ตอนที่ 679 เนี่ยชิวจงหลีไป๋และหน่วยสุญญตา
การเจรจากับเลโอนราบรื่นมากกว่าที่ถังเทียนคาดเอาไว้
ใครจะรู้กันว่าเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดที่ทำให้เลโอนตกใจหรือว่าพญาราชสีห์เองเต็มไปด้วยความกระหายต้องการพิชิตดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นความเกลียดสมาพันธ์ชาวยุทธอย่างลึกล้ำ แต่เลโอนเลือกจะเป็นพันธมิตรกับถังเทียนโดยไม่ลังเลใจ
เขาไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เพราะกลุ่มดาวราชสีห์ตั้งใจจะลงมือโจมตีสมาพันธ์ชาวยุทธอย่างเต็มกำลัง สมบัติของถังเทียนทำขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมไร้ที่ติ
เพื่อเป็นการตอบแทนเขา เขามอบบริวารสองคนให้ถังเทียน
“พวกเขาฝีมือดี แต่ข้าไม่มีตำแหน่งให้พวกเขาที่กลุ่มดาวราชสีห์ การติดตามข้าต่อไปจะทำให้พรสวรรค์ของพวกเขาสูญเสียไป”
สำหรับถังเทียนคำพูดของเลโอนเป็นการโอ้อวด แต่เขาต้องยอมรับว่าระบบทหารของกลุ่มดาวหมีใหญ่ง่ายมากกว่าเมื่อเทียบกับของกลุ่มดาวราชสีห์ กลุ่มดาวราชสีห์มีระบบการทหารที่สมบูรณ์ที่สุดในสวรรค์วิถี ด้วยโรงเรียนทหารที่โดดเด่นหลายแห่ง ทหารได้รับการเคารพ และคนระดับสูงเห็นคุณค่าของพวกเขาทั้งหมด สร้างเป็นบรรยากาศที่ดี ผู้เยาว์ของกลุ่มดาวราชสีห์ยินดีจะกลายเป็นขุนพลทหารที่โดดเด่นมากกว่าจะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งทรงพลัง
กลุ่มดาวราชสีห์ไม่เคยขาดแคลนแม่ทัพฝีมือดี และเป็นปรากฏการณ์อยู่ทั่วไปที่จะมีส่วนเกินของพวกเขา
เนี่ยชิวและจงหลีไป๋ก็เป็นตัวอย่างเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองคนเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่พวกเขาประสบการณ์เป็นศูนย์ กองทัพขนาดใหญ่ต่างๆของกลุ่มดาวราชสีห์นั้นเต็มหมดแล้ว และพวกเขาไม่ยินดีจะเสียเวลาตัดสินผู้มีพรสวรรค์เพื่ออนาคตหรือสำรองเอาไว้
ความจริงเลโอนเองไม่ยินดีจะเสียคนทั้งสองไป แต่ในสถานการณ์ที่เขาไม่เหลือทางเลือกอื่น กลุ่มดาวราชสีห์เลือกระบบนายทหารที่สมบูรณ์ที่สุดและนายทหารทั้งหมดจะถูกระบบตัดสินในที่สุด แต่ผู้อาวุโสของพวกเขามาจากคนรุ่นหนุ่มที่ได้รับการศึกษาและทรงพลังทั้งหมดมีความสำเร็จตามสายงานและครอบครัวร่ำรวยสนับสนุน ทางข้างหน้าของเนี่ยชิวและจงหลีไป๋ยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าแถวรออยู่เช่นกัน และแม้ว่าเลโอนจะชื่นชมทั้งสองคน แต่เขาจะไม่ขัดขวางคำสั่งและระบบเพื่อคนทั้งสอง
ทั้งสองคนรู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสในกลุ่มดาวราชสีห์ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าหมายมาที่กลุ่มดาวหมีใหญ่ สำหรับคนนอกกลุ่มดาวหมีใหญ่เต็มไปด้วยนายทหารที่ลือชื่อ และเป็นแหล่งรวมพรสวรรค์ แต่ทั้งสองคนกลับเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม่ทัพผู้โดดเด่นที่สุดของกลุ่มดาวหมีใหญ่ล้วนเป็นขุนพลวิญญาณทั้งหมด แม้ว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่จะมีความพยายามอย่างหนักในการเลือกแม่ทัพทหารได้ดีตั้งแต่แรกแต่ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน และคนรุ่นหนุ่มต้องใช้เวลาในการเติบโต และต้องใช้การสู้รบจริงเพื่อพิสูจน์ความสามารถของพวกเขา
ทั้งสองคนไม่ได้เริ่มหาที่พักพิงในกลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่กลับไปหาเลโอนก่อนและบอกความคิดของตนเองโดยตรง พวกเขาไม่รู้คำเชิญลับที่ถังเทียนส่งให้เลโอน แต่พวกเขาคิดว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มดาวราชสีห์อย่างแท้จริง แต่แค่ต้องการอาศัยชื่อของพันธมิตร
แต่พวกเขาไม่สนใจเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรพวกเขาไม่ใช่ทางเลือกที่แย่
หลังจากได้ฟังความคิดเห็นของทั้งสอง เลโอนเงียบไปพักหนึ่ง แต่ก็ยังเห็นด้วย
ถังเทียนรับทั้งสองคนไว้
เนี่ยชิวมีใบหน้ากลมป้อมขาวและรูปร่างไม่ใหญ่ เขามีผมสั้นหน้าผากกว้างและนิ่งเงียบคล้ายกับนักเรียนที่ดี มีเพียงลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับเขาก็คือตาของเขา เขามักหลับตาเสมอและปากของเขามักประดับรอยยิ้มเลือนราง
ถังเทียนประหลาดใจ “ตาของเจ้า...”
เนี่ยชิวคำนับ จากนั้นพูดอย่างเป็นกันเอง “ข้าตาบอดแต่กำเนิด”
“อย่างนั้นเจ้าจะสั่งการรบได้ยังไง?” ถังเทียนอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ด้วยการรับรู้ ใบหน้าของเนี่ยชิวยังคงมีรอยยิ้มเป็นกันเอง ”ความรับรู้ของข้าน้อยค่อนข้างจะโดดเด่น”
ถังเทียนเข้าใจ แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าใครบางคนจะสามารถใช้ความรับรู้ของพวกเขาออกคำสั่ง ‘น่าสนใจ!’ถังเทียนอดมองดูตาของเนี่ยชิวและอดยิ้มไม่ได้
จากนั้นเขาหันไปมองจงหลีไป๋ เทียบกับเนี่ยชิวแล้ว จงหลีไป๋ดูโดดเด่นตลอดทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้าม หน้าของเขา ใบหน้าของเขาขรุขระราวกับใช้ขวานถาก เขารวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ผมยุ่งเหยิงราวกับสายไฟ ตาเล็กขนาดเท่าถั่วดูเคร่งขรึม และยืนตรงอยู่กับที่ เขาให้ความรู้สึกที่อันตราย
เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่พร้อมจะกลืนกินใครก็ตามที่เข้ามาใกล้
จงหลีไป๋มีรูปร่างสูงใหญ่สูงเกิน 2 เมตรถังเทียนต้องเงยหน้ามองดูเขา “แล้วเจ้ามีอะไรดี?”
“นักทำลาย” จงหลีไป๋พูดเต็มไปด้วยพลังงานเหมือนกับว่าอกของเขาเป็นที่เปล่งเสียงออกมา ขณะที่พูดเขาจะหรี่ตาและปล่อยประกายที่รุนแรง
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายร่วมสำนักหรือเปล่า?” ถังเทียนถามด้วยความสงสัย
“เราไม่ได้เป็น” เสียงของเนี่ยชิวนุ่มนวลและมีความตั้งใจ
“ไม่!” น้ำเสียงของจงหลีไป๋ห้วนไม่มีหางเสียง
“ข้าน้อยมาจากสถาบันใจสิงห์ ส่วนจงหลีไป๋มาจากสถาบันไฟนรก สถาบันทั้งสองเป็นคู่แข่งกัน” เนี่ยชิวพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ศัตรูตัวสำคัญ!” จงหลีไป๋แค่นเสียงปล่อยความรู้สึกที่เย็นชา
ถังเทียนเข้าใจและรู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้น
เขาลูบคางมองดูคนทั้งสอง จากนั้นถามทันที “พวกเจ้าอยากไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือว่าจะอยู่ที่สวรรค์วิถี?”
“ข้าน้อยต้องการจะไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์”
“ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์”
ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนฉลาดและรู้ว่าโครงสร้างของกลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบันได้จัดระเบียบไว้ก่อนแล้ว ขณะที่ดาราจักเซียนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองยังสงสัยเกี่ยวกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์
“เส้นทางสู่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์อันตราย” ถังเทียนเตือนทั้งสอง
“อาชีพของนายทหารมีอันตรายมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว” เนี่ยชิวกล่าว
“ไม่มีปัญหา” จงหลีไป๋พูดอย่างเฉยเมย
ถังเทียนตัดบท “อย่างนั้นเรามาทำสัญญาจิตวิญญาณยุทธกัน”
เขาตัดสินใจให้ปิงประเมินคนทั้งสอง
ทั้งสองคนลอบถอนหายใจโล่งอก พวกเขากังวลที่สุดเกี่ยวกับความไม่สบายใจของถังเทียนที่มีต่อพวกเขา ถ้าเจ้านายไม่พอใจพวกท่าน ก็หมายความว่าพวกท่านจะไม่ได้รับการส่งเสริมตลอดไป และสำหรับนายทหารผลที่ตามมาคือภัยพิบัติ พวกเขาต้องการต่อสู้ครั้งแรกในสงครามใหญ่โดยไม่มีเจตนาอื่นใด และด้วยสัญญาจิตวิญญาณยุทธซึ่งจะไม่มีการทรยศหักหลัง พวกเขาจะได้รับความไว้วางใจอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนรีบทำสัญญาจิตวิญญาณยุทธกับถังเทียนโดยไม่ลังเล
“ไปพักก่อน,เราจะออกเดินทางในสองวัน”
***********************
หานปิงหนิงกำลังมีสมาธิจดจ่อร่างของนางเหมือนกับเป็นก้อนหิน สายตาของนางไม่เคยเบนห่างจากปลายกระบี่ เพลิงสีเทาบนปลายกระบี่ดูเหมือนกับถูกแช่แข็งกระพริบไหวในอัตราที่ช้ามาก น้ำค้างแข็งที่ละเอียดเกาะอยู่บนขนตาของหานปิงหนิงอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งเริ่มเชื่อมกับคิ้วนาง
ในระยะไกลออกไป เหลียงชิวนั่งขัดสมาธิมีเปลวเพลิงบางสีเทารายรอบอยู่ที่นิ้วทั้งสิบของเขา เขามีสีหน้าเคร่งเครียด นิ้วทั้งสิบดูเหมือนกับถือบอลที่หนักตามตัวของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นและหลั่งไหลต่อเนื่อง
ตาของอโมรี่เขม็ง กล้ามเนื้อทั้งหมดเกร็งแน่นเสื้อผ้าของเขาเหมือนกับมีระลอก เปลวไฟสีเทาลุกโชนอยู่บนตัวดาบ ในทุกก้าว เขาจะคำรามและฟัน ทุกก้าวดูเหมือนสามารถเคลื่อนย้ายภูผาได้ ทุกเสียงคำรามเขาจะคำรามเหมือนฟ้าผ่า ทุกดาบจะสร้างเป็นพายุรุนแรง
ซือหม่าเซียงซานเป็นเหมือนเงาบินไปทั่วสนามฝึกฝน ร่างของเขาจะแฝงไปด้วยเพลิงสีเทาจาง ร่างในตอนแรกหายวับไป คล้ายกับอสูรร้ายแฝงด้วยธาตุหยินสุดจะหยั่ง
เพลิงสีเทาเหล่านี้ก็คือเพลิงสุญญตาน้อยที่พวกเขาได้รู้แจ้ง เป็นพรสวรรค์ของผู้ฝึกร่างพลังกายเป็นศูนย์
ตอนแรกพวกเขาต้องการเรียกเพลิงนี้ว่าเพลิงสุญญตา แต่ถังเทียนใช้ชื่อนี้ไปก่อนแล้ว และพลังของพวกเขายังไม่สามารถเทียบได้กับเพลิงสุญญตาได้ เนื่องจากภายในเพลิงสุญญตานั้นคงอยู่ในเพลิงปีศาจ เมื่อมีความคล้ายกับเพลิงสุญญตาระดับอ่อน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อว่าเพลิงสุญญตาน้อย
แม้ว่าเพลิงเหล่านี้จะไม่รุนแรงเด็ดขาดเท่ากับเพลิงสุญญตา แต่พลังของเพลิงสุญญตาน้อยก็ยังน่าตกใจ การสะท้อนได้โดยตรงที่สุดจะทำให้พวกเขามีความสามารถป้องกันวิชาจิตวิญญาณของเซียนได้ และถ้าถูกพลังเพลิงสุญญตาน้อยเล่นงาน อาจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก มันส่งผลต่อการทำลายพลังงาน และซึมซาบเข้าไปในร่างเป้าหมาย ทำลายการเชื่อมโยงของพลังงานระดับสูง แม้แต่เซียนถ้าถูกโจมตีก็อาจบาดเจ็บหนักได้เนื่องจากร่างของเซียนเชื่อมกับพลังงานที่สูงกว่า
หานปิงหนิงและสหายถูกยกย่องให้อยู่ในหน่วยสุญญตา
สมาชิกปัจจุบันของหน่วยสุญญตามีถึง 2000 คนส่วนใหญ่เป็นนักสู้ระดับทองซึ่งผ่านกระบวนการลดการเปลี่ยนแปลงพลังงาน หลังจากนั้นเป็นเวลานานหน่วยสุญญตากำลังสูญเสีย ร่างพลังกายเป็นศูยน์นั้นทรงพลัง แต่ไม่มีใครรู้วิธีฝึกฝนหลังจากนั้นและหลังจากถังเทียนรู้แจ้งวิชาเพลิงสุญญตา หานปิงหนิงและพวกก็สร้างวิชาเพลิงสุญญตาน้อยขึ้นมาตามประสบการณ์ของถังเทียน พลังของหน่วยสุญญตาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นอีก
หน่วยสุญญตามักจะต้องผ่านการฝึกในระบบของทหาร และจากนั้นจะไม่มีแม่ทัพ หน่วยสุญญตามีมาตรฐานไม่ต่างจากกองทัพ หานปิงหนิงและพวกที่เหลือไม่เคยคิดถึงเรื่องการสร้างกองทัพมาก่อน แต่หลังจากนั้นพวกเขารู้สึกว่าประโยชน์ของเขาใช้เพื่อการรุกที่แข็งแกร่งสำหรับกองทัพเป็นปฏิบัติการของหน่วยหน้ากล้าตาย
และการฝึกแบบทหารจะช่วยให้พวกเขาเข้ากับทหารได้ดี
“ติงติง ติง’ เสียงระฆังจบการฝึกเหมือนกับเสียงสวรรค์”แผละ แผละ’ คนที่เหนื่อยทุกคนทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ทุกคนหมดแรงล้มลง และมีเพียงหานปิงหนิงยังคงยืนอยู่กับกระบี่ของนาง นางหอบหายใจและหลับตาเพื่อพักฟื้นฟูกำลัง
เสียงบ่นเหนื่อยจากพวกที่ฝึกฝนอยู่ใกล้เคียงดังขึ้นทำให้ทุกคนสูดลมหายใจหนาวเหน็บ แต่ในเวลาอันรวดเร็วทุกคนตกอยู่ในความเงียบ นี่เป็นการฝึกช่วงสุดท้ายก่อนจะออกมา
ปกติ, ทุกคนจะเกลียดการฝึก แต่ขณะนั้นก็ยังไม่รู้สึกแย่ขนาดนั้น พวกเขาแค่รู้สึกว่าเป็นการฝืนใจ
พวกเขาเตรียมเข้าสู่สนามรบ และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฝึกฝนกันแบบสบายๆ ทุกคนนอนลงกับพื้น มองดูท้องฟ้าเพลิดเพลินกับความเงียบ
สิบนาทีต่อมาทุกคนก็เริ่มหายใจปกติและฟื้นฟูพลังเล็กน้อย ความรู้สึกไม่เต็มที่หายไปกลับเป็นความสงสัยเข้ามาแทนที่
“ข้าสงสัยว่าดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับอะไรแน่” ซือหม่าเซียงซานพึมพำ
“หรือว่าเสี่ยวซานซานกลัว?” อาโมรี่แค่นเสียง และยักคิ้วให้ซือหม่าเซียงซาน
“บ้าน่ะสิ”ซือหม่าเซียงซานถลึงตาใส่อาโมรี่ เป็นการไม่ฉลาดเลยที่หาเรื่องกับเขา
“ข้าเพียงแต่กังวลนิดหน่อย” เหลียงชิวหัวเราะ เขาไม่ได้เผยอารมณ์ของเขา “ข้าได้ยินว่าคนในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เกิดมาก็เป็นเซียนกันเลย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีที่น่ากลัวแบบนั้นอยู่ในโลกจริง”
สีหน้าทุกคนไม่สบายใจ เซียนในสวรรค์วิถีเป็นกลุ่มคนชั้นบนสุดของปิรามิด แต่ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นคนธรรมดา แค่คิดถึงทะเลเซียนก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันแล้ว
“จะต้องไปกลัวอะไร!” อาโมรี่พูดอย่างไม่พอใจ “ถังห้าวก็ไปเดินเล่นที่นั่นมาแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าก็ต้องการไปด้วย! ข้าต้องการให้พวกเขาได้เห็นวีรบุรุษของกลุ่มดาวหมีใหญ่!
“วีรบุรุษแห่งกลุ่มดาวหมีใหญ่? เจ้าช่างหน้าหนาเสียจริง!” ซือหม่าเซียงซานแค่นเสียงเยาะเย้ย
“เจ้าบอกว่าข้าหน้าหนาหรือ?” อาโมรี่โมโห “หรือว่าเจ้าอยากมีเรื่อง?”
“เจ้าคิดแต่หาเรื่องสู้ สู้แล้วหน้าของเจ้าจะบางลงไหม?หน้าอ้วนซะขนาดนั้น!”
“หน้าอ้วน...ข้าจะฆ่าเจ้า...”
เมื่อได้ยินอาโมรี่และซือหม่าเซียงซานทะเลาะกันมากขึ้น หานปิงหนิงค่อยๆ ลืมตา ดวงตากระจ่างเหมือนแก้วบริสุทธิ์โปร่งใสหักเหแสงอาทิตย์ได้
‘ในที่สุดข้าก็สามารถต่อสู้เคียงข้างเจ้า’