ตอนที่แล้วตอนที่ 678 สัตว์ประหลาดอัปลักษณ์!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 680 อาคันตุกะไม่คาดหมาย

ตอนที่ 679 เนี่ยชิวจงหลีไป๋และหน่วยสุญญตา


การเจรจากับเลโอนราบรื่นมากกว่าที่ถังเทียนคาดเอาไว้

ใครจะรู้กันว่าเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดที่ทำให้เลโอนตกใจหรือว่าพญาราชสีห์เองเต็มไปด้วยความกระหายต้องการพิชิตดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นความเกลียดสมาพันธ์ชาวยุทธอย่างลึกล้ำ แต่เลโอนเลือกจะเป็นพันธมิตรกับถังเทียนโดยไม่ลังเลใจ

เขาไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เพราะกลุ่มดาวราชสีห์ตั้งใจจะลงมือโจมตีสมาพันธ์ชาวยุทธอย่างเต็มกำลัง  สมบัติของถังเทียนทำขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมไร้ที่ติ

เพื่อเป็นการตอบแทนเขา  เขามอบบริวารสองคนให้ถังเทียน

“พวกเขาฝีมือดี  แต่ข้าไม่มีตำแหน่งให้พวกเขาที่กลุ่มดาวราชสีห์ การติดตามข้าต่อไปจะทำให้พรสวรรค์ของพวกเขาสูญเสียไป”

สำหรับถังเทียนคำพูดของเลโอนเป็นการโอ้อวด แต่เขาต้องยอมรับว่าระบบทหารของกลุ่มดาวหมีใหญ่ง่ายมากกว่าเมื่อเทียบกับของกลุ่มดาวราชสีห์  กลุ่มดาวราชสีห์มีระบบการทหารที่สมบูรณ์ที่สุดในสวรรค์วิถี  ด้วยโรงเรียนทหารที่โดดเด่นหลายแห่ง  ทหารได้รับการเคารพ  และคนระดับสูงเห็นคุณค่าของพวกเขาทั้งหมด สร้างเป็นบรรยากาศที่ดี ผู้เยาว์ของกลุ่มดาวราชสีห์ยินดีจะกลายเป็นขุนพลทหารที่โดดเด่นมากกว่าจะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งทรงพลัง

กลุ่มดาวราชสีห์ไม่เคยขาดแคลนแม่ทัพฝีมือดี และเป็นปรากฏการณ์อยู่ทั่วไปที่จะมีส่วนเกินของพวกเขา

เนี่ยชิวและจงหลีไป๋ก็เป็นตัวอย่างเช่นนั้น  พวกเขาทั้งสองคนเต็มไปด้วยพรสวรรค์  แต่พวกเขาประสบการณ์เป็นศูนย์  กองทัพขนาดใหญ่ต่างๆของกลุ่มดาวราชสีห์นั้นเต็มหมดแล้ว และพวกเขาไม่ยินดีจะเสียเวลาตัดสินผู้มีพรสวรรค์เพื่ออนาคตหรือสำรองเอาไว้

ความจริงเลโอนเองไม่ยินดีจะเสียคนทั้งสองไป  แต่ในสถานการณ์ที่เขาไม่เหลือทางเลือกอื่น กลุ่มดาวราชสีห์เลือกระบบนายทหารที่สมบูรณ์ที่สุดและนายทหารทั้งหมดจะถูกระบบตัดสินในที่สุด แต่ผู้อาวุโสของพวกเขามาจากคนรุ่นหนุ่มที่ได้รับการศึกษาและทรงพลังทั้งหมดมีความสำเร็จตามสายงานและครอบครัวร่ำรวยสนับสนุน  ทางข้างหน้าของเนี่ยชิวและจงหลีไป๋ยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าแถวรออยู่เช่นกัน และแม้ว่าเลโอนจะชื่นชมทั้งสองคน แต่เขาจะไม่ขัดขวางคำสั่งและระบบเพื่อคนทั้งสอง

ทั้งสองคนรู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสในกลุ่มดาวราชสีห์ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าหมายมาที่กลุ่มดาวหมีใหญ่  สำหรับคนนอกกลุ่มดาวหมีใหญ่เต็มไปด้วยนายทหารที่ลือชื่อ และเป็นแหล่งรวมพรสวรรค์ แต่ทั้งสองคนกลับเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม่ทัพผู้โดดเด่นที่สุดของกลุ่มดาวหมีใหญ่ล้วนเป็นขุนพลวิญญาณทั้งหมด แม้ว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่จะมีความพยายามอย่างหนักในการเลือกแม่ทัพทหารได้ดีตั้งแต่แรกแต่ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน และคนรุ่นหนุ่มต้องใช้เวลาในการเติบโต และต้องใช้การสู้รบจริงเพื่อพิสูจน์ความสามารถของพวกเขา

ทั้งสองคนไม่ได้เริ่มหาที่พักพิงในกลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่กลับไปหาเลโอนก่อนและบอกความคิดของตนเองโดยตรง  พวกเขาไม่รู้คำเชิญลับที่ถังเทียนส่งให้เลโอน แต่พวกเขาคิดว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มดาวราชสีห์อย่างแท้จริง  แต่แค่ต้องการอาศัยชื่อของพันธมิตร

แต่พวกเขาไม่สนใจเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรพวกเขาไม่ใช่ทางเลือกที่แย่

หลังจากได้ฟังความคิดเห็นของทั้งสอง  เลโอนเงียบไปพักหนึ่ง  แต่ก็ยังเห็นด้วย

ถังเทียนรับทั้งสองคนไว้

เนี่ยชิวมีใบหน้ากลมป้อมขาวและรูปร่างไม่ใหญ่ เขามีผมสั้นหน้าผากกว้างและนิ่งเงียบคล้ายกับนักเรียนที่ดี มีเพียงลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับเขาก็คือตาของเขา  เขามักหลับตาเสมอและปากของเขามักประดับรอยยิ้มเลือนราง

ถังเทียนประหลาดใจ  “ตาของเจ้า...”

เนี่ยชิวคำนับ จากนั้นพูดอย่างเป็นกันเอง  “ข้าตาบอดแต่กำเนิด”

“อย่างนั้นเจ้าจะสั่งการรบได้ยังไง?”  ถังเทียนอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ด้วยการรับรู้  ใบหน้าของเนี่ยชิวยังคงมีรอยยิ้มเป็นกันเอง ”ความรับรู้ของข้าน้อยค่อนข้างจะโดดเด่น”

ถังเทียนเข้าใจ แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าใครบางคนจะสามารถใช้ความรับรู้ของพวกเขาออกคำสั่ง ‘น่าสนใจ!’ถังเทียนอดมองดูตาของเนี่ยชิวและอดยิ้มไม่ได้

จากนั้นเขาหันไปมองจงหลีไป๋  เทียบกับเนี่ยชิวแล้ว จงหลีไป๋ดูโดดเด่นตลอดทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้าม หน้าของเขา ใบหน้าของเขาขรุขระราวกับใช้ขวานถาก เขารวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ผมยุ่งเหยิงราวกับสายไฟ ตาเล็กขนาดเท่าถั่วดูเคร่งขรึม และยืนตรงอยู่กับที่  เขาให้ความรู้สึกที่อันตราย

เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่พร้อมจะกลืนกินใครก็ตามที่เข้ามาใกล้

จงหลีไป๋มีรูปร่างสูงใหญ่สูงเกิน 2 เมตรถังเทียนต้องเงยหน้ามองดูเขา “แล้วเจ้ามีอะไรดี?”

“นักทำลาย”  จงหลีไป๋พูดเต็มไปด้วยพลังงานเหมือนกับว่าอกของเขาเป็นที่เปล่งเสียงออกมา ขณะที่พูดเขาจะหรี่ตาและปล่อยประกายที่รุนแรง

“พวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายร่วมสำนักหรือเปล่า?”  ถังเทียนถามด้วยความสงสัย

“เราไม่ได้เป็น”  เสียงของเนี่ยชิวนุ่มนวลและมีความตั้งใจ

“ไม่!” น้ำเสียงของจงหลีไป๋ห้วนไม่มีหางเสียง

“ข้าน้อยมาจากสถาบันใจสิงห์  ส่วนจงหลีไป๋มาจากสถาบันไฟนรก  สถาบันทั้งสองเป็นคู่แข่งกัน”  เนี่ยชิวพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ศัตรูตัวสำคัญ!”  จงหลีไป๋แค่นเสียงปล่อยความรู้สึกที่เย็นชา

ถังเทียนเข้าใจและรู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้น

เขาลูบคางมองดูคนทั้งสอง จากนั้นถามทันที “พวกเจ้าอยากไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือว่าจะอยู่ที่สวรรค์วิถี?”

“ข้าน้อยต้องการจะไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์”

“ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์”

ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน  พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนฉลาดและรู้ว่าโครงสร้างของกลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบันได้จัดระเบียบไว้ก่อนแล้ว ขณะที่ดาราจักเซียนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก  นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองยังสงสัยเกี่ยวกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์

“เส้นทางสู่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์อันตราย”  ถังเทียนเตือนทั้งสอง

“อาชีพของนายทหารมีอันตรายมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”  เนี่ยชิวกล่าว

“ไม่มีปัญหา”  จงหลีไป๋พูดอย่างเฉยเมย

ถังเทียนตัดบท  “อย่างนั้นเรามาทำสัญญาจิตวิญญาณยุทธกัน”

เขาตัดสินใจให้ปิงประเมินคนทั้งสอง

ทั้งสองคนลอบถอนหายใจโล่งอก  พวกเขากังวลที่สุดเกี่ยวกับความไม่สบายใจของถังเทียนที่มีต่อพวกเขา  ถ้าเจ้านายไม่พอใจพวกท่าน ก็หมายความว่าพวกท่านจะไม่ได้รับการส่งเสริมตลอดไป  และสำหรับนายทหารผลที่ตามมาคือภัยพิบัติ พวกเขาต้องการต่อสู้ครั้งแรกในสงครามใหญ่โดยไม่มีเจตนาอื่นใด และด้วยสัญญาจิตวิญญาณยุทธซึ่งจะไม่มีการทรยศหักหลัง  พวกเขาจะได้รับความไว้วางใจอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนรีบทำสัญญาจิตวิญญาณยุทธกับถังเทียนโดยไม่ลังเล

“ไปพักก่อน,เราจะออกเดินทางในสองวัน”

***********************

หานปิงหนิงกำลังมีสมาธิจดจ่อร่างของนางเหมือนกับเป็นก้อนหิน สายตาของนางไม่เคยเบนห่างจากปลายกระบี่  เพลิงสีเทาบนปลายกระบี่ดูเหมือนกับถูกแช่แข็งกระพริบไหวในอัตราที่ช้ามาก น้ำค้างแข็งที่ละเอียดเกาะอยู่บนขนตาของหานปิงหนิงอย่างรวดเร็ว  น้ำแข็งเริ่มเชื่อมกับคิ้วนาง

ในระยะไกลออกไป เหลียงชิวนั่งขัดสมาธิมีเปลวเพลิงบางสีเทารายรอบอยู่ที่นิ้วทั้งสิบของเขา  เขามีสีหน้าเคร่งเครียด  นิ้วทั้งสิบดูเหมือนกับถือบอลที่หนักตามตัวของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นและหลั่งไหลต่อเนื่อง

ตาของอโมรี่เขม็ง กล้ามเนื้อทั้งหมดเกร็งแน่นเสื้อผ้าของเขาเหมือนกับมีระลอก เปลวไฟสีเทาลุกโชนอยู่บนตัวดาบ ในทุกก้าว เขาจะคำรามและฟัน ทุกก้าวดูเหมือนสามารถเคลื่อนย้ายภูผาได้ ทุกเสียงคำรามเขาจะคำรามเหมือนฟ้าผ่า ทุกดาบจะสร้างเป็นพายุรุนแรง

ซือหม่าเซียงซานเป็นเหมือนเงาบินไปทั่วสนามฝึกฝน ร่างของเขาจะแฝงไปด้วยเพลิงสีเทาจาง ร่างในตอนแรกหายวับไป คล้ายกับอสูรร้ายแฝงด้วยธาตุหยินสุดจะหยั่ง

เพลิงสีเทาเหล่านี้ก็คือเพลิงสุญญตาน้อยที่พวกเขาได้รู้แจ้ง เป็นพรสวรรค์ของผู้ฝึกร่างพลังกายเป็นศูนย์

ตอนแรกพวกเขาต้องการเรียกเพลิงนี้ว่าเพลิงสุญญตา  แต่ถังเทียนใช้ชื่อนี้ไปก่อนแล้ว  และพลังของพวกเขายังไม่สามารถเทียบได้กับเพลิงสุญญตาได้ เนื่องจากภายในเพลิงสุญญตานั้นคงอยู่ในเพลิงปีศาจ  เมื่อมีความคล้ายกับเพลิงสุญญตาระดับอ่อน  ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อว่าเพลิงสุญญตาน้อย

แม้ว่าเพลิงเหล่านี้จะไม่รุนแรงเด็ดขาดเท่ากับเพลิงสุญญตา  แต่พลังของเพลิงสุญญตาน้อยก็ยังน่าตกใจ การสะท้อนได้โดยตรงที่สุดจะทำให้พวกเขามีความสามารถป้องกันวิชาจิตวิญญาณของเซียนได้  และถ้าถูกพลังเพลิงสุญญตาน้อยเล่นงาน  อาจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก  มันส่งผลต่อการทำลายพลังงาน  และซึมซาบเข้าไปในร่างเป้าหมาย  ทำลายการเชื่อมโยงของพลังงานระดับสูง  แม้แต่เซียนถ้าถูกโจมตีก็อาจบาดเจ็บหนักได้เนื่องจากร่างของเซียนเชื่อมกับพลังงานที่สูงกว่า

หานปิงหนิงและสหายถูกยกย่องให้อยู่ในหน่วยสุญญตา

สมาชิกปัจจุบันของหน่วยสุญญตามีถึง 2000 คนส่วนใหญ่เป็นนักสู้ระดับทองซึ่งผ่านกระบวนการลดการเปลี่ยนแปลงพลังงาน  หลังจากนั้นเป็นเวลานานหน่วยสุญญตากำลังสูญเสีย ร่างพลังกายเป็นศูยน์นั้นทรงพลัง แต่ไม่มีใครรู้วิธีฝึกฝนหลังจากนั้นและหลังจากถังเทียนรู้แจ้งวิชาเพลิงสุญญตา หานปิงหนิงและพวกก็สร้างวิชาเพลิงสุญญตาน้อยขึ้นมาตามประสบการณ์ของถังเทียน พลังของหน่วยสุญญตาจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นอีก

หน่วยสุญญตามักจะต้องผ่านการฝึกในระบบของทหาร  และจากนั้นจะไม่มีแม่ทัพ  หน่วยสุญญตามีมาตรฐานไม่ต่างจากกองทัพ หานปิงหนิงและพวกที่เหลือไม่เคยคิดถึงเรื่องการสร้างกองทัพมาก่อน  แต่หลังจากนั้นพวกเขารู้สึกว่าประโยชน์ของเขาใช้เพื่อการรุกที่แข็งแกร่งสำหรับกองทัพเป็นปฏิบัติการของหน่วยหน้ากล้าตาย

และการฝึกแบบทหารจะช่วยให้พวกเขาเข้ากับทหารได้ดี

“ติงติง ติง’  เสียงระฆังจบการฝึกเหมือนกับเสียงสวรรค์”แผละ  แผละ’ คนที่เหนื่อยทุกคนทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ทุกคนหมดแรงล้มลง และมีเพียงหานปิงหนิงยังคงยืนอยู่กับกระบี่ของนาง  นางหอบหายใจและหลับตาเพื่อพักฟื้นฟูกำลัง

เสียงบ่นเหนื่อยจากพวกที่ฝึกฝนอยู่ใกล้เคียงดังขึ้นทำให้ทุกคนสูดลมหายใจหนาวเหน็บ แต่ในเวลาอันรวดเร็วทุกคนตกอยู่ในความเงียบ  นี่เป็นการฝึกช่วงสุดท้ายก่อนจะออกมา

ปกติ, ทุกคนจะเกลียดการฝึก  แต่ขณะนั้นก็ยังไม่รู้สึกแย่ขนาดนั้น  พวกเขาแค่รู้สึกว่าเป็นการฝืนใจ

พวกเขาเตรียมเข้าสู่สนามรบ และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฝึกฝนกันแบบสบายๆ  ทุกคนนอนลงกับพื้น มองดูท้องฟ้าเพลิดเพลินกับความเงียบ

สิบนาทีต่อมาทุกคนก็เริ่มหายใจปกติและฟื้นฟูพลังเล็กน้อย  ความรู้สึกไม่เต็มที่หายไปกลับเป็นความสงสัยเข้ามาแทนที่

“ข้าสงสัยว่าดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับอะไรแน่”  ซือหม่าเซียงซานพึมพำ

“หรือว่าเสี่ยวซานซานกลัว?”  อาโมรี่แค่นเสียง  และยักคิ้วให้ซือหม่าเซียงซาน

“บ้าน่ะสิ”ซือหม่าเซียงซานถลึงตาใส่อาโมรี่ เป็นการไม่ฉลาดเลยที่หาเรื่องกับเขา

“ข้าเพียงแต่กังวลนิดหน่อย”  เหลียงชิวหัวเราะ  เขาไม่ได้เผยอารมณ์ของเขา “ข้าได้ยินว่าคนในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เกิดมาก็เป็นเซียนกันเลย  ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีที่น่ากลัวแบบนั้นอยู่ในโลกจริง”

สีหน้าทุกคนไม่สบายใจ เซียนในสวรรค์วิถีเป็นกลุ่มคนชั้นบนสุดของปิรามิด  แต่ในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์กลับเป็นคนธรรมดา แค่คิดถึงทะเลเซียนก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันแล้ว

“จะต้องไปกลัวอะไร!”  อาโมรี่พูดอย่างไม่พอใจ “ถังห้าวก็ไปเดินเล่นที่นั่นมาแล้วไม่ใช่หรือ?  ข้าก็ต้องการไปด้วย!  ข้าต้องการให้พวกเขาได้เห็นวีรบุรุษของกลุ่มดาวหมีใหญ่!

“วีรบุรุษแห่งกลุ่มดาวหมีใหญ่?  เจ้าช่างหน้าหนาเสียจริง!” ซือหม่าเซียงซานแค่นเสียงเยาะเย้ย

“เจ้าบอกว่าข้าหน้าหนาหรือ?”   อาโมรี่โมโห “หรือว่าเจ้าอยากมีเรื่อง?”

“เจ้าคิดแต่หาเรื่องสู้  สู้แล้วหน้าของเจ้าจะบางลงไหม?หน้าอ้วนซะขนาดนั้น!”

“หน้าอ้วน...ข้าจะฆ่าเจ้า...”

เมื่อได้ยินอาโมรี่และซือหม่าเซียงซานทะเลาะกันมากขึ้น  หานปิงหนิงค่อยๆ ลืมตา ดวงตากระจ่างเหมือนแก้วบริสุทธิ์โปร่งใสหักเหแสงอาทิตย์ได้

‘ในที่สุดข้าก็สามารถต่อสู้เคียงข้างเจ้า’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด