ตอนที่ 686 ตอบโต้ตอนใกล้ตาย
ซานเหม่าเดินขึ้นมาข้างหน้าขบวน
ก่อนเข้าร่วมกับกองพลเลือดเซียน เขาไม่เคยสนใจอาวุธจักรกลวิญญาณมาก่อน พอๆกับอาวุธพลังสายเลือด แต่ซานเหม่ามากล้นประสบการณ์และมีใจรักการศึกษามากเป็นพิเศษ เขาเข้าใจจักรกลรบแบบใหม่ได้อย่างรวดเร็วและไม่นานหลังจากนั้นก็ได้รู้จักหมดทั้งกองพล
หลิวย่าจือตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผู้ช่วยนายทหารนี้ดูไม่ชอบใจเสียเลย แต่เขามีความรู้สึกสมดุลสัญชาตญาณในการรบเฉียบพลันและเป็นนักสู้สายจักรกลโดยธรรมชาติ
พลังของซานเหม่าเหนือกว่าหลิวย่าจือมาก และการตัดสินในเรื่องกลยุทธไม่ใช่สิ่งที่หลิวย่าจือเทียบได้กลุ่มอาวุธสายเลือดเป็นส่วนขยายขององค์การวิญญาณมืด ขณะที่ซานเหม่าเป็นศิษย์ระดับสูงที่สมาพันธ์ชาวยุทธคัดสรรมา
โดยไม่พูดอะไรสักคำหลิวย่าจือมอบกองพลเลือดเซียนทั้งหมดให้กับซานเหม่าและหมกตัวเองอยู่กับการค้นคว้าและพัฒนาอาวุธพลังสายเลือดรูปแบบใหม่
“ท่านบอกว่าเราจำเป็นต้องเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยกระบวนท่าเดียว ใครมีความคิดอะไรดีๆ บ้างไหม?” ซานเหม่าพูดเสียงอ่อนโยน
ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ซานเหม่าเป็นบุคคลเด่นในสมาพันธ์ชาวยุทธ จากผู้สนับสนุนที่รู้จักกันดีในเรื่องความเข้มงวดและมีระเบียบวินัยของสมาพันธ์ชาวยุทธ บุคลิกของซานเหม่าไม่ค่อยจริงจังและไม่ค่อยได้รับความสนใจจากทหารที่เหลือ ทหารทุกคนไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผู้บัญชาการของเขา
ในวันหนึ่งหลังจากเข้ากองทัพซานเหม่าถูกทหารสิบเจ็ดคนเตือนให้ระวังมารยาทของเขา
ซานเหม่ามักจะทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีการของเขาและไม่มีความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ทุกคนค่อยๆ ชินกับเขา แต่ความเข้มงวดและมีระเบียบวินัยของสมาพันธ์ชาวยุทธฝังแน่นอยู่ในใจของพวกเขานานแล้ว
ดังนั้นสำหรับพวกเขาผู้บัญชาการของพวกเขาช่างน่ารำคาญนัยน์ตา
ไม่มีใครใส่ใจเขา แต่ซานเหม่าก็ไม่แยแสเช่นกัน หลังจากหาวแล้ว เขาคราง “หลังจากสู้เสร็จแล้ว ข้าของีบให้สมใจสักตื่น”
“เป็นกลุ่มคนที่น่าเบื่อ” ซานเหม่าเหยียดแขนเหยียดขา “ก็ได้งั้นมาจบลงในท่าเดียว กระบวนท่าเป็ดจู่โจม!”
หน้าของทหารเขียวคล้ำทันที ทุกครั้งที่พวกเขาได้ยินชื่อกลยุทธอารมณ์ของพวกเขาเป็นต้องหงุดหงิดทุกที ‘กระบวนท่าเป็ดจู่โจม? นี่เห็นเราเป็นตัวอะไรวะนี่? ตั้งชื่อเป็นค้อนเซียนถล่มข้าศึกไม่ดีกว่าหรือ?’
แต่กลยุทธนั่นถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของซานเหม่าเพราะเหตุนั้นเขาจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถตั้งชื่อได้ตามที่ตนเองต้องการ
แม้ว่าส่วนใหญ่ที่ใช้อาวุธพลังสายเลือดจะมีหน้าเขียวคล้ำไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ยังตั้งกระบวนอย่างไม่ลังเลใจ แถวสามแถวปรากฏอยู่ด้านหลังซานเหม่าแล้วก่อตั้งขบวนเป็นปีกหนาสองด้านปรากฏเป็นรูปเป็ดขาวสยายปีกอย่างน่าประทับใจ
ภายในกองพลเลือดเซียน อาการหยอกล้อของซานเหม่าหายไปและกลายเป็นจริงจังขึ้นมา
เป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่นำกองพลเลือดเซียนเข้าทำศึก และเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กลยุทธที่เขาสร้างขึ้น ‘กองพลนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความพยายามและเงินทุนของผู้อาวุโสอันและด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาของหลิวย่าจือทั้งหมดทุกคนทำงานหนักมาเป็นเวลานาน และศึกนี้จะไม่มีความหมายหรือ?’
ทันใดนั้นเขาเข้าใจความคิดของหลิวย่าจือ
หลิวย่าจือยอมรับว่ามีความตั้งใจจะจัดการกองพลภูผาน้ำแข็ง แต่เจ้าคนบ้าคลั่งและหัวรุนแรงต้องการใช้วิธีนี้ของเขาบอกไปทั่วทั้งสวรรค์วิถี
กลุ่มเลือดเซียนมาถึงแล้ว!
‘ใช่แล้วกองพลเขากระทิงอ่อนแอ แต่ก็ยังมีชื่อเสียงมาก
สีหน้าของซานเหม่ากลายเป็นเคร่งเครียดและเลือดในร่างของเขาเริ่มเดือด ปราณแท้ในร่างของเขาสะท้อนกับอาวุธเลือดเซียนที่สว่างเป็นรัศมีขาวคล้ายกับรัศมีที่คุ้นเคยของสมาพันธ์ชาวยุทธทำให้เขาเฉยเมยเล็กน้อยและเข้าสู่สภาวะใจที่ประหลาด
สายตาของเขาเย็นชามากเหมือนกับเครื่องจักรสงครามที่หยุดไม่ได้และไม่มีอารมณ์
ในแสงรัศมีที่ครอบคลุมตัวเขาอยู่ได้ขยายสัมผัสที่หกของเขาจนเต็มไปทั่วสนามรบอย่างรวดเร็วใจของเขากระจ่างทั่วสถานการณ์ กองพลเลือดเซียนของเขาแต่เดิมเงียบเสียงสนิท ทุกคนถูกแสงสีขาวคลุมรอบตัวไว้ กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ไปทั่วพื้นที่ แต่ไม่มีคนใดในกลุ่มพวกเขาดูเหมือนมีชีวิตเลย
ซานเหม่าเหยียดมือออกรวมพลังแสงไว้ในมือของเขาสร้างเป็นค้อนแสงด้ามยาวสีขาว
หน่วยเลือดเซียนที่อยู่ด้านหลังเขายังคงเป็นด้ามยาวของค้อนแสง ขณะที่หน่วยเลือดเซียนที่ประจำอยู่ปีกด้านข้างเป็นเหมือนขวานแสง
ซานเหม่ายกค้อนแสงในมือของเขา
พรึ่บ หน่วยเลือดเซียนทุกคนนั่งหมอบกับพื้นและรังสีขาวสว่างขึ้นเหมือนสายน้ำก่อตัวเป็นอันเดียวกัน
เจโรมไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ข้างหน้าเขาคืออะไร เขาไม่เคยได้ยินชื่ออาวุธพลังสายเลือดมาก่อนแต่รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวที่แผ่มาจากพวกเขาทำให้เขารู้สึกเหมือนเขาตกอยู่ภายใต้การโจมตี
แสงสีขาวที่น่ากลัวคือพลังงานที่หนาแน่นมาก และแม้แต่อากาศที่อยู่ในสายตาของเขาเริ่มบิด
‘นั่นคืออาวุธลับของสมาพันธ์ชาวยุทธหรือ?’
เจโรมสูดหายใจและตะโกนลั่นทันที “พวกเจ้าทุกคนควรจะกลัวอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงของผู้บัญชาการตะโกนลั่นทหารที่กังวลอยู่แล้วก็เริ่มตกใจ
“ข้าเองก็กลัวเช่นกัน”
เจโรมยอมรับว่าดึงดูดความสนใจทหาร ‘ผู้บัญชาการพยายามจะพูดอะไร?’ ทหารในกองพลเขากระทิงมีความเคารพผู้บัญชาการที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างลึกซึ้ง
“แต่,ข้าไม่สามารถพาพวกเจ้าทุกคนยอมแพ้ได้” เสียงของเจโรมดังออกมาจากเกราะ “เพราะพวกที่อยู่ต่อหน้าพวกเจ้าคือผู้รุกราน ข้ารู้ไม่มีใครในพวกเราที่สามารถช่วยพวกเราจากวิกฤติการณ์ที่สิ้นหวังนี้ เราจะถูกทำลายเหมือนกับกลุ่มดาวกุมภ์”
พวกทหารตกใจ‘กลุ่มดาววัวกำลังจะตาย? เราเป็นกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาไม่ใช่หรือ?เราคือกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ๆ เราจะถูกทำลายได้?”
แต่ทุกคนรู้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขาไม่ได้กุเรื่องขึ้น ศัตรูที่ถือธงสมาพันธ์ชาวยุทธไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร
ทุกคนยังคงรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อกลุ่มดาวกุมภ์ที่ถูกทำลายรู้สึกเห็นใจกับกลุ่มดาวที่รวยที่สุดถูกทำลายไปในลักษณะนั้น
‘ทำไม?’
‘กลุ่มดาววัวและสมาพันธ์ชาวยุทธไม่ได้มีความแค้นใจอะไรต่อกัน? แล้วทำไม?’
ความโศกเศร้าเต็มอยู่ในบรรยากาศ พวกทหารอายุน้อยอดร้องไห้ไม่ได้ นายทหารระดับล่างอื่นๆ รู้สึกสูญเสียสีหน้าของพวกเขาสูญเสียพวกเขารู้เรื่องที่น่ากังวลมากกว่าผู้บริหารระดับสูงเสียอีกและพวกเขารู้สึกสิ้นหวัง
“ข้าไม่สามารถพาพวกเจ้าทุกคนยอมแพ้ได้ เพราะข้าไม่กล้าทิ้งหน้าที่ไว้ที่อาณาจักรของเรา ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นพูดว่ากองทัพนี้ไม่กล้าตอบโต้แม้เมื่อพวกเขาบอกว่ากำลังจะทำลายกลุ่มดาววัว ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นพูดว่าคนของกลุ่มดาววัวไม่มีความกล้าหาญแม้แต่น้อย เรามีหน้าที่ต้องปกป้องบ้านของเรา และนี่คือความรับผิดชอบสุดท้ายของเรา ถ้าพวกเจ้ายินดีก็จงอยู่ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ยินดี ก็ไปเสียเถิด”
เสียงของเขาดังก้องไปทั้งท้องฟ้า
ทุกคนสงบใจลงแต่ไม่มีใครจากไป
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม มันอาจมาจากความภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักระนาบสุริยุปราคา อาจมาจากสิ่งที่เจโรมพูด อาจมาจากความไม่พอใจและโกรธเกรี้ยว แต่ไม่มีใครจากไป ทหารทุกคนฟื้นคืนจากความเศร้าโศกและมีความมุ่งมั่น
แต่พวกลูกหลานจากตระกูลสูงส่งแตกต่างสิ้นเชิง
“เจโรมบ้าไปแล้ว เขาบ้าจริงๆ โอวพระเจ้า, สมาพันธ์ชาวยุทธ! นั่นคืออาวุธลับของสมาพันธ์ชาวยุทธ!”
“เราไม่ใช่ศัตรูของพวกเขา เราต้องหนี!”
หน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกลัวพวกเขาเกลียดที่ว่าเกิดมามีแค่สองขาต่างวิ่งหนีเหมือนนกกระเจิดกระเจิง พวกเขามีความคิดอย่างเดียวอยู่ในใจคือมันจบแล้ว จบสิ้นแล้ว ต้องหนี
เจโรมไม่อาจเอาใจใส่พวกเขาได้ เขากระจายกำลังตามกลยุทธทหารของเขาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายตรงข้าแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาจะคิดได้และไม่มีกระบวนศึกใดที่สามารถส่งผลได้
“พวกเขาคิดจะปิดฉากพวกเราด้วยการโจมตีกระบวนท่าเดียว เราต้องให้พวกเขาได้รู้ว่าพวกเขาต้องการจะกลืนกินเราทั้งตัว พวกเขาต้องระวังกระดูก จำการฝึกฝนป้องกันที่เราได้ทำกันเป็นประจำวันให้ดี ศัตรูแข็งแกร่งมากกว่าเรา พวกเขาไม่ต้องการลากการต่อสู้ออกไปยาวแน่ และจะต้องใช้การบุกสุดกำลัง เราจะสร้างแนวป้องกันที่เราได้ฝึกไว้เพื่อสลายพลังทำลายของพวกเขาหลังจากกระบวนศึกของเราสลายไป จะเป็นการสู้เพื่อตัวพวกเจ้าเอง จำไว้อย่าฝืนสู้ เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา รีบรวมตัวและสู้กันเป็นกลุ่ม”
การฝึกสร้างแนวป้องกันเป็นการฝึกฝนที่เป็นเอกลักษณ์ของกองพลเขากระทิงส่วนใหญ่เป็นการฝึกฝนการประสานความสามารถของทหารร่วมกัน ทหารจะสร้างกลุ่มและกระจายจากรูปขบวนเหมือนการก่ออิฐรูปแบบต่างๆ รูปแบบนี้จะแตกสลายเมื่อถูกโจมตี แต่ส่วนที่ยากที่สุดของการฝึกก็คือเมื่อถูกแยกโจมตีจะแยกกระจายไปบนร่างทหารและจำเป็นต้องประสานงานและความสามารถในการสู้กับอีกฝ่ายให้ได้
แต่การตั้งกระบวนศึกนี้ไม่มีความสามารถในการรุกแต่อย่างใดและเมื่อแยกกันกระบวนศึกจะสลายตัวสิ้นเชิง ในการสู้รบ, กระบวนศึกเป็นพื้นฐานของกลยุทธ กระบวนศึกที่สลายตัวกระจัดกระจายจะไม่สามารถสร้างผลโจมตีใดๆได้ นั่นคือสาเหตุที่มันไม่สามารถใช้งานในสนามรบได้
เมื่อเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง เจโรมคิดถึงกลยุทธที่เหลือเชื่อและไร้ค่านี้ เขาไม่มีความมั่นใจในความสำเร็จ แต่เขาไม่มีทางเลือก
ทหารของกองพลเขากระทิงคุ้นเคยกับการฝึกกระบวนตั้งรับมาก นายทหารอื่นเข้าใจความคิดของเจโรม แต่พวกเขารู้สึกว่าความคิดของเจโรมไร้เดียงสาเกินไป และรู้สึกว่าแม้สมาพันธ์ชาวยุทธจะแข็งแกร่งแต่ไม่ถึงระดับที่พวกเขาต้องใช้วิธีดังกล่าว
โชคดีที่เจโรมมีศักดิ์ศรีในกองทัพสูงมาก และนายทหารนั้นเป็นเขาฝึกขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อใจในเขา
ขณะนั้นสมาพันธ์ชาวยุทธเตรียมจะใช้พลังโจมตีของพวกเขา
และขณะนั้น ทุกคนที่รู้สึกว่าเจโรมถูกมองในแง่ลบเกินไปจึงไม่สงสัยในการตัดสินใจของเขาต่อไปเมื่อสัตว์ประหลาดทั้งหมดเริ่มวิ่งจู่โจม พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันน่ากลัวเพียงไหน
จ้าววานรหิมะระดับเก้าสัตว์นักล่าที่อยู่ด้านบนของห่วงโซ่อาหารที่มีแต่เซียนเท่านั้นจึงจะรับมือมันได้ พวกมันมีความแข็งแรงไม่สิ้นสุดและแม้จะเปลี่ยนพวกมันเป็นอาวุธพลังสายเลือดแล้ว พวกมันก็ยังรักษาความสามารถพิเศษไว้ได้
ในทุกๆก้าวของพวกมันจะมีเสียงดังทุ้ม เมื่อมองจากท้องฟ้า ทุกที่ๆ พวกมันย่ำจะกลายเป็นหลุมใหญ่ ร่างของพวกมันมีแสงสีขาวคลุมจนกลายเป็นร่างใหญ่ พวกมันวิ่งตรงเข้าหาเจโรมและทหารของเขาพวกมันเหมือนกำแพงแสงขนาดใหญ่เต็มไปด้วยพลังกดดัน
พื้นดินสั่นสะเทือนและอากาศบิดเบี้ยวแสงสีขาวเป็นเหมือนเปลวไฟจ้าววานรหิมะสีหน้าเย็นชาเหมือนกับเทพอสูรกำลังเร่งฝีเท้าขึ้นข้างหน้า
หน้าของเจโรมเปลี่ยนพลังปราณแท้จะร่างของเขาเริ่มเฉื่อยเล็กน้อยและถูกกดดันอยู่ในเกราะเงินไม่ใช่แต่เพียงเขาเท่านั้น เซียนที่อยู่ข้างตัวเจโรมก็มองดูด้วยความตกใจ
พวกเขาคิดถึงกองพลภูผาน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว พลังโจมตีของพวกเขาพอๆ กัน ไม่สามารถหยุดได้
“เจ้าต้องการให้เราขวางพวกมันไว้หรือเปล่า?”
หนึ่งในเซียนถามการโจมตีที่น่ากลัวคือสิ่งที่แนวป้องกันไม่สามารถต้านรับได้
“ไม่!” เจโรมกัดฟัน “ข้าไม่เคยคิดว่าจะรอดได้ เราต้องให้ของขวัญกับพวกเขาบ้าง”
พวกเซียนพยักหน้า
เนื่องจากทั้งฝ่ายเข้าใกล้มาทุกทีแรงกดดันเพิ่มขึ้นราวกับภูเขาไท้ซานกดลงบนบ่าทำให้หลายคนหายใจไม่ออก
“ฆ่า!”
ซานเหม่าคำราม ค้อนแสงในมือของเขาเปล่งรังสีสว่างทั้งท้องฟ้ากระหน่ำใส่กองพลเขากระทิง
ทหารด้านหลังทั้งหมดกระแทกค้อนแสงลงพร้อมกัน
รังสีค้อนแสงสีขาวพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเหมือนกระแสคลื่นที่ทรงพลังกระแทกเข้าไปในกองพลเขากระทิง
ร่างนับไม่ถ้วนกระจายไปทุกที่โลหิตเปรอะไปทั่วสนามรบ ก่อนที่พวกเขาจะกระทบกับพื้นเลือดก็ระเหยไปหมด
ปีกทั้งสองข้างพร้อมกับขวานยาวกวาดลงมาดุจสายฟ้าฟาด ขวานมหึมาทั้งสองกวาดไปตามแนวขวางของกองพลเขากระทิง
บึ้ม!
กองพลเขากระทิงทั้งหมดกระบวกแตกกระจายหลายคนถูกกระแทกใส่อย่างหนักกระจัดกระจายเหมือนดอกไม้โปรยลงจากท้องฟ้า
ตาของเจโรมเต็มไปด้วยความเศร้าทุกคนที่กระเด็นออกไปสองข้างของเขา พวกเขาตายไปครึ่งหนึ่งและอีกหนึ่งส่วนสี่พิการ แม้แต่กระบวนป้องกันที่ได้ฝึกฝนมาก็ไม่สามารถสลายพลังโจมตีได้ มันแย่มาก
สถานการณ์เริ่มแย่มากกว่าที่เขาคิด จากการโจมตีนี้กองพลเขากระทิงมีเพียงหนึ่งในสี่ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
พลังโจมตีที่น่ากลัวจริงๆ
ตาของเจโรมแดงแขนของเขาห้อยลง กระดูกของเขาแหลกเป็นชิ้น เขาเหลือเซียนอยู่หกคนรอบตัวเขา สองคนถูกค้อนแสงหวดใส่ อีกสองคนถูกรังสีขวานกวาดใส่ตายคาที่คนที่เหลือไม่ได้รับบาดเจ็บ
‘โจมตีตอบโต้ด้วยทหารที่เหลือหนึ่งในสี่ที่ใกล้ตาย... ช่างน่าสังเวชจริงๆ ... ฮ่าฮ่าฮ่า!!’
ตาย!
เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งกระโจนเข้าหากองพลเลือดเซียนที่ใกล้ที่สุด