ตอนที่ 687 แสงฤดูหนาว
ในระยะห่างออกไป หลาวแสงขนาดยักษ์แทงใส่อกของเจโรม
อาหลุนและเฉินจื่อหลินยังคงเงียบขณะที่พวกเขาจ้องมองดูการสู้รบอย่างตั้งใจจนได้ผลสรุป
ข้างๆ พวกเขา หน้าของแบร็ดลี่ย์ซีดขาวตลอดทั้งตัวสั่นเทิ้มและหลั่งน้ำตาเต็มหน้า
กองพลภูผาน้ำแข็งที่กำลังปกป้องเซรีนขณะที่พวกเขาออกจากกลุ่มดาววัวได้พบกับหน่วยสังเกตการณ์ของเจโรมและรีบไปดูทันที เมื่อพวกเขาเห็นการต่อสู้ ก็ได้ผลสรุปไปแล้วและพวกเขาอยู่ห่างจากสนามรบยี่สิบลี้ และเป็นขีดจำกัดของการดูการต่อสู้ได้ดี
พื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ ต่อหน้ากองพลเลือดเซียน กองพลเขากระทิงอ่อนแอราวกับทารก
“พวกนั้นคืออาวุธพลังสายเลือด!” เฉินจื่อหลินพูดเสียงไม่สบายใจ จากสำนักข่าววิทยายุทธอมตะ เขาเชี่ยวชาญและรอบรู้ และสามารถมองเห็นเบื้องหลังของสัตว์ประหลาดสีขาวได้
“อาวุธพลังสายเลือด!” อาหลุนสั่น “สมาพันธ์ชาวยุทธไปได้อาวุธพลังสายเลือดมายังไง?”
การมีอยู่ของอาวุธพลังสายเลือดไม่ใช่ความลับสำหรับกองพลจักรกล ครั้งหนึ่งท่านปิงก็เคยประเมินค่าเอาไว้สูงและนำมาเป็นศัตรูตัวอย่างในชั้นเรียน แต่ไม่มีใครเคยเห็นอาวุธพลังสายเลือดที่แท้จริงมาก่อน ดังนั้นเมื่ออาหลุนตระหนักว่าสัตว์ประหลาดสีขาวเหล่านั้นคืออาวุธพลังสายเลือด เขาจึงตกใจ
อาหลุนขมวดคิ้ว “อาวุธพลังสายเลือดของสมาพันธ์ชาวยุทธทรงพลังมากกว่าที่นายท่านพูดไว้เหมือนกับว่านั่นเป็นอาวุธลับของพวกเขา”
“จ้าววานรหิมะระดับเก้า” เฉินจื่อหลินพูดอย่างเฉยเมย “แค่ด้วยพลังของมันล้วนๆก็สามารถสู้กับนักสู้ระดับทองได้แล้ว ดูแสงสีขาวสินั่นคือรัศมีที่สร้างขึ้นมาด้วยการสะท้อนของพลังปราณแท้ของนักสู้สมาพันธ์ชาวยุทธ วิทยายุทธของสมาพันธ์ชาวยุทธวิชาจิตวิญญาณล้วนทรงพลังมาก มันน่าจะถูกถ่ายเทมาจากพลังสายเลือดเฉพาะบางอย่าง คู่ต่อสู้ของเราปรากฏตัวแล้ว”
อาหลุนเข้าใจประโยคสุดท้ายของเฉินจื่อหลิน จากเริ่มแรก กองทัพจักรกลไม่เคยมีศัตรู ในวงการวิชาจักรกลไม่มีสถานที่ใดสามารถต่อต้านเมืองสามวิญญาณได้ ตระกูลอื่นที่ผลิตอาวุธจักรกลวิญญาณ อย่างน้อยยังห่างจากพวกเขาสองชั่วคน
ในวงการวิชาจักรกล พวกเขามักจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ ไม่มีฝ่ายตรงข้ามที่น่าเกรงขามในสายตาของพวกเขา
ศัตรูเก่าของพวกเขาก็ปรากฏในที่สุด อาวุธพลังสายเลือดถูกเข็นออกมาโดยสมาพันธ์ชาวยุทธมีทั้งพลังและความแข็งแกร่ง
“ดีมาก” อาหลุนพูดแค่สองคำ จากนั้นหมุนตัวและจากไป
แบร็ดลี่ย์กำหมัดแน่น เส้นเลือดของเขาปูดออกมาตามผิว ทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้มมากขึ้น น้ำตายังคงไหล สหายของเขาตายในสนามรบ เป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ แบร็ดลี่ย์ต้องการจะเช็ดน้ำตา แต่ไม่ว่าเขาพยายามมากเพียงไหน ภาพก็มักจะเลือนลางเพราะสายน้ำตาบดบัง เขาคือเจ้าชายแห่งกลุ่มดาววัว และแบกความหวังของบ้านเกิดไว้บนหลัง เขาต้องการจะแข็งแกร่งและไม่ยอมเป็นรองจากผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งในอดีต แต่ทำไม...
‘ทำไมถึงมีคนที่ยินดีจะทุ่มชีวิตให้กลุ่มดาวที่ผิดพลาดและสิ้นหวังอย่างนี้ด้วย?’
“พวกเจ้า...จะเป็นเหมือนเจโรมทุกคนไหม?”
เพราะเหตุผลบางอย่าง แบร็ดลี่ย์ถาม
อาหลุนหยุด หน้าของเขาดูเหมือนจะภูมิใจ “เป็นอย่างเขาน่ะหรือ? ไม่! เราไม่เหมือนพวกเจ้า ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเราจากแนวหน้าของกลุ่มดาวหมีใหญ่จนถึงวังของเรา ทุกตารางนิ้วและหญ้าทุกต้นจะกลายเป็นสนามรบ กลายเป็นสถานที่ๆเราใช้ฝังกระดูกและกลายเป็นแผ่นดินแห่งความตาย ประชาชนชาวหมาป่าทุกคนไม่ว่าหญิง ชาย เด็กหรือคนแก่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าพวกเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ก็จะวิ่งเข้าสนามรบและสู้จนตัวตาย”
เฉินจื่อหลินมองดูเขาและพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น สำนักกระเรียน,มังกรและสำนักยุทธอมตะคงไม่สบายใจกันหมดแน่”
“ก็อาจจะ” อาหลุนพูดอย่างเฉยเมย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจ เขาไม่คิดว่าความภักดีของคนอื่นจะเทียบได้กับประชาชนชาวหมาป่า แต่เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการทะเลาะ
เมื่อเขาเห็นแบร็ดลี่ย์กำลังร้องไห้ เขาพูดแค่เพียงประโยคเดียว “ล้างแค้นให้พวกเขา”
สายตาของเซรีนมองดูกองพลเลือดเซียนในระยะห่าง นัยน์ตาของนางตื่นเต้นเหลือเชื่อ
‘ในที่สุดเราก็ได้คู่ต่อสู้ที่คู่ควร?’
‘นั่นช่างน่าตื่นเต้น’
****************
ซานเหม่าไม่ได้ใช้ค้อนแสง แต่ใช้หอกแสงแทงอกของเจโรม
เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรจะปล่อยร่างไว้ให้ครบแม้ว่าจะตายก็ตาม
“พวกเจ้าน่าจะเป็นทหารกล้าชุดสุดท้ายของกลุ่มดาววัวแล้ว”
พูดเพียงแค่นั้น เขาหันหลังและปล่อยร่างที่ปราศจากชีวิตของเจโรมไว้
หลิวย่าจือจ้องมองซานเหม่าด้วยท่าทีไม่พอใจ เขาโวยวายด้วยเสียงที่ยากจำแนกโกรธเหมือนกับอสรพิษ “ไม่เพียงแต่เราไม่สามารถโค่นพวกเขาในการโจมตีครั้งเดียวไม่ได้เท่านั้นเราฆ่าพวกเขาได้เพียงหกคน!”
“พวกเขามีเซียน” ซานเหม่าตะโกนเสียงดัง “เลิกสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เสียที ดูเราทำลายทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของดาววัวได้แล้ว ตอนนี้พวกเขากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“มีศัตรู!” ทันใดนั้นหน่วยสังเกตการณ์คนหนึ่งชี้ไปที่ไกลๆ“นั่นไง!”
หลิวย่าจือตาเป็นประกาย “นั่นเซรีนไม่ใช่หรือ? จับนาง!”
ซานเหม่าห้ามเขา “เรายังไปยุ่งกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ได้ในตอนนี้”
“นั่นคือเซรีน! ตราบใดที่เราจับนางได้,กลุ่มดาวหมีใหญ่ก็จบกัน ไม่มีใครอื่นจะสามารถต่อต้านเราในเรื่องอาวุธจักรกล นางมีค่ามากกว่ากลุ่มดาววัวเสียอีก!” หลิวย่าจือตื่นเต้นจนหน้าบิดเบี้ยว
“แต่นี่จะมีผลต่อแผนการของกลุ่มดาวกวงหมิงของนายท่าน” ซานเหม่าไม่ยอมลดราวาศอกเหมือนกัน “ถ้าเจ้าแตะต้องเซรีน กลุ่มดาวหมีใหญ่จะไม่ยอมหยุดสู้กับเราและเราจะต้องเริ่มสงครามทันที พวกเขาแข็งแกร่งมากกว่ากลุ่มดาววัวนะ!”
หลิวย่าจือจ้องมองจนตาแดงและพูดอย่างชิงชัง“เจ้าจะต่อต้านข้าหรือ?”
“เพื่อให้ตัวเจ้าเองได้ดี”ซานเหม่าพูดไม่แยแส “นายท่านจะไม่ยอมให้ใครทำให้เขาแผนเสีย ไม่ว่าใครก็ตาม”
ทั้งสองจ้องมองกัน บรรยากาศตึงเครียด
หลิวย่าจือย่นหน้าผาก ตาของเขาจ้องมองอย่างดุดัน แต่เขาพูดด้วยความโกรธและไม่พอใจ “ตอนนี้เราจะปล่อยนางไปก่อน แต่ครั้งต่อไปเจ้าบังอาจค้านข้า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”
“สบายใจได้, ข้าละเกลียดนักกับการตามเช็ดล้างเรื่องคนอื่น”
ซานเหม่าพูดอย่างเฉื่อยชา ทันใดนั้นเขาเงยหน้า ชั้นแสงบางๆฉายขึ้นในท้องฟ้า
กระตุ้นเมืองสมบัติ!
บนเส้นทางกรวดในที่ไกล แสงม่านพลังหนาแน่นก่อตัวขึ้น
ซานเหม่าไม่สนใจและออกคำสั่ง “ให้แจ้งไปที่เมืองว่ามีเวลาครึ่งชั่วโมงให้ยอมแพ้ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับการไว้ชีวิต”
กองพลเลือดเซียนเคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยแนวโน้มที่ทรงพลังมุ่งหน้าสู่เมืองแซนดี
สิบนาทีต่อมาเมืองแซนดี้ที่ปลดปล่อยแสงม่านพลังก็ยอมแพ้ต่อกองพลเลือดเซียน
โอวหยางซือและจั่วเยี่ยนหยุด พวกเขาเงยหน้ามองแสงเจิดจ้าที่คลุมท้องฟ้ายามราตรีของเมืองแอรีส เมืองโบราณที่มีอายุมานานแล้วกำลังมอดไหม้ในสงคราม
ทุกคนกำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด
แม้ว่าตาของพวกเขาจะแดง แต่พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงร้อง
โอวหยางซือตะโกน “คงมีสักวันที่เราจะต้องชิงดาวกลับคืนมาอีกครั้ง!”
จั่วเยี่ยนยังคงใจเย็น “เราจำเป็นต้องฉวยโอกาสขณะที่ยังอยู่ในความวุ่นวายออกจากกลุ่มดาวแกะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านหลิงซิ่วจะไม่ทำอะไรขณะที่มองดูสมาพันธ์ชาวยุทธช่วงชิงกลุ่มดาวแกะไป”
คำพูดของจั่วเยี่ยนทำให้ทุกคนมีประกายแห่งความหวัง ทหารทุกคนที่กำลังหนักแน่นและบาดเจ็บไม่มากต่างประคับประคองกันและกัน พวกเขาหายไปในเวลากลางคืน
เพื่อฟื้นคืนกองกำลังแกะน้ำแข็ง ทั้งสองคนได้ลอบกลับมากลุ่มดาวแกะและพบผู้เยาว์หลายคนที่มีความเชื่อและแนวคิดเหมือนกัน เมื่อกลุ่มดาวแกะล่มสลายในเงื้อมมือของสมาพันธ์ชาวยุทธ พวกเขากังวลและรู้ว่ากลุ่มดาวแกะอ่อนแอขณะที่กองกำลังกวางขนดำพังทลายสิ้นเชิง
สมาพันธ์ชาวยุทธมาเร็วมากกว่าที่พวกเขาคาด
แม้ว่าพวกเขามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งก็ตาม แต่พวกเขาไม่แข็งแกร่งและไม่มีการร่วมมือกันเผชิญหน้ากับสมาพันธ์ชาวยุทธ พวกเขาจนใจอย่างทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั้นโอวหยางซือและจั่วเยี่ยนได้แต่พาคนกลุ่มหนึ่งออกไปจากกลุ่มดาวแกะภายใต้ความยุ่งเหยิงกลับมายังกลุ่มดาวหมีใหญ่
********************
ฌอนสังเกตดูวังแอรีสตกอยู่ในท่ามกลางเพลิงและถอนหายใจอย่างเสียใจ ชีวิตมนุษย์ช่างไม่แน่นอนจริงๆ
เขาใช้ความพยายามนับไม่ถ้วนอย่างระมัดระวังและต่อเนื่องในที่สุดก็ได้ตำแหน่งของหัวหน้าสาขาทองที่สิบ ในเวลานั้นเขายังอายุเยาว์และมั่นคงมีความทะเยอทะยานมาก ต้องการจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ เขาสร้างกองพลใบไม้แดงและพยายามรักษาพื้นที่ของตัวเองให้โจนรับตำแหน่งผู้บัญชาการ หลังจากนั้นเขาใช้เวลาสร้างวิชาลับ ‘แสงใบไม้ร่วง’ ทำให้นักสู้ระดับทองมีศักยภาพไม่มีขีดจำกัด
ในพริบตาเดียวโจนตาย และกองพลที่สิบถูกทำลายสิ้นเชิง
เขาเป็นเหมือนตกนรกโดยตรง ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นนายทหารผู้ช่วยของเขา สมาชิกส่วนใหญ่ของสาขาทองที่สิบไม่มีใครรอด และเมื่อเขาคิดว่าชีวิตของเขาจบ ผู้อาวุโสอันก็ช่วยเขาไว้
เพื่อป้องกันไม่ให้พูดมากผู้อาวุโสอันหวังว่าเขาจะอยู่เงียบๆ สักช่วงเวลาหนึ่ง
จากนั้นฌอนถูกส่งไปอยู่ที่ภูเขาไกลออกไปซึ่งเขาได้พบกับนายทหารผู้ช่วยเก่าของเขาและสมาชิกหลักของสาขาทองที่สิบ พวกเขาทุกคนได้รับภารกิจเดียวกันคือให้ดำเนินการค้นคว้าและเสริมกำลังของกองพลแสงใบไม้ร่วงต่อไป
และวัตถุสำหรับทดลองก็คือนักสู้ระดับทอง
ผู้อาวุโสอันขอร้องให้พวกเขาใช้แสงใบไม้ร่วงเพื่อทำให้นักสู้ระดับทองก้าวเข้าเป็นนักสู้ระดับเซียนให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้
คำขอนี้ที่ขัดกับสามัญสำนึกทั่วไปนี้ทำให้ฌอนและพวกมองเห็นความหวัง พวกเขาหมกมุ่นตัวเองอย่างหลงใหลและเต็มความสามารถ และในที่สุดก็สร้างแสงฤดูหนาวขึ้นมาซึ่งแข็งแกร่งกว่าแสงฤดูใบไม้ร่วงมาก
มันสามารถทำให้แอ่งตันเถียนของนักสู้ระดับทองเปลี่ยนแปลงและสร้างสภาวะที่พิเศษคล้ายกับสนามพลังวิญญาณและจากนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าใจวิชาจิตวิญญาณบางอย่าง
ทางลัดทั้งหมดจำเป็นต้องมีราคาตอบแทน และแสงฤดูหนาวก็ไม่ได้ยกเว้น มันทำให้แอ่งตันเถียนเปลี่ยนไปและโครงสร้างปราณแท้ที่มั่นคงแต่เดิมจะถูกทำลายกลายเป็นความอ่อนไหวต่อการถูกกลืนกินอย่างมาก เพื่อควบคุมการถูกกลืนกิน ฌอนไม่มีทางเลือกได้แต่สร้างยาทำไปตามอาการซึ่งก็มีประโยชน์หลายอย่าง
นอกจากนี้ ‘สนามพลังวิญญาณฤดูหนาว’ ไม่ใช่สนามพลังวิญญาณที่แท้จริง จึงไม่สามารถทนต่อการสู้รบยาวนานในด้านหนึ่ง เป็นเพราะโครงสร้างของมันไม่มั่นคงพอ อีกอย่างหนึ่งพลังปราณแท้ของนักสู้ระดับทองไม่สามารถสนับสนุนวิชาจิตวิญญาณได้ และเมือพลังปราณแท้ไม่พอก็จะเผาผลาญพลังชีวิตของนักสู้ ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาผ่านการต่อสู้รุนแรงนักสู้จะอ่อนแออย่างมาก
แต่ความอ่อนแอนี้ไม่มีผลต่อพลังของกองพลฤดูหนาว
กองพลเซียนที่ถูกสร้างขึ้นมาสวรรค์วิถีไม่ได้เห็นมานานเท่าใดแล้ว?
แม้ว่าพวกเขาจะโผล่ออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ แต่พลังของกองพลฤดูหนาวก็น่ากลัวมาก
โจมตีกลุ่มดาวแกะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากมาย ก็แค่ส่งหน่วยเล็กๆ ไปพวกเขาก็ตัดสินผลการรบได้แล้ว
ไม่มีข้อสงสัย แม้ว่ากองพลฤดูหนาวจะถูกสร้างขึ้นมาแบบผิดทำนองคลองธรรม แต่ก็ยังเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน
แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เมื่อได้เห็นกลุ่มดาวแกะตกอยู่ในเปลวเพลิงฌอนไม่รู้สึกมีความสุขเลย แต่กลับมีอารมณ์ความรู้สึกแทน กองพลแกะน้ำแข็งครั้งหนึ่งเคยกวาดไปทั่วสวรรค์วิถี แต่ใครจะรู้ว่าวังแอรีสจะถูกทำลายด้วยไฟสงครามเล่า?
‘ข้าว่านี่ก็หมายความว่าข้าได้สร้างผลกระทบในประวัติศาสตร์สวรรค์วิถีเสียแล้ว’
ฌอนเยาะเย้ยตนเอง