ตอนที่ 684 ราคา
“ขอน้ำให้ข้าหน่อย”
แบร็ดลี่ย์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โดยไม่สนใจภาพพจน์ของเขา เสียงพูดของเขามีแววเหนื่อยล้า และบ่าวของเขารีบไปหาน้ำให้เขาทันที
หลังจากดื่มน้ำอุ่นแล้ว ในที่สุดแบร็ดลี่ย์ก็รวบรวมสมาธิได้ แต่ความมึนงงในสายตาของเขายังไม่จางหายไป เมื่อนึกถึงฉากภาพฝันร้ายที่ผ่านมาสองสามวัน เขารู้สึกสยองจริงๆ
เขาไม่ใช่คนโมโหง่าย เขาเป็นคนที่มีอันธยาศัยดีและอดทน แต่เมื่อสองสามวันก่อน เขาไม่สามารถทนได้และทะเลาะอยู่หลายครั้ง การเยาะเย้ยถากถางมีอยู่ทุกที่ และสายตาที่ทุกคนมองเขาแตกต่างอย่างมาก เขาสามารถอดทนได้เมื่อคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเซรีน เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และเขาปลงใจแล้วว่าจะไม่ถอยกลับ
เขาอดทนเงียบๆ แม้จะมีสถานะที่น่านับถือ แต่เขาไม่เคยคิดจะใช้ตำแหน่งของตนเองข่มพวกที่เหลือ หลายคนทะเลาะกับเขา หลายคนเยาะเย้ยเขา แต่เขายังพูดโต้เถียงกับพวกเขา ส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้ยินจะหัวเราะ ไม่พูดกับเขาจริงจังหรือแม้แต่ล้อเลียนเขา แต่พวกที่ยินดีจะเปลี่ยนแปลง พวกที่มีความคิดสามารถได้ยินเสียงเขา
มันคือฝันของเขา
การยึดมั่นในความฝันนี้ แม้แต่พวกผู้ชายลงพุงเหล่านั้น ก็ยังคาบไปป์ทองเยาะเย้ยล้อเลียนเขา พ่นควันใส่หน้าเขา เขาอดทนมาตลอด เขารู้ว่าการกระทำของเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความชอบใจจากพวกเขา แต่เขาไม่สนใจ
จนกระทั่งเขาได้ยินพระบิดาพูดกับเขาอย่างเย็นชาทันที “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปนักหรอก” ด้วยสายตาที่ไม่พอใจและเฉยเมย ทำให้เขาเหมือนกับอยู่ในโรงน้ำแข็ง มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ
แต่หลังจากนั้น ความโกรธที่ไม่สามารถอธิบายได้ พุ่งใส่สมองเขาเหมือนกับภูเขาไฟปะทุ ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวไปชั่วขณะ เขาเหมือนกับวัวกระทิงดุ คำรามไม่หยุดทำให้ทั่วทั้งวังสั่นสะเทือน ตาของเขาเป็นสีแดง ทุกคนหวาดกลัวรวมทั้งบิดาของเขาด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ราชาดาววัวเห็นโอรสตนเองโกรธจัดจนคลั่ง
แบร็ดลี่ย์ยังจดจำได้ถึงใบหน้าที่ตกใจกลัวของบิดาของเขา เขาไม่มีคำจะพูด ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกแย่
โลกตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้นำกลายเป็นอ่อนแอ หมู่ผู้คนติดอยู่กับความสุขไม่ต้องการความก้าวหน้า เขาไม่เห็นความหวังอะไรในกลุ่มดาววัวแห่งนี้
เขาหลับตา พยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงความคิดที่ซับซ้อนของเขาทั้งหมดซึ่งอาจจะเป็นกรรมของเขาก็ได้ หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาลืมตา ม่านตาสีน้ำตาลของเขากลับเยือกเย็นอีกครั้ง เขาไม่ชอบสภาพกลุ่มดาววัวในปัจจุบัน หลายคนเน่าเฟะเหมือนกับเป็นมะเร็งร้าย เจ้าหน้าที่ทางการผู้คอรับชันสร้างระบบใหญ่ขึ้นมา ซึ่งรวมทั้งบิดาของเขา ซึ่งเขาเองยังต่อต้านไม่ได้
แต่ก็ยังเป็นกลุ่มดาววัวที่เขารัก สถานที่ซึ่งเขาเติบโตขึ้นมา ในฐานะเจ้าชายแห่งกลุ่มดาววัวการไม่สามารถดึงกลุ่มดาววัวออกมาจากการถูกขูดรีด อย่างน้อยเขาต้องทิ้งเส้นสายแห่งความภูมิใจและศรัทธาไว้ในนี้ กลุ่มดาววัวต้องสามารถกู้คืนกลับมาได้อีกครั้ง!
กลุ่มดาววัวที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ เขาของมันจะต้องเชิดขึ้นฟ้าอยู่เสมอ
ด้วยการค้นหาความรุ่งเรืองที่สูญหายไป ด้วยการค้นหาความภาคภูมิใจที่หายไป แบร็ดลี่ย์มีเหตุผลต้องมีชีวิตอยู่และสู้
แบร็ดลี่ย์กำหมัดแน่น เขารู้สึกว่าพลังงานไม่เคยหมดไปจากร่าง รู้สึกเหมือนกับว่าหนังและเนื้อทนทานเหมือนเหล็ก เขาไม่ได้สู้ตามลำพัง ในช่วงสองสามวันที่ผ่าน เขาพากลุ่มคนมาด้วยกัน เด็กหนุ่มผู้ยินดีพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างกองพลทอรัส
ทันใดนั้น บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
แบร็ดลี่ย์รับรายงานและอ่านดู หน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาวิ่งออกไปโดยไม่พูดสักคำ
เมื่อแบร็ดลี่ย์วิ่งออกไป กองพลภูผาน้ำแข็งเตรียมพร้อมอยู่ในมาตรการรักษาความปลอดภัยแล้ว หลังจากแจ้งแล้ว ในที่สุดเขาได้รับอนุญาตให้เข้าค่าย เมื่อเขาเข้าไป เขาตกใจเพราะกองพลภูผาน้ำแข็งเก็บสัมภาระเรียบร้อย ดูเหมือนพร้อมจะจากไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาพบอาหลุนที่ข้างหนึ่งและถาม
หน้าของอาหลุนมึนตึง “ท่านยังไม่ทราบข่าวอีกหรือ กลุ่มดาวกุมภ์ถูกโจมตี?”
“ข้าเพิ่งทราบ” แบร็ดลี่ย์พบว่ามันยากจะเข้าใจ “ข้าแค่มาหาพวกท่านเพื่อพูดคุยปรึกษา แต่นี่หมายความว่ายังไง? กลุ่มดาวกุมภ์ถูกโจมตี แต่เกี่ยวอะไรกับเราด้วย? ก็แค่การปล้น สมาพันธ์ชาวยุทธไม่มีเงิน!”
“ไม่, เราได้ปรึกษากันแล้ว” อาหลุนพูดอย่างขึงขัง “เวลานี้, สมาพันธ์ชาวยุทธวางแผนเคลื่อนไหวกับสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา และนั่นไม่ใช่แค่การปล้นเท่านั้น ถ้าเป็นแค่การปล้น สมาพันธ์ชาวยุทธคงไม่ฆ่าตระกูลชั้นสูงไปอย่างมากมายแน่ พวกเขาต้องการกวาดล้างพวกตระกูลเก่าและชนชั้นสูง ท่านคิดเรื่องนั้นว่ายังไง?”
หน้าของแบร็ดลี่ย์ซีดขาว
‘ใช่แล้ว, ถ้าเป็นแค่เพื่อสมบัติ พวกเขาก็แค่ใช้กองทัพใหญ่กดดันกลุ่มดาวกุมภ์ และสมบัติและความร่ำรวยจะถูกส่งมอบ แต่การกวาดล้างคนชั้นสูงและตระกูลเก่าทั้งหมด นั่นเหลือความเป็นไปได้ประการเดียว สมาพันธ์ชาวยุทธต้องการโค่นล้มการปกครองเดิมของกลุ่มดาวกุมภ์’
“แต่นั่นคือกลุ่มดาวกุมภ์...” แบร็ดลี่ย์ตะโกน
อาหลุนมองดูแบร็ดลี่ย์อย่างเห็นใจ หลังจากคบหาไม่กี่วันที่ผ่านมา เขารู้ว่าเจ้าชายแห่งดาววัวเป็นคนดีและต่างจากพวกคนสกปรกทุกคน เขาตัดสินใจอธิบายให้ชัด “ถ้าสมาพันธ์ชาวยุทธตัดสินใจเคลื่อนไหวกับกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคา พวกเขาจะไม่ดำเนินการกับกลุ่มดาวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกเขาจะต้องมีเป้าหมายมากกว่าหนึ่ง เรารู้สึกว่ากลุ่มดาววัวมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นเป้าหมายต่อไป”
“ทะ...ทำไม?” แบร็ดลี่ย์ตะโกน
“เพราะพวกท่านอ่อนแอเกินไป” อาหลุนพูดอย่างไม่สนใจ เป็นคำที่จี้ใจดำ “ในช่วงนี้ การมีส่วนร่วมใดๆ จะมีผลเสียต่อสมาพันธ์ชาวยุทธ พวกเขาต้องดำเนินการอย่างสายฟ้าแล่บ ด้วยวิธีการนั้นพวกเขาจะรักษาแรงเหวี่ยงแห่งชัยชนะต่อไป และสั่นสะเทือนกลุ่มดาวอื่น ป้องกันไม่ให้พวกเขาได้จัดตั้งความเป็นพันธมิตรกัน”
แบร็ดลี่ย์รู้ได้ว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลมาคัดค้าน ใจของเขาตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
“ข้าเสียใจด้วย” อาหลุนพูดช้าๆ “ภารกิจของเราก็คือรับประกันความปลอดภัยของท่านหญิงเซรีน ไม่มีอะไรอื่นที่สำคัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว เราต้องตัดสินใจถอยกลับและออกเดินทางคืนนี้ ถ้าพวกท่านทุกคนยินดี ก็ให้มาพบเรา”
อาหลุนตบไหล่ของแบร็ดลี่ย์ที่ยังคงยืนตะลึง “ไปคิดดูดีๆ”
เขาหันกายเดินออกมา
แบร็ดลี่ย์ออกมาจากกองพลภูผาน้ำแข็งราวกับว่าสูญสิ้นวิญญาณ ทันใดนั้นเขาตื่นตัวและวิ่งเข้าไปในวังทอรัสทันที
“อะไรนะ? สมาพันธ์ชาวยุทธอาจโจมตีเราเป็นรายต่อไปหรือ?” ราชาดาววัวไม่เอาใจใส่มากนัก แต่เมื่อนึกถึงอาการที่บุตรของเขาระเบิดความโกรธเมื่อวันก่อน เขาควบคุมตนเอง “ไม่มีสัญญาณอะไรระบุว่าสมาพันธ์ชาวยุทธจะโจมตีเรา เรามีอะไร? เราไม่รวยเหมือนกลุ่มดาวกุมภ์ และอยู่ในระดับกลางๆ ของสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา ถ้าพวกเขาโจมตีเราหลังจากโจมตีกลุ่มดาวกุมภ์แล้ว เว้นแต่พวกเขาบ้า มีแต่จะทำให้กลุ่มดาวอื่นไม่พอใจ และทุกคนจะร่วมเป็นพันธมิตรต่อต้านพวกเขา สมาพันธ์ชาวยุทธไม่มีเหตุผลจะโจมตีเรา”
เขามองดูตาแดงของแบร็ดลี่ย์และปลอบโยนเขา “แบร็ดลี่ย์ ข้ารู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าต้องทุกข์ทนมามาก ข้าคิดว่าควรจะพักผ่อน ไปพักผ่อนที่หาดเขากระทิงก็ได้ แล้วค่อยกลับมาเมื่อเจ้าต้องการ เจ้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องของที่นี่...”
แบร็ดลี่ย์ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากวังได้อย่างไร
เขารวบรวมความกล้าและตามหาผู้บัญชาการต้า และบอกเขาเกี่ยวกับการคาดเดาของอาหลุน ผู้บัญชาการต้าหัวเราะลั่น เนื่องจากเขาคิดว่าได้ฟังเรื่องตลก เขาตบไหล่เจ้าชายแบร็ดลี่ย์ปลอบโยนเขาไม่ให้กลัว กล่าวว่ากลุ่มดาววัวสามารถเอาชนะศัตรูใดๆ ไม่ว่าในแง่ไหนทั้งนั้น หลังจากนั้น เขาเปลี่ยนชุดและเดินผิวปากออกไป เขากำลังจะออกไปงานเลี้ยงและเล่นพนัน
จากนั้นแบร็ดลี่ย์ไปบอกเจโรมเรื่องนี้ แต่เจโรมไม่เชื่อเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ล้อหรือถามแบร็ดลี่ย์ถึงเรื่องที่เหลือ เจโรมรู้ความทะเยอทะยานของแบร็ดลี่ย์ และเพียงแต่บอกเขาว่าตั้งแต่กองพลภูผาน้ำแข็งวางแผนจะเดินทางออกไป เขาควรจะไปร่วมกับพวกเขา และฟื้นฟูกองพลทอรัส ดังนั้นต่อให้เขาพบกับอันตราย เขาก็ยังมีหลักประกัน
ในที่สุดแบร็ดลี่ย์ก็เข้าใจ ไม่มีผู้ใดเชื่อเขา ไม่มีใครเชื่อว่าสมาพันธ์ชาวยุทธจะโจมตีพวกเขา
ตรงกันข้าม เมื่อข่าวของกองพลภูผาน้ำแข็งจะถอนกำลังแพร่กระจายออกไป กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดคุยกันแต่ข่าวนี้ ทุกคนเย้ยหยันว่าพวกเขาขี้ขลาดเหมือนหนู พวกเขาคิดว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่เป็นกลุ่มดาวขนาดกลาง เพียงลมพัดเบาๆ พวกเขาก็มีปฏิกิริยาใหญ่เสียแล้ว
การมองโลกในแง่ดีนี้ทำให้แบร็ดลี่ย์รู้สึกกลัว
เขาไม่ได้ย้ายไปตามคำของอาหลุน แต่จากในใจของเขา เพราะเมื่อเขาได้ยินข่าวครั้งแรก เขาถึงกลับกลัวและไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เพราะความไม่สบายใจที่เขาไปหาอาหลุน
ในค่ายกองกำลังภูผาน้ำแข็ง กองพลภูผาน้ำแข็งเตรียมการพร้อมเรียบร้อยแล้ว และที่เหลือคือรอเวลาเคลื่อนกำลังออกไป เพราะพวกเขากังวลว่าจะเผชิญกับการสู้รบ อาหลุนหวังว่าทหารจะสามารถรักษาความเข้มแข็งเอาไว้ได้
“เขาน่าสงสารจริงๆ” จู่ๆ เฉินจื่อหลินพูดขึ้น
“เจ้าพูดถึงเรื่องแบร็ดลี่ย์หรือ?” อาหลุนหันไปถาม
“ใช่, เมื่อพิจารณานอกเหนือการช่วยเหลือกลุ่มดาว ข้ารู้สึกว่าเขาค่อนข้างกล้าหาญ” เฉินจื่อหลินพูดอย่างเห็นใจ “นอกจากนี้ เขาต้องดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดใจ มองดูกลุ่มดาววัวล่มสลายโดยไม่สามารถทำอะไรได้”
“เขาเป็นคนดีจริงๆ นั่นคือสาเหตุที่ข้าบอกเขาไปมากมาย” อาหลุนพยักหน้าเห็นด้วยกับเฉินจื่อหลิน เมื่อคุยถึงเรื่องการดิ้นรนกระวนกระวายใจ เขานึกถึงผู้เฒ่าผู้แก่ชาวกลุ่มดาวหมาป่าทันที เมื่อคิดถึงคืนวันที่อดอยาก หิวโหย ต่ำต้อยเหมือนกับสัตว์เล็กๆ อย่างมดแมลง ยินดีเป็นกระกระสุนมนุษย์เพื่อให้ได้อาหาร
‘กลุ่มดาวหมาป่าเมื่อตอนนั้น..’
อาหลุนคิดถึงตอนที่มีแผนปลุกพลังสายเลือดล้านคนทั่วทั้งกลุ่มดาวหมาป่า เมื่อคิดถึงว่าทุกคนต่อสู้กันเองมากมายเพียงไหนเพื่อให้รับคัดเลือก เขาคิดถึงคำกำชับอย่างเข้มงวดของผู้อาวุโสตระกูล
ทุกคนทุ่มเทกำลังของพวกเขาแค่เพียงให้ได้กิน แค่ให้ได้ดูแลครอบครัวของพวกเขา แค่ชนะได้คำสรรเสริญเล็กน้อย เพื่อให้ได้ติดตามราชาหมาป่าของพวกเขา สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปหลังจากศึกสู้รบในแต่ละครั้ง พวกเขาได้ฟื้นฟูศักดิ์ศรีของพวกเขา และพลเมืองชาวกลุ่มดาวหมาป่าในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความขยันและพัฒนา และปัจจุบัน บางส่วนก็เป็นยอดฝีมือชั้นดีภายใต้ท้องฟ้า หลายคนได้ยินชื่อของพวกเขาพร้อมจะทุ่มค่าจ้างแสนแพงให้พวกเขา แต่ชาวหมาป่าทุกคนต่อสู้เพื่อบุรุษคนเดียว!
“แต่ความฝัน จำเป็นต้องมีราคา ศักดิ์ศรีก็เช่นกัน ต้องมีราคา ยิ่งคิดมาก ราคาที่จะต้องจ่ายไปก็มากด้วย ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ จริงไหม?” อาหลุนพูดทันที
“ถูกแล้ว”
พื้นสั่นสะเทือน และทั้งสองคนลุกขึ้นยืน
แบร็ดลี่ย์พากลุ่มนักรบที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ยกธงเก่าคร่ำคร่าโบกสะบัดเร่งฝีเท้ามาทางพวกเขา บนธงนั้นมีรูปกระทิงทอง โบกสะบัดตามสายลมอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันมีชีวิต