ตอนที่ 42 รถที่ขวางเส้นทางและอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่
ตอนที่ 42 รถที่ขวางเส้นทางและอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่
สองชั่วโมงต่อมารถเก๋งตำรวจและรถกระบะ 4 ประตูทั้งสองคันของพวกเขาก็ขับตามถนนไปตามเส้นทางที่ได้ดูกันไว้ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังค่ายลี้ภัยที่เมืองหินเหล็ก เมืองแห่งอุตสาหกรรมหลัก ที่ตอนนี้ได้ถูกใช้เป็นค่ายลี้ภัย
ซึ่งตอนนี้พวกเรนและกลุ่มยังเหลือการเดินทางอีกไกลกว่าจะไปถึง
รถของพวกเขาขับไม่เร็วมากนัก เพราะต้องคอยระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นบนเส้นทาง
“พวกเราเจอปัญหาแล้ว” ผู้กองเชนกล่าวขึ้นมา ก่อนจะชะลอลดความเร็วลง เนื่องจากถนนด้านหน้านั้นมีรถจอดขวางเรียงราย
ธันวาที่ขับรถกระบะตามหลังมาก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงด้วยเช่นกัน
หลังจากรถได้หยุดลง เรนก็เปิดประตูรถลงมาตรวจสอบสถานการณ์ตรงหน้า เขาปืนขึ้นไปบนหลังคาของรถคันหนึ่งและมองไปตามถนน
“เป็นยังไงบ้างเรน” ธันวาลงมาจากรถและตะโกนถาม ขณะที่หรี่ตามองเรน เนื่องจากตอนนี้เริ่มมีแดดแรงขึ้นมา ผิดกับตอนเช้ามืดช่วงที่ฝนตกหนักพอสมควร
ผู้กองเชนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มลงมาดูด้วยเช่นกัน และถือโอกาสในการบิดตัวไปมาคลายความปวดเมื่อยที่นั่งรถมานาน
“ปัญหาใหญ่เลย รถด้านหน้าติดยาวหลายเมตร ดูเหมือนขวางทางลงอุโมงค์ไว้ด้วย” เรนหันไปกล่าวกับธันวา
ถนนเส้นที่พวกเขาจะไปกันนั้นมันเป็นถนน 2 เลนที่มีทางลอดใต้อุโมงค์เข้าไปประมาณ 100 เมตร ก่อนจะโผล่ไปยังถนนอีกฝั่งหนึ่ง
ธันวาจึงขึ้นไปบนหลังรถอีกคัน เพื่อตรวจดูด้วย ก็เป็นอย่างที่เรนบอกจริง ๆ รถด้านหน้าถูกจอดทิ้งไว้บนถนน มันขวางทางพวกเขาที่จะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางนี้
“วิ่งเลาะริมถนนไปได้ไหม แล้วไปเข้าตรงอุโมงค์เอา” เรนหันไปถามผู้กองเชน
“ไม่ได้ มันมีร่องน้ำอยู่ ลงไปคงจมได้” ผู้กองเชนลองเอาเท้าเหยียบ ๆ ดินขอบถนนที่ติดกับร่องน้ำดู เนื่องจากฝนตกหนักหลายวันและยังเป็นทางที่มีร่องน้ำกับคูน้ำอีก ทำให้ดินตรงนี้กลายเป็นโคลน
“อีกอย่างไม่รู้รถจะแทรกเข้าไปที่อุโมงค์ได้หรือเปล่า ไปตรวจสอบข้างหน้ากันก่อนเถอะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอายังไง” ผู้กองเชนกล่าว ก่อนจะเดินแทรกตัวไประหว่างรถที่จอดขวางกันอยู่บนถนน
“ฝากดูตรงนี้ด้วย ถ้าพวกนั้นทำอะไรที่เป็นอันตรายยิงได้เลย” เรนหันไปบอกกับธัน
“วางใจได้ ฉันอยากจะยิงไอ้บ้านั่นเหมือนกัน” ธันวาตอบเรนกลับด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเมฆสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหลังจากซัดกันเมื่อเช้านี้
เรนและผู้กองเชนทั้งสองคนเดินแทรกตัวไปตามรถยนต์ที่จอดขวางถนนอย่างระมัดระวัง
“คนบนรถพวกนี้หายไปไหนกันหมด” ผู้กองเชนมองผ่านหน้าต่างของรถ ด้านในไม่มีผู้ติดเชื้อหรือร่างมนุษย์อยู่เลย แต่ยังพบร่องรอยอยู่บางจากรถบางคันที่เปิดประตูทิ้งไว้และมีคราบเลือดด้านในรถ
ส่วนบนพื้นนั้นมันไม่มีแล้ว เพราะถูกน้ำฝนชะล้างไป
เรนเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะประเมินจากรถที่จอดทิ้งกันอยู่ทรงนี้อย่างน้อยก็น่าจะมีสัก 1-200 คน แต่ว่ากลับไม่เจอคนหรือผู้ติดเชื้อสักตัวเลย
“บางทีพวกเขาอาจจะลงเดินเท้ากันไปหรือไม่ก็พากันวิ่งหนีไป” เรนกล่าวขึ้นมาและหันไปมองซ้ายขวา สองข้างทางมีร่องน้ำก็จริง แต่ถัดไปก็นั้นเป็นเนินหญ้ากว้าง ๆ ซึ่งผู้คนอาจจะพากันวิ่งหนีไปหลังจากรถมันขยับไปไม่ได้และเกิดมีผู้ติดเชื้อขึ้นมา
“นั้นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมรถพวกเขาถึงมาจอดติดกันอยู่ตรงนี้” เรนพูดและเดินไปดู
ผู้กองเชนไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ด้านหน้าของพวกเขามีรถไม่ต่ำกว่า 5-6 คันได้ชนกันระเนระนาด บางคันก็พลิกคว่ำ บางคันก็พังยับเสียหาย ซึ่งอุบัติเหตุนี้เกิดตรงปากทางเข้าอุโมงค์พอดี มันจึงไปปิดบังเส้นทางของถนนทั้งสองเลนจนรถคันด้านหลังไม่อาจจะตามเข้าไปในอุโมงค์ได้
“คงเกิดเรื่องกันตั้งแต่สามถึงสี่วันที่แล้ว” ผู้กองเชนจับไปที่ซากรถและก้มลงไปดูในรถพวกนั้น
“บ้าจริง!” ผู้กองสะดุ้งตกใจ เพราะอยู่ ๆ ก็พบกับชิ้นส่วนขาของมนุษย์ที่โดนอัดติดอยู่กับรถอย่างไม่ทันตั้งตัว
“มีอะไรหรือเปล่า?” เรนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีขาติดคาอยู่ คงไม่ใช่ว่ามันเจ้าของขาโดนผู้ติดเชื้อลากไปกินหมดแล้วนะ” ผู้กองกล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม เพราะตามปกติ ถ้าขาติดอยู่คงไม่มีใครใจเด็ดตัดขาตัวเองเพื่อหนีออกไปแน่นอน
“ทางนี้พอจะแทรกตัวผ่านไปได้” เรนเดินไปทางข้าง ๆ ของซากรถ มันมีพื้นที่พอให้เดินเข้าไปได้อยู่
เรนเดินผ่านซอกนั้นไป พร้อมกับใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในอุโมงค์ที่มืดแห่งนี้ด้วยความระวัง แต่พอเข้าไปเรนก็ต้องพบว่าอุโมงค์นั้นมันเต็มไปด้วยน้ำ
“ด้านในมีพวกมันไหม” ผู้กองเชนเดินตามเข้ามาและถาม
“ไม่มี แต่อุโมงค์โดนน้ำท่วมขัง น่าจะเป็นน้ำฝนด้านที่ตกลงมาแล้วไฟดับปั๊มเลยไม่ทำงาน” เรนตอบกลับ โดยไม่ได้หันกลับไปมอง
ผู้กองเชนที่พึ่งตามเข้ามาก็เริ่มมองดูเช่นกัน
“มันไม่น่าจะลึกมาก คงสักหัวเขารถยังพอขับผ่านไปได้อยู่” ผู้กองเชนลองใช้เท้าของตัวเองวัดระดับน้ำดู
เรนลองหยิบก้อนปูนที่แตกออกมาแถวนั้น ก่อนจะลองปาลงไปในน้ำ เขาพบว่ารูนิกลางสังหรณ์ไม่ได้ตอบสนองถึงอันตรายอะไร
“เรากลับไปปรึกษาคนอื่น ๆ กันก่อนก็แล้วกัน” เรนกล่าว เพราะถ้าจะไปจริง ๆ พวกเขาต้องเคลียร์ถนนให้รถขับเข้ามาได้ ซึ่งคงใช้เวลามากพอสมควร
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปรวมกับคนอื่น ๆ และเล่าสิ่งที่เจอให้กับพวกเขาฟัง
“ตอนนี้มีสองตัวเลือกหนึ่งคือย้อนกลับไปและหาเส้นทางอื่น สองคือย้ายรถพวกนี้ออกและไปทางเดิม” เรนบอกกับทุกคน เพื่อให้พวกเขาได้เลือกกัน
“ถ้าอ้อมไปถนนอีกเส้นหนึ่งที่ใกล้ที่สุด มีโอกาสสูงมากที่ถนนเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยรถที่ขวางเส้นทางบนถนน เพราะมันเป็นทางหลัก ส่วนทางถัดไปมันไกลเกินไป คงเสียเวลาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมงเลยถ้าจะย้อนกลับไป” หลินกล่าวขึ้นมา ขณะที่เธอมาช่วยดูแผนที่
“นายบอกว่ามันไม่มีผู้ติดเชื้ออยู่ด้านในอุโมงค์ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็คือแถวนี้ยังคงปลอดภัย เราเสียเวลาตรงนี้เพื่อย้ายรถที่ขวางทางหลบออกไปและข้ามอุโมงค์นี้ไปคงเข้าท่ากว่าที่จะไปเสี่ยงเจอพวกผู้ติดเชื้อในเส้นทางอื่น” ธันวากล่าวอย่างเห็นด้วยกับตัวเลือกที่สองของเรน
ไอราเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ส่วนรินดานั้นอย่างไรก็ได้ เธอจึงไม่ได้เสนอความคิดของตนออกไป
“ผู้กองว่ายังไง” เรนหันไปถามเชน เพราะดูเหมือนกลุ่มของเขาจะเห็นด้วยกับการย้ายรถหลบออกไป
“ย้ายรถกันเถอะ” ผู้กองเชนพูดขึ้นมา ก่อนจะเริ่มลงมือ
คนอื่น ๆ เองก็ช่วยลงมือด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเองเมฆที่เห็นว่าพวกเขาเริ่มย้ายรถกันจึงส่งเสียงตะโกนเรียกเรน
“เฮ! แค่พวกนายวันนี้ก็คงจะเสร็จหรอก ปล่อยฉันออกไปสิแล้วฉันจะช่วยพวกนายย้ายรถออกไปอีกแรงหนึ่ง” เมฆเขย่ากุญแจมือที่ล็อกตัวเองติดกับท้ายรถกระบะไว้อยู่
“ไม่จำเป็น” เรนกล่าวอย่างไม่สนใจคำพูดของเมฆ
“ผู้กองผมช่วยพวกคุณได้นะ” เมฆตะโกนเรียกผู้กองเชน แต่ผู้กองเชนกลับเมินเขาเช่นกันและเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ ก่อนจะลองสตาร์ทรถ
ซึ่งรถบางคันก็ยังติดอยู่ แต่บางคันก็สตาร์ทไม่ติดแล้ว จึงใช้คนช่วยเข็นเอา
เรนถือเป็นกำลังหลักในการย้ายรถเหล่านี้ เพราะเขาใช้รูนิกหมีดำภูเขาด้วยสภาวะแรก จำลองพลัง ทำให้เรนมีพละกำลังมหาศาลมากกว่าคนทั่วไป การดันรถเหล่านี้จึงง่ายมาก
ทุกคนนั้นช่วยกันเคลื่อนย้ายรถลงไปยังข้างทาง ในระหว่างนั้นก็สำรวจดูของในรถไปด้วย
“เรนดูนี่สิ” ธันวาหยิบของบางอย่างเดินเข้ามาให้เรนดู มันคือทองคำเป็นสร้อยทองและเงินจำนวนหนึ่ง
“เอายังไงกับของพวกนี้ดี” หลินเองก็พบด้วยเช่นกัน เธอถึงถามขึ้นมา
“เก็บไว้ก่อน บางทีที่ค่ายลี้ภัยอาจจะได้ใช้พวกมัน” เรนตอบกลับไป
เพราะแม้ตอนนี้โลกจะล่มสลายแล้ว แต่เรนก็คิดว่าทองคำนั่นน่าจะยังมีค่าอยู่ เนื่องจากมันไม่ได้เป็นแค่เงินตราเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ถ้าค่ายลี้ภัยที่เขากำลังไปคือสถานที่ในการรวบรวมคนเพื่อรักษาอารยธรรมของมนุษย์ ทองเหล่านี้จะยังสามารถใช้แลกสิ่งของต่าง ๆ ได้
ของมีค่าต่าง ๆ ในรถถูกเก็บรวบรวมมาในระหว่างนั้นเรนก็ไปลากเอาพวกซากรถที่ขวางทางอุโมงค์ออกไป เขาไม่จำเป็นต้องลากไปทิ้ง เพราะแบบนั้นจะสิ้นเปลือกแรงของเรนมากเกินไป
เรนเพียงแค่เปิดเส้นทางพอให้รถวิ่งผ่านเข้าในอุโมงค์ได้ก็เพียงพอแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็จัดการเคลียร์เส้นทางจนสามารถเดินทางต่อได้แล้ว
โดยใช้เวลาไปทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง
เรนกลับมาในร่างของคนปกติและพักสูดอากาศหายใจสักพักจึงฟื้นฟูและหายจากอาการเหนื่อยล้าได้ เขายังดูดซับหินพลังงานเพื่อฟื้นฟูร่างกายของตนเองอีกด้วย
ส่วนคนอื่น ๆ นั้นก็เริ่มเติมพลังงานด้วยอาหารเที่ยง มันเป็นการกินอาหารง่าย ๆ อย่างพวกขนมปัง นมกล่องหรือไม่ก็น้ำอัดลมที่เอามาจากร้านสะดวกซื้อ
ผู้กองเชนโยนขนมปังห่อหนึ่งและน้ำเปล่าหนึ่งขวดให้กับให้กับเมฆและลี ลียังได้รับยาแก้อักเสบและแก้ไข้มาอีกอย่างละหนึ่งเม็ด
“ขอบ...ขอบคุณ” ลีกล่าวกับหลินที่เป็นคนส่งยาให้กับตนเอง
“หึ” เมฆดูจะไม่พอใจกับอาหารที่แบ่งให้ แต่เพราะความหิวจึงหยิบของพวกนั้นมากินอย่างคับแค้นใจ ในระหว่างนั้นเขายังหันไปข่มใส่ลีด้วยว่า
“นายจะซึ้งใจอะไรนักหนาวะไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย! พวกมันเป็นคนยิงขาแกนะ ยังจะไปขอบคุณมันอีก”
ลีไม่ตอบกลับไปและแกล้งทำเป็นเมินใส่เมฆ ทำให้เมฆหงุดหงิดจนอยากจะเข้าไปจัดการลี แต่เพราะเขาโดนล็อกกุญแจมืออยู่จึงไม่สามารถทำอะไรลีได้ นอกจากมองอย่างดูถูกเท่านั้น
...
หลังจากฟื้นพลังกันแล้วพวกเขาก็เตรียมออกเดินทางอีกครั้ง
รถของพวกเขาค่อย ๆ ขับผ่านซากรถตรงหน้าอุโมงค์เข้าไป โดยมีรถตำรวจของผู้กองเชนนั้นนำหน้าตามปกติและด้านหลังเป็นรถกระบะ 4 ประตูที่ธันวาเป็นคนขับ
เรนที่นั่งอยู่ข้างคนขับของรถคันแรกมองดูคลื่นน้ำที่กระจายจากล้อไปอย่างใจเย็นและลุ้นพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าน้ำจะลึกเกินไปหรือเปล่า แต่ว่าพอเห็นว่ารถสามารถลุยไปได้โดยไม่มีปัญหาเรนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่แล้วตอนนั้นก็มีปัญหาเกิดขึ้นกับรถของธันวาที่ขับตามหลังมาก
ปรากฏว่ารถของธันวานั้นอยู่ ๆ ก็มีอาการเหมือนติดหลุม แม้จะพยายามเร่งเครื่องจนเสียงดังไปทั้งอุโมงค์แล้วก็ยังไม่สามารถขยับออกจากจุดนั้นได้
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้กองเชนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย ขณะที่โผล่หัวออกไปดู
เรนเองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขากำลังจะเปิดประตูรถลงไป แต่แล้วตอนนั้นเองรูนิกลางสังหรณ์ก็แจ้งเตือนเรน มันเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายมาก สูงซะยิ่งกว่าพวกผู้ติดเชื้อผิวลอกที่เขาเคยสัมผัสมามาก
เขาไม่รอช้ารีบตะโกนเสียงดังเพื่อเตือนทุกคน
“อันตรายรีบออกจากอุโมงค์นี้เร็ว”
ตูม!!!
แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว ตอนนั้นเองก็มีงูขนาดยักษ์พุ่งขึ้นมาจากน้ำที่ขังอยู่ในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะงับเข้าไปที่ตัวของเมฆ
“ไม่!!!” เมฆเบิกตากว้างกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะโดนงูกัดไปในคำเดียว งูยักษ์ตัวนั้นได้กระชากเมฆออกมาจากท้ายกระบะรถและกลืนลงไปทั้งเป็น
งูยักษ์ที่โผล่ออกมาทำให้เรนและทุกคนนั้นตื่นตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก พวกเขาพึ่งเข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีผู้ติดเชื้อแถวนี้ทั้งที่มีรถจอดทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก มันไม่ใช่ว่ามี แต่มันมีและทั้งหมดนั้นโดนกินไปหมดแล้ว โดยงูยักษ์ตัวนี้