวกเขาคนละตัว พวกเขาตัดสินใจเรียกตัวเองว่ากองพลสัตว์ประหลาด...”
ก่อนที่ผี่ผาจะพูดจบ นางมองดูร่างสีแดงที่เข้าในสนามฝึกอย่างตกใจ
เซรีนใส่ส้นสูงวิ่งเข้าไปในสนามฝึกนางรีบเร่งตรงเข้าไปหาเจ้าสัตว์ประหลาด