Chapter 91 : ไม่รู้จักตาย - เปลี่ยนเป้าหมาย
“มาดูกันดีกว่าว่าสกิลติดตัวใหม่อย่าง ‘ไม่รู้จักตาย’ นี่เป็นยังไง...”
[ไม่รู้จักตาย(ระดับ2)]
[ประเภท : สกิลติดตัวระดับทองแดงขั้นกลาง]
[คำอธิบาย : ร่างกายของท่านจะไร้ซึ่งจุดตายใดๆ ต่อให้หัวใจหรือสมองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงท่านก็จะไม่ตายและจะค่อยๆฟื้นฟูภายในหนึ่งวัน ยังไงก็ตามตัวท่านจะมีจุดอ่อนที่สกิลประเภทศักดิ์สิทธิ์และอาวุธเงิน สิ่งเหล่านี้คือภัยคุกคามร้ายแรงของท่าน]
“เป็นความสามารถที่ไม่เลวแต่ก็มีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ ปิดการทำงานเอาไว้ก่อนดีกว่า”
หลังจากอ่านคำอธิบายของสกิลนี้แล้วโจวเฉินก็ตัดสินใจปิดการทำงานของมันเอาไว้ก่อนและจะเปิดใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเขาไม่ระวังและเผลอใช้สกิลแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาก็คงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
โจวเฉินมองไปที่สกิลติดตัวถัดไปอย่างสกิล ‘มองเห็นสิ่งเคลื่อนไหว’ และพบว่าสกิลติดตัวนี้เป็นดังเช่นที่ชื่อมันกล่าวเอาไว้ มันเป็นการยกระดับการมองเห็นของเขาทำให้โจวเฉินสามารถมองเห็นสิ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงได้
หลังจากทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้มาแล้วโจวเฉินก็ปิดหน้าต่างตัวละครและเริ่มจัดการกับศพของแวมไพร์
เนื่องจากถูกกัดกร่อนจากแสงศักดิ์สิทธิ์ทำให้ลักษณะดั้งเดิมของแวมไพร์ตัวนี้ไม่อาจมองออกได้อีกต่อไป ทั่วทั้งร่างของมันดูราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อถ้าโดนสัมผัส กระทั่งกงเล็บและเขี้ยวที่ดูทนทายาดที่สุดก็ยังเละเทะไม่มีชิ้นดี
“น่าเสียดายจริงๆ อยากจะเอาเขี้ยวกับเล็บพวกนี้ไปขายซักหน่อย”
โจวเฉินถอดแหวนทับทิมออกมาจากนิ้วที่บิดงอผิดรูปของแวมไพร์ตนนี้
เหตุผลที่เขายืนยันได้ว่ามันคือแหวนทับทิมไม่ใช่เพราะมันสะท้อนแสงแต่เป็นเพราะสกิลมองเห็นในที่มืดที่ถูกยกระดับขึ้นมา ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นสีของสิ่งของได้ในที่มืดและระยะการมองเห็นเองก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จากเดิมทีที่เป็นภาพขาวดำพออัพเกรดขึ้นมาก็กลายเป็นภาพหลากสีคุณภาพสูง
ด้วยสกิลมองเห็นในที่มืดที่ถูกอัพเกรดขึ้นมาทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าแหวนทับทิมนี้ทั้งหรูหราและดูจะมีคุณภาพที่สูงไม่น้อย โชคไม่ดีนักที่ระบบไม่ยอมติดป้ายให้ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันเป็นเพียงแหวนอัญมณีธรรมดาๆที่ปราศจากคุณสมบัติใดๆ
โจวเฉินตั้งใจจะเก็บมันไปขายเมื่อเขากลับไปที่เมือง
หลังจากตรวจสอบศพของแวมไพร์และยืนยันแล้วว่าไม่เหลืออะไรอีกโจวเฉินก็เดินหน้าต่อ
ขณะออกเดินต่อนั้นเขาก็ยกโพชั่นฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำออกมากระดกไปด้วย
หน้าอกของเขาถูกเจ้าแวมไพร์ตัวเมื่อครู่จ้วงเข้าเต็มๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนักเนื่องจากสกิลติดตัวสายป้องกันทั้งสามสกิลอย่าง ‘ผิวทองแดงกระดูกเหล็ก’ ‘โมโนลิธ’ และ ‘หนังไวเวิร์น’ ซึ่งทำให้พลังป้องกันของเขาสูงจนน่ากลัวและมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยบริเวณหน้าอกเท่านั้นก็ตาม อาการบาดเจ็บเช่นนี้ใช้เวลาไม่นานก็คงฟื้นฟูเองได้แต่เมื่อคิดไปถึงการต่อสู้ที่อาจจะต้องเผชิญหลังจากนี้เขาจึงตัดสินใจดื่มโพชั่นให้ตัวเองกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
เป้าหมายหลักของเขาในการมาที่ถ้ำแห่งนี้ก็คือการตามหาศิลาหินเขี้ยวหนุมาน(อเมทิส) แต่จนถึงตอนนี้แม้แต่เงาของมันเขาก็ยังไม่เห็นดังนั้นการสำรวจครั้งนี้คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน
หลังจากเดินมาได้ซักพักโจวเฉินก็นึกพบกับอะไรบางอย่าง
เขาสังเกตเห็นศพมนุษย์มากมายนอนเรียงรายอยู่บนพื้น บางศพนั้นที่บริเวณลำคอมีบาดแผลถูกกัด บางศพก็ถูกควักหัวใจออกไปและบางศพก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“น่าจะเป็นฝีมือของแวมไพร์ตัวนั้น”
โจวเฉินคาดเดาจากการกระทำของแวมไพร์ที่เขาสังหารทิ้งไปเมื่อครู่ แม้ว่าแวมไพร์ตัวนี้ดูเหมือนจะถูกสังหารได้ง่ายๆแต่นั่นก็เป็นเพราะสกิลแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีเป็นดาวพิฆาตของมัน พลังต่อสู้ที่แท้จริงของมันนั้นสูงส่งมากและตัวมันยังรวดเร็วยิ่งนัก ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเฉินมีสกิลติดตัวประเภทป้องกันที่แข็งแกร่งมากพอเขาก็คงจะถูกสังหารในทันที
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศพที่ตายอย่างน่าอนาถและมีลักษณะและขนาดทางกายภาพแตกต่างกันไปนั้นสิ่งที่โจวเฉินทำก็คือสิ่งที่เขาทำเป็นประจำ - ปล้นศพ!
“สองเหรียญทอง , สร้อยคอ แหวนแล้วก็สามเหรียญเงิน”
โจวเฉินไม่เจอไอเทมที่ระบบสามารถระบุได้บนตัวศพเหล่านี้เลย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเก็บเหรียญทอง เหรียญเงินและเครื่องประดับจากศพเท่านั้นโดยไม่ได้สนใจพวกอาวุธที่คนเหล่านี้ใช้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากค้นศพไปมากกว่าสิบศพตลอดทางก็ไม่เหลือศพใดอีก ดังนั้นเขาจึงหันไปสนใจพวกศพมอนสเตอร์แทน
ศพของมอนสเตอร์พวกนี้ดูคล้ายกับค้างคาวและบางตัวก็คล้ายกับกิ้งก่า พวกมันทั้งหมดมีกงเล็บและเขี้ยวอันแหลมคมและดูเหมือนจะถูกสังหารโดยอาวุธมีคมหรือไม่ก็อาวุธประเภททุบตี
“พวกมันตายหมดแล้ว น่าเสียดายจริงๆ เจ้าพวกนี้อาจจะมีสกิลติดตัวดีๆอยู่ก็ได้”
โจวเฉินรู้สึกเสียดายเล็กน้อยเมื่อมองไปยังศพของมอนสเตอร์พวกนี้ ถ้าพวกมันมาตายด้วยน้ำมือของเขาล่ะก็นะ...
ในบรรดากองซากศพที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของพวกมอนสเตอร์นั้นโจวเฉินยังพบกับศพของชนพื้นเมืองอยู่บ้างประปราย ชนพื้นเมืองพวกนี้ดูแล้วยังเด็กนักแต่กลับมาตกตายอย่างน่าสังเวชภายใต้วงล้อมของมอนสเตอร์
โจวเฉินเดินหน้าต่อข้ามศพเหล่านี้ไปและเดินผ่านทางแยกมาอีกหลายครั้ง หลังจากผ่านไปอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงในที่สุดเขาก็ได้เจอกับมอนสเตอร์ที่ยังเป็นๆอยู่ตัวที่สอง
มันคือมอนสเตอร์ที่มีลักษณะคล้ายกับค้างคาวผสมกับแมงมุม ปีกอันน่าสะอิดสะเอียนของมันสะบัดกางออกและกระโจนเข้าใส่โจวเฉินจากด้านบนถ้ำพร้อมด้วยขาทั้งแปดข้างของมัน แต่เพียงพริบตาต่อมามันกลับถูกหอกเหล็กในมือของโจวเฉินแทงจนตาย
ยังไงก็ตามมันกลับไม่ให้สกิลติดตัวใดๆกับโจวเฉินเลย โจวเฉินเองก็ไม่ใส่ใจมากนักและออกเดินทางตามหามอนสเตอร์ต่อไป
ณ ส่วนลึกของทางเดินสายนี้โจวเฉินพบกับมอนสเตอร์ประเภทเดียวกันฝูงหนึ่งและต้องใช้แรงไปพอสมควรกว่าจะจัดการพวกมันลงได้
จากนั้นเขาจึงเดินทางต่อไปแต่ไม่นานนักก็ต้องพบว่าเส้นทางข้างหน้าถูกปิดกั้น
เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องย้อนกลับไปทางเดิมก่อนจะทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่ปากทางและเลือกเส้นทางอื่นเพื่อสำรวจต่อ
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โจวเฉินใช้เวลาไปค่อนข้างมากแต่กลับไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ
สองชั่วโมงต่อมาโจวเฉินก็หยุดเดินและนั่งลงกับพื้น เขาหยิบกระป๋องโค้กที่ถูกแทนที่ด้วยน้ำเปล่าและขนมปังแห้งออกมาจากช่องเก็บของเพื่อเติมพลังงาน
“ด้วยความเร็วของเราตอนนี้น่าจะอยู่ในส่วนลึกของใต้ดินแล้ว สำรวจเส้นทางมาแล้วก็หลายเส้นแต่ยังไม่เจอศิลาหินเขี้ยวหนุมานเลย ดูเหมือนเจ้านี่จะหายากอย่างที่ข่าวลือเขาว่ากันจริงๆ บางทีอาจจะคว้าน้ำเหลวก็ได้แฮะ”
ด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วของโจวเฉินประสิทธิภาพในการสำรวจของเขาจึงสูงมาก ยังไงก็ตามเขากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยของศิลาหินเขี้ยวหนุมานเลยด้วยซ้ำทำให้เขารู้สึกว่าโชคของเขาหมดแล้วยังไงก็ไม่รู้
“ยังไงก็เถอะสิ่งที่ได้มาจากการฆ่าแวมไพร์ตัวนั้นก็ดีไม่น้อยแล้ว ทำไมเราถึงไม่เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นสังหารมอนสเตอร์ทุกตัวที่นี่แทนล่ะ?”
โจวเฉินรู้สึกว่าหนทางที่เรียบง่ายและถูกต้องที่สุดก็คือการใช้พรสวรรรค์ช่วงชิงสกิลิติดตัวของเขาในการหาสกิลติดตัวเพิ่มเติม ตราบใดที่เขาสังหารมอนสเตอร์ได้ก็มีโอกาสได้สกิลติดตัวของพวกมันมา สกิลติดตัวพวกนี้ดูเป็นชิ้นเป็นอันและเป็นประโยชน์กว่าการออกตามหาศิลาหินเขี้ยวหนุมานเสียอีก
ดังนั้นโจวเฉินจึงไม่ได้โฟกัสไปที่การสำรวจในส่วนลึกเพื่อหาศิลาหินเขี้ยวหนุมานอีก...แต่เลือกที่จะออกล่ามอนสเตอร์แทน