ตอนที่ 680 ไม่น่ากลัวที่สุดแต่น่ากลัวยิ่งกว่า
บนกำแพงเมืองลมดำแม้ว่าทหารลาดตระเวนจะถูกห้ามก็ตาม แต่ก็ยังมีคนสงสัยอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป
กำแพงเมืองแน่นไปด้วยหัวคนที่โผล่ออกมาดู
ทหารรักษาเมืองไม่คิดว่าจะมีคนที่เอาชนะเจ้าเมืองของเขาได้ นอกจากนี้ เขายังไม่ตำหนิถึงความผิดที่เขาก่อไว้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าการตะโกนไม่ส่งผลอะไร เขาได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยให้พลเมืองเมืองลมดำได้มองดู นอกจากนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยอุกกาบาต บ้านนับสิบหลังถูกทำลายและที่มุมของจวนเจ้าเมืองถูกทำลายตกอยู่ในทะเลเพลิง เป็นไปไม่ได้ที่จะขับไล่คนดูกลับเข้าไปหาความตาย
มีแนวโน้มว่าการต่อสู้จะคงอยู่เป็นเวลานาน แต่ชัยชนะสุดท้ายจะมาจากนักสู้ปราณฟ้าระดับสาม
ทุกคนกำลังคิดอย่างเดียวกัน
“ครืนนน!”
แรงระเบิดที่เกิดการปะทะของผางหมันและพลังหมัดของมารสัมฤทธิ์ฟ้าสร้างพายุหมุนที่น่ากลัวกวาดไปทั่วพื้น
แม้แต่อุกกาบาตที่ร่วงลงมาจากฟ้าและลาวาที่ปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้าก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปในมุมเฉียง ด้านข้างเมืองลมดำทุกคนถูกแรงระเบิดอัดกระเด็นโดยไม่ทันตั้งตัวแม้แต่นักสู้ปราณดินระดับห้าก็ยังอยู่ในสภาพทุลักทุเลนี่หมายถึงพวกที่อยู่ห่างออกไปถ้าพวกที่อยู่ใกล้สนามต่อสู้ พวกเขาอาจถูกฆ่าด้วยแรงระเบิดไปนานแล้ว เมื่อเห็นยอดฝีมือปราณฟ้าระดับสองปะทะกับอีกฝ่ายได้โดยไม่มีถอยสีหน้าของทุกคนปราศจากสีเลือด
ที่ยืนอยู่หลังจักรพรรดิมังกรก็มี เย่คงเจ้าอ้วนไห่ เสวี่ยทันหลาง องค์ชายเทียนหลัวและพี่น้องตระกูลหลี่ปลอดภัยกันหมดทุกคน
แรงระเบิดไม่ทำอันตรายพวกเขาแม้แต่น้อย แต่เมื่อสังเกตเห็นการต่อสู้ระหว่างนักรบปราณฟ้าทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์มากมาย
ผางหมันและหมัดลงทัณฑ์ของมารสัมฤทธิ์ฟ้าปะทะกันอย่างเต็มกำลัง
ทั้งสองคนกระเด็นถอยหลัง
ผางหมันที่เป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามถูกผลักกลับไปถึงร้อยเมตรกว่าจะตั้งหลักได้ ขณะที่หมัดลงทัณฑ์ของมารสัมฤทธิ์ฟ้าโจมตีได้ในระยะสามร้อยเมตร
อย่างไรก็ตามสีหน้าของเจ้าเมืองลมดำและไป๋ซ่งถึงกับเปลี่ยน สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่เห็นแค่การส่งเสียงเชียร์ของทหารรักษาเมืองผู้เป็นนักสู้ปราณดินที่อยู่ในระยะไกลนักสู้ปราณฟ้าระดับสามสู้กับนักสู้ปราณฟ้าระดับสองได้เสมอกัน ค่อนจะเป็นการสู้อยู่ฝ่ายเดียวตามความเป็นจริงผางหมันควรจะมีพลังเหลือจากการปะทะและไล่กดดันมารสัมฤทธิ์ฟ้าต่อได้นี่ควรจะเป็นพลังของนักสู้ปราณฟ้าระดับสาม
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือผางหมันผู้มีชื่อเสียงในเรื่องพลังของเขาถูกบีบบังคับให้เป็นฝ่ายถอย แต่แขนขอเงขายังคงสั่นในลักษณะที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หรือว่าแขนของผางหมันได้รับบาดเจ็บหลังจากรับพลังโจมตีของมารสัมฤทธิ์ฟ้า?
เจ้าเมืองลมดำและไป๋ซ่งตาเบิกโพลงเพราะความตกใจขณะที่พวกเขาจ้องมองหมัดขวาของผางหมัน ซึ่งรั้งกลับมาไว้ด้านหลังเขาด้านบนของหมัดไหม้เป็นสีดำ และสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้...
“อีกครั้ง!” มารสัมฤทธิ์ฟ้าแค่นเสียงเย็นชา
การได้ฝึกเพลงมวยกับหย่งฮุย ทำให้เขาละเลยความจริงว่าระดับพลังฝึกปรือของคู่ต่อสู้ของเขาถูกข่มลงไปมากดังนั้นเขายังคงก้าวหน้าอย่างมากมาย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้าและสายฟ้ามารวมลงที่หมัดของเขาพลังเพียงพอจะฆ่าใครก็ได้ในระดับต่ำกว่าปราณฟ้าได้ทันที เสียงกระแสไฟฟ้าวิ่งทำให้ผางหมันสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่หลังจากปะทะหมัดกันแล้วเขาจึงตระหนักได้ว่าพลังทัณฑ์ฟ้าของมารสัมฤทธิ์ฟ้าน่ากลัวเพียงไหน
ไม่เคยมียอดฝีมือปราณฟ้าระดับสองคนใดที่สร้างพลังโจมตีที่น่าหวาดกลัวให้กับเขา
มีแต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้นี้เท่านั้น!
ผางหมันต้องการถอนตัวจากสนามรบ เขารู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาตกอยู่ในอันตรายและไม่ต้องการจะสู้กับมารสัมฤทธิ์ฟ้านี้จนถึงที่สุด
แต่ในฐานะนักสู้ปราณฟ้า เขาจะวิ่งหนีได้จริงๆ น่ะหรือ? นอกจากนี้ภายใต้การจับเป้าโจมตีของมารสัมฤทธิ์ฟ้าเกรงว่าการหลบหนีมีแต่จะเร่งให้ตนเองพ่ายแพ้!
“ข้าจะทุ่มพลังทั้งหมด!” ผางหมันเรียกพลังเต็มที่ เขาเรียกวานรหลังเงินอสูรปราณฟ้าของเขามาช่วยเสริมพลัง ในทันใดนั้นร่างของเขาขยายออกและกล้ามเนื้อของเขาแทบจะปริ พลังของผางหมันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าและความหนาแน่นของพลังเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกสิบเท่าด้วยการเสริมกำลังของวานรหลังเงิน ผางหมันไม่เคยพบว่าศัตรูจะทะลวงผ่านเขาได้
มันมีร่างที่แข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าเป็นร้อยเท่า และมีพลังที่สามารถทลายภูผา
ความมั่นใจของผางหมันเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ที่สำคัญคือเขาเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามไม่ใช่ว่าใครๆ ก็เอาชนะเขาได้ต่อให้มารฟ้าสัมฤทธิ์ผู้แปลกประหลาดนี้ก็ไม่สามารถทำได้
เจ้าเมืองลมดำรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากที่เห็นผางหมันใช้วานรหลังเงินที่แข็งแกร่งที่สุดช่วยเสริมกำลัง
การสู้รบครั้งนี้อาจยากจะเอาชนะ แต่ก็ไม่พ่ายแพ้โดยง่าย
หน้าของไป๋ซ่งเยือกเย็นเหมือนน้ำ เขารู้สึกว่าแม้ฝ่ายตรงข้ามกับเขาก็ทรงพลังสามารถขับไล่คลื่นระเบิดจากนักรบปราณฟ้าได้นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่าย สำหรับคู่ต่อสู้ของเจ้าเมืองลมดำบุรุษหน้ากากผู้ปลอมตัวเป็นนักสู้ปราณฟ้า เขาแข็งแกร่งมากกว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าเมืองลมดำจะเอาชนะได้คู่ต่อสู้ของจินฟงเป็นบุรุษผิวดำเผ่ามนุษย์บาดาล พวกเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือปราณฟ้าระดับที่หนึ่ง ฝีมือน่าจะเสมอกัน และคงยากจะระบุไปว่าใครจะแข็งแกร่งกว่า
กล่าวอีกอย่างถ้าเขาต้องการถอยวันนี้ก็ยังต้องพึ่งพาพลังตนเอง
ถ้าเขาสามารถเอาชนะบุรุษที่มีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดานั้นได้ อย่างนั้นเขาก็จะมีโอกาสประสบผลสำเร็จ
ต่อให้พวกเขาต้องถอยวันนี้ ใครจะรู้กันว่าอีกฝ่ายจะไม่มีนักสู้ปราณฟ้าอีกหรือ?วังมารมีนักสู้ปราณฟ้าเพียงคนเดียว และถ้าทั้งสามรวมกำลัง เมืองลมดำจะตกอยู่ในอันตราย
ครืนนน!
การสู้รบกันครั้งที่สองระหว่างมารสัมฤทธิ์และผางหมันเริ่มขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจที่สุดก็คือผางหมันถอยเป็นครั้งที่สอง แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้ายังคงยืนอยู่กับที่ไม่มีขยับ
มารสัมฤทธิ์ฟ้ายังมีพลังงานเหลือ...ภายใต้สายตาที่ตกใจของเจ้าเมืองลมดำและไป๋ซ่ง มารสัมฤทธิ์ยกหมัดอย่างรวดเร็ว และปล่อยหมัดที่ฉีกฟ้าทลายดินออกไปผางหมันพยายามสุดกำลังป้องกันพลังโจมตี เขาถูกมารสัมฤทธิ์ฟ้าทำให้ตกอยู่ในสภาพทุลักทุเล ยิ่งสู้เขาก็ยิ่งห้าวหาญขึ้น ในตอนแรกผางหมันยังมีเวลาตอบโต้ แต่ในที่สุดผางหมันได้แต่ตั้งรับอย่างเดียว...นักสู้ปราณฟ้าระดับสาม เป็นครั้งแรกที่เจ้าเมืองลมดำเห็นการต่อสู้ระหว่างนักสู้ปราณฟ้าระดับสองสองคน
ไป๋ซ่งคิดไตร่ตรอง
ถ้าบุรุษผู้แข็งแกร่งนั้นมีสนามพลังพิเศษระดับเดียวกัน อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเป็นแน่
ด้วยสายตาของเขา เขาสามารถเห็นได้ง่ายๆถึงความแตกต่างระหว่างมารสัมฤทธิ์ฟ้าและผางหมัน พลังทัณฑ์ฟ้าน่าจะเป็นวิทยายุทธที่เชี่ยวชาญที่สุดในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีความสามารถสะท้อนพลังหมัดของผางหมันได้ ยิ่งผางหมันเพิ่มพลังเมื่อสู้กับเขาก็จะยิ่งแพ้เร็วขึ้น
เพราะผางหมันกำลังสู้กับคนสองคนคือหนึ่งนั้นก็คือตัวเอง และอีกหนึ่งนั้นก็คือมารสัมฤทธิ์ฟ้าที่ใช้พลังของตนเองเพื่อตอบโต้
ขณะเดียวกันพลังของมารสัมฤทธิ์ฟ้าก็แปลกประหลาดมาก
แม้ว่าพลังป้องกันทางกายภาพของผางหมันจะได้รับจากวานรหลังเงิน เขาก็ยังไม่สามารถทนได้... จากตรงนี้ ใครๆก็สามารถเห็นได้ว่าพลังสังหารของเขาน่ากลัวเพียงไหน
“เจ้าคิดว่ายังไง?”เจ้าเมืองลมดำมองดูไป๋ซ่ง เขาถามไป๋ซ่งว่ามีความมั่นใจจะล้มบุรุษที่ดูแล้วมีพลังไม่ธรรมดานั่นได้หรือไม่
“ยากจะพูดได้”ไป๋ซ่งส่ายศีรษะ ถ้าบุรุษที่ดูเหมือนมีพลังประหลาดนั่นคล้ายกับมารสัมฤทธิ์ฟ้า อย่างนั้นก็ยากจะพูด ผางหมันก็ประสบเหตุการณ์อย่างนี้ ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะหาคู่ต่อสู้แบบนี้ได้ ถ้าเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามคนอื่นพวกเขาอาจพ่ายแพ้มารสัมฤทธิ์ฟ้าไปนานแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะนำโดยมารสัมฤทธิ์ฟ้า แต่ความจริงก็คืออีกสองคนยังประมาทไม่ได้ บุรุษหน้ากากอีกสองคนนับเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวทั้งคู่
“ล้มลงไป!” มารสัมฤทธิ์ฟ้าปล่อยหมัดไป 108ครั้ง
เทียบกับมารสัมฤทธิ์ฟ้าแล้วความเร็วของผางหมันต่างระดับกันอย่างสิ้นเชิง
ผางหมันต้องการใช้พลังที่เหนือกว่าหลายเท่ากระแทกให้มารสัมฤทธิ์ฟ้ากระเด็นออกไป แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้ากลับส่งผลกระทบอย่างหนัก ทุกครั้งที่ผางหมันระเบิดพลัง เขาจะดึงหมัดในอากาศยืมแรงปะทะจากคู่ต่อสู้ของเขาสะท้อนเข้าจุดป้องกันจนอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด
ด้วยการโจมตีต่อเนื่องเข้าที่จุดอ่อนของผางหมัน ในที่สุดพลังป้องกันของเขาก็พังทลายลง
ร่างของเขาร่วงลงกับพื้นเหมือนดาวตก
ลึกลงไปใต้พื้น
หลังจากผ่านไปนานเขาตะเกียกตะกายกลับมาอยู่ด้านข้างไป๋ซ่งและเจ้าเมืองลมดำอย่างเจ็บปวดและบ้วนโลหิตออกมาเต็มคำ
ในการสู้รอบนี้ผางหมันพ่ายมารสัมฤทธิ์ฟ้า!
เจ้าเมืองลมดำและไป๋ซ่งลอบตื่นตัวเพราะดูเหมือนว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้าไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่ผางหมันก็พ่ายแพ้เสียแล้ว การสู้รบครั้งที่สองนี้สำคัญมาก ถ้าเขาพ่ายแพ้อีกอย่างนั้นกระแสการต่อสู้จะดิ่งเหว เจ้าเมืองลมดำมองดูไป๋ซ่ง เป็นธรรมดาที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งฝึกปรือมานานกว่าเขาและครอบครองอสูรรบและอาวุธสมบัติที่ดีกว่าเขา..เจ้าสำนักผู้เป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามชั้นสูงแทบใกล้จะบรรลุปราณฟ้าระดับสี่และแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมืองลมดำเล็กน้อย เขาจะสามารถล้มคู่ต่อสู้หมายเลขสองในการต่อสู้ครั้งที่สองได้ไหม ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้จะเป็นปีศาจจากเผ่าภูตบูรพาเสียด้วย?
“ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องห่วง เราผู้เฒ่าจะเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังและเอาชัยชนะกลับมา!” ไป๋ซ่งตัดสินใจใช้สมบัติเขาไม่เคยใช้ต่อสู้มาเกือบร้อยปีแล้ว
“ข้าหวังว่าจะโชคดี!” เจ้าเมืองลมดำใช้ใช้ประคำปกป้องวิญญาณในมือของเขาเพื่อให้ไป๋ซ่งได้ใช้ปกป้องวิญญาณ
ไป๋ซ่งแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว จุดอ่อนของเขาก็คือด้อยในเรื่องพลังวิญญาณ
พลังปกป้องวิญญาณสามารถปกป้องเขาจากพลังจิตโจมตีได้นานสิบนาที
อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการเสริมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด
อีกด้านหนึ่งเจ้าเมืองลมดำเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีข้อเสียเปรียบ เมื่อคนที่สวมหน้ากากก้าวออกมาคนที่สวมหน้ากากอีกคนก็เพิ่มเงายักษ์ใส่ร่างเขาอีกห้าร่าง! สร้างแรงกดดันจนเจ้าเมืองลมดำแทบกระอักโลหิต ถ้าเขารู้เขาจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะไม่เพียงแต่เป็นการเผยจุดอ่อนเรื่องพลังจิตของไป๋ซ่งเท่านั้นแต่เขายังทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหาเหตุผลเสริมกำลังให้เขาได้... เงาดำจะช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้ร้อยเท่าในแต่ละร่างเงา
ด้วยการเสริมพลังห้าเท่าของอีกฝ่ายหนึ่งไป๋ซ่งที่สามารถค่อยๆ เอาชนะได้กลับกลายเป็นตกอยู่ในอันตรายทันที
ตอนนี้เขาหวังว่าไป๋ซ่งจะสามารถอดทนผ่านขีดจำกัดเวลาของเงายักษ์ไปได้
“ข้าหลงซ่วน,โปรดแนะนำข้าด้วย!” จักรพรรดิมังกรเรียกตนเองว่า ‘หลงซ่วน’ เห็นไป๋ซ่งชักขวานเงินที่ฉายรัศมีสีต่างๆออกมาใช้ เขาไม่แสดงท่าทีอ่อนแอหรืออ่อนข้อแต่อย่างใดเรียกโล่มังกรศักดิ์สิทธิ์สุดยอดของตกทอดจากบรรพบุรุษ น่าเสียดายที่ระหว่างสงครามที่วุ่นวาย เขาทำดาบ หมวกเกราะหายไป เหลือแต่เพียงเกราะแขนเกราะขาและโล่ ถ้าของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อยู่ครบ พลังของมันจะมีไม่น้อยกว่าอาวุธระดับเทพ
“ข้าคือประมุขตระกูลไป๋ซ่ง...” เมื่อไป๋ซ่งแนะนำตนเองเขาพยายามถ่วงเวลาให้นานเท่าที่เป็นไปได้
เขาคาดว่ากำหนดเวลาของเงายักษ์เหล่านั้นสั้นมาก แม้ว่าการกระทำของพวกเขาเพื่อถ่วงเวลาจะน่าอายเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าแพ้
หลังจากการสู้รบเริ่มขึ้นเพราะเป็นการโรมรันของสุดยอดอาวุธชั้นสูง พลังสู้รบจึงน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
แรงระเบิดจากการปะทะของสุดยอดอาวุธชั้นสูงทำให้มิติและห้วงเวลาแตกกระจายขึ้นไปในท้องฟ้า ทุกแห่งที่พลังพุ่งไปถึงทุกอย่างที่ขวางจะหายไปในอากาศ
เสียงรุกและรับในการสู้รบทำให้นักสู้ของเมืองลมดำถึงกับหมดสติหรือถูกเหวี่ยงกระเด็น พวกเขาได้แต่ถอยเข้ากำแพงเมืองไปอย่างไม่มีทางเลือกและไม่กล้าดูนักสู้ปราณฟ้าต่อสู้กันต่อไป...มีอยู่เพียงสองสามคนที่ยังรั้งอยู่ พวกเขาทุกคนเป็นนักสู้ชั้นปราณดินระดับเจ็ดขึ้นไป พวกเขาต่อต้านพลังสายฟ้าและยืนอยู่บนกำแพงมองดูการต่อสู้ที่รุนแรงต่อไป
หลงซ่วนจากแดนสวรรค์ตะวันตกสู้กับไป๋ซ่งจากแดนสวรรค์ใต้
ใครชนะ ใครจะแพ้?
เจ้าเมืองลมดำกำลังเสียใจกับการตัดสินใจของเขา เขาแน่ใจว่าถ้าเขาไม่ให้พลังปกป้องวิญญาณแก่ไป๋ซ่งอย่างนั้นบุรุษหน้ากากก็ไม่มีเหตุผลอะไรกับการให้เงายักษ์กับหลงซ่วน ไม่มีเงายักษ์ห้าร่าง เป็นไปไม่ได้ที่หลงซ่วนจะโล่มังกรเอาชนะเจ้าสำนักร้อยสน
“บึ้มมมมม!”
ไป๋ซ่งและจักรพรรดิมังกรต่างฝ่ายต่างถูกแรงปะทะกระเด็นออกไปพันเมตรหลังจากปะทะกันต่อเนื่องอย่างหนักร้อยครั้ง
ไป๋ซ่งกระอักโลหิตฉีดพุ่งเป็นลำ
ขณะนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ขณะที่อีกฝ่ายจักรพรรดิมังกรไออย่างเจ็บปวด เมื่อเงายักษ์หายไปเขาจึงได้ต้องรับพลังโจมตีตอบโต้จากพลังปราณฟ้าระดับสามของไป๋ซ่งทันที แม้ว่าเขาจะไม่บาดเจ็บหนักจะเป็นอันตราย แต่อวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือน ถ้าไม่ใช่เพราะโล่มังกรที่แข็งแกร่งของเขา เขาอาจพ่ายแพ้ในการสู้ครั้งนี้ ตอนนี้ผลสู้รบเสมอกัน ไป๋ซ่งบาดเจ็บสาหัสแล้วแม้ว่าพลังฝึกปรือของเขาจะสูงกว่า และพลังของเขาจะแข็งแกร่งกว่า แต่พลังโจมตีของเงายักษ์ก็ทรงพลังมากเช่นกัน ทำให้ไป๋ซ่งไม่อาจสู้ต่อไปได้
ถ้าจักรพรรดิมังกรแข็งแกร่งมากกว่านี้เล็กน้อย ด้วยการเสริมพลังจากเงายักษ์ห้าร่างอย่างนั้นไป๋ซ่งคงตายอย่างแน่นอน
หรือบางทีถ้าขีดจำกัดเวลาของเงายักษ์ไม่เสียไประหว่างการแนะนำตนเองของไป๋ซ่งเขาก็คงพ่ายจักรพรรดิมังกรไปอย่างง่ายดายแล้ว
ไป๋ซ่งลอบถอนหายใจ
ถ้าเงายักษ์สามารถคงอยู่ต่ออีกสักหนึ่งนาทีอย่างนั้นเขาคงไม่สามารถทนต่อไปได้ โชคดีที่ขีดจำกัดเวลาของเงายักษ์ที่ทรงพลังนี้สั้นมาก...
ในการสู้รอบที่สองจักรพรรดิมังกรกับไป๋ซ่งทั้งสองฝ่ายหมดพลังที่จะสู้ต่อไปได้
แม่ทัพจินฟงลุกขึ้นยืนและเตรียมท้าทายเผ่าใต้พิภพผู้อยู่ในชุดดำมองไม่เห็นร่างจริงถนัดนัก
ทันใดนั้นเขาสังเกตว่าบุรุษหน้ากากอีกคนลุกขึ้นยืน เขาตกใจอย่างหนักและรีบโบกมือปฏิเสธ “เดี๋ยวก่อนคนที่ข้าต้องการสู้ไม่ใช่เจ้า!” ก่อนที่แม่ทัพจินฟงจะพูดจบ เขาพบว่าบุรุษหน้ากากมายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว ร่างของเขาแข็งทื่อและเขาอดต้องการหลบหนีอยู่สองสามครั้งไม่ได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเร็วของอีกฝ่ายหนึ่งและการปรากฏตัวของเจ้าเมืองลมดำเขาได้แต่กัดฟันทน
พลังของบุรุษหน้ากากนี้มองเผินๆก็คือเตรียมนักสู้ปราณฟ้า แต่เมื่อเขาปลดปล่อยพลัง เขามิได้อ่อนแอกว่าเจ้าเมืองลมดำเลย
ในใจของแม่ทัพจินฟงมีความรู้สึกว่าเขาสามารถฆ่าศัตรูของเขาได้ทันที
เขาเป็นเหมือนมดเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม
เขาคิดว่าการเอาชนะผางหมันได้อย่างง่ายดายว่าน่ากลัวพอแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะแพ้บุรุษหน้ากากผู้นี้ ถ้ามารสัมฤทธิ์ฟ้าเป็นเหมือนเสือชีตาร์ที่น่ากลัว อย่างนั้นบุรุษหน้ากากนี้ผู้สามารถปลดปล่อยรัศมีพลังที่น่ากลัวก็เป็นเหมือนพยัคฆ์ร้าย... จินฟงรู้สึกว่าแค่เพียงขย้ำครั้งเดียวอีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถกลืนเขาได้
“ข้าคือเฮยฟงเป็นเจ้าเมืองปกครองที่นี่ ขอถามนามอาคันตุกะผู้มีเกียรติได้ไหมท่านชื่ออะไร?” เฮยฟงรู้ว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องก้าวขึ้นเวที คำอธิบายทั้งหมดล้วนแต่เลื่อนลอยเหมือนเมฆ เขาต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเขาแพ้ทุกอย่างก็จบกัน แน่นอน แน่นอนเขามีแต่ต้องเอาชนะศึกนี้ เขาแพ้ไม่ได้!
“ข้าไม่บอกชื่อข้ากับคนตาย”บุรุษผู้สวมหน้ากากทองตอบ “ส่งจวินอู๋เย่มาเดี๋ยวนี้ และเราจะปล่อยเจ้าไป มิฉะนั้นไม่ว่าต้องทุ่มเทเพียงใดเราจะกัดฟันต่อสู้จนจบ ถ้าเราไม่ได้ตัวเขาเราจะถล่มเมืองลมดำในหนึ่งวัน และถ้าเรายังไม่ได้ตัวอีกเราจะถล่มแคว้นมรกตให้ราบเป็นหน้ากลองภายในหนึ่งเดือน...ไม่ว่าพวกเจ้าจะทุ่มเทกำลังปกป้องดื้อรั้นเพียงไหน เราจะต่อสู้จนถึงที่สุดอย่าได้สงสัยถึงพลังและความตั้งใจของเรา วันนี้แค่เป็นการเตือน สงครามจริงยังไม่เริ่ม!”
เจ้าเมืองลมดำอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ก็ต้องตระหนักว่าหมัดของบุรุษหน้ากากมาถึงหน้าของเขาแล้ว
เขาแทบจะหมดสติจากพลังหมัดนั้น
ขณะเดียวกับที่ร่างของเจ้าเมืองลมดำกระเด็นไปด้านหลังมีคนผู้หนึ่งพุ่งวาบมารับเขาที่ด้านหลัง
ที่ตามมาจากนั้นพลังโจมตีที่หนักหน่วงซัดใส่ที่ด้านหลังของเขา เจ้าเมืองลมดำรู้สึกเหมือนกับว่าอวัยวะภายในกำลังจะแตกสลายโลหิตทะลักออกมาจากลำคอ
ไม่ทันจะหันไปเผชิญหน้ากับศัตรู เจ้าเมืองลมดำสังเกตว่าบุรุษหน้ากากปรากฏตัวอีกครั้งเขายื่นมือคว้าคอเจ้าเมืองลมดำชูขึ้นในอากาศ เจ้าเมืองลมดำไม่กล้าดิ้นเพราะเขาเห็นว่ารังสีอำมหิตในสายตาของศัตรูนั้นน่ากลัวเพียงไหนมันเป็นเหมือนสายตาที่จ้องมองแมลงเล็กน้อย เพราะเจ้าเมืองลมดำก็ใช้สายตาเช่นนี้มองดูพลเมืองของเขาเอง...เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าเขากล้าต่อต้าน อีกฝ่ายหนึ่งจะฆ่าเขาทันที
“ข้าจะให้เวลาหนึ่งวันส่งคนมา ไม่อย่างนั้นเราจะฆ่าล้างเมือง ทำลายเจ้าและผู้สนับสนุนอย่าพยายามทำให้เราหมดความอดทน”
“....”เจ้าเมืองลมดำยังจะพูดอะไรได้อีกในตอนนี้?
เขาได้แต่สั่นสะท้านสั่นอย่างมิอาจควบคุมตัวได้
ไม่แต่เพียงเขาเท่านั้น แม้แต่ไป๋ซ่งผางหมันและจินฟงที่แต่เดิมต้องการจะช่วย ก็ยังพลอยกลัวไปด้วยถึงขั้นมือแขนขาแข็งชะงักไปหมด พระเจ้า! บุรุษหน้ากากผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้าเป็นร้อยเท่าจริงๆ! เจ้าเมืองลมดำอ่อนแอยิ่งกว่าเด็กทารกเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา