ตอน วิถีแห่งความมั่งคั่ง
ตอน วิถีแห่งความมั่งคั่ง
เจียงหลินรู้สึกอายเล็กน้อยที่ได้รับคำชม
“ฉันก็แค่เจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ”
“เอ๋?” มู่เย่ชิงอึ้ง “แต่ดูจากฝีมือของเธอ ไม่น่าจะมีแค่นั้น ...”
“อ้อ ฉันเป็นนักกีฬามาระยะหนึ่งก่อนที่จะทำร้านขายของชำ” เจียงหลินยิ้ม
“นักกีฬาประเภทไหน?” มู่เย่ชิงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็แค่นักกีฬาประเภทต่อสู้”เจียงหลินไม่ต้องการพูดถึงอดีต หากอีกฝ่ายเป็นคนในมิติเดียวกับเจียงหลิน แล้วลองค้นประวัติดู คงทราบได้ในทันที แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามู่เย่ชิงไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่นั้น
เจียงหลินเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วเธอล่ะ? ทำอะไรมาก่อน”
“ก่อนวันสิ้นโลก ฉันเป็นคนดูแลต้นไม้ ทำงานในสวนพฤกษศาสตร์” เมื่อมู่เย่ชิงตอบกลับ เธอแสดงท่าทีภูมิใจที่ดูมีเสน่ห์ออกมา
ก่อนวันสิ้นโลก เธอมักวุ่นอยู่กับพืชพรรณ นี่คืองานอดิเรกของเธอ และมันเป็นงานของเธอด้วย
เจียงหลินสังเกตเห็นตราผู้ใช้พลังที่เย่ชิงสวมอยู่ มันปกคลุมด้วยดอกกุหลาบ พอลองเพ่งมองดูดีๆ จะพบว่ากุหลาบดอกตูมก็กำลังมองมาที่เธอเช่นกัน ก่อนที่มันจะยอมย้ายที่ เลื้อยออกจากตรา แล้วใช้ใบไม้ชี้ไปที่คำว่า ‘ไม้’ บนตรา
ไม่ใช่ตัวเลข!
เจียงหลินเข้าใจได้ทันทีว่ามู่เย่ชิงคือใคร ทั่วทั้งฐานเมืองหลิน มีเพียงผู้ใช้พลัง 5 คนเท่านั้นที่ไม่มีการวัดค่าระดับ นั่นคือ 5 ธาตุแห่งเมืองหลิน
และมู่เย่ชิงคือธาตุไม้ของเมืองหลิน!
“มิน่าเล่า ...” มิน่าเล่าเธอถึงแข็งแกร่งขนาดนี้
เจียงหลินได้ยินโฮ่วเต๋อพูด ว่าธาตุไม้เมืองหลินมีพลังมากในการต่อสู้ ต่อให้เป็นผู้ใช้พลังธาตุไม้ในระดับเดียวกันจากฐานอื่นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่ชิง เพราะเธอมีกลุ่มพืชกลายพันธุ์ติดตาม และตัวเธอเองมีพลังรบระดับหก
และดอกพิทูเนียที่เหวี่ยงชายร่างเหล็กเป็นโยโย่ อันที่จริงแล้วเป็นพืชที่อ่อนแอที่สุดของเธอเท่านั้น “พืชกลายพันธุ์ที่เธอพามาด้วยทั้งหมดเป็นของจริงใช่ไหม?”
“ใช่” มู่เย่ชิงสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของดอกกุหลาบ และยังสังเกตเห็นความตกใจของเจียงหลินเช่นกัน แต่ในความตกใจนั้น มันไม่ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวหรือเกลียดชังเหมือนที่ผู้ใช้พลังคนอื่นๆมีต่อพืชกลายพันธุ์เลย
เหล่าพืชเองก็สังเกตได้ว่าเจียงหลินปราศจากความคิดร้าย จึงอยากทำความรู้จักกับเธอ นี่ยิ่งทำให้เย่ชิงมุ่งมั่นมากขึ้น “เจียงหลิน เธอมีทีมรึยัง?”
“ไม่”
“งั้นสนใจทีมเล็กๆไหม” มู่เย่ชิงถามอย่างเคร่งขรึม “ตัวอย่างเช่น ... ร่วมทีมกับฉัน”
เจียงหลินมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่คือหนึ่งในห้าธาตุเมืองหลินเชียวนะ แต่อีกฝ่ายกลับเชิญเธอเข้าร่วมทีม? นี่ ... ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม?
“ร่วมทีมกับฉัน ...” จู่ๆก็มีระดับเถ้าแก่ใหญ่เชื้อเชิญ เจียงหลินไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไรดี
อีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในห้าธาตุเมืองหลิน คงมีคนไม่น้อยอยากเข้าร่วมทีม
“ใช่ ฉันกับเธอ ร่วมทีมกัน” มู่เย่ชิงเห็นเจียงหลินยังสับสน เลยอธิบายเพิ่มว่า “พลังมิติเป็นอะไรที่หายากมาก มันคือพลังในการขนย้ายที่ทรงพลังที่สุดในด้านการสำรวจและรวบรวมเสบียง แต่หยางหนานรุ่ยกลับลอบสังหารผู้ใช้พลังมิติในฐานเมืองหลิน ผู้ใช้พลังมิติที่ยังไม่พัฒนาหลายคนตายภายใต้เงื้อมมือเธอ และผู้ใช้พลังเหล็กที่เพิ่งหนีไปก็เป็นหนึ่งในลูกน้องของหยางหนานรุ่ย”
ได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มของเจียงหลินกลายเป็นชืดชา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเคยฆ่าผู้ใช้พลังมิติมาเยอะแล้ว ว่าแต่ทำไมถึงต้องเป็นผู้ใช้พลังมิติด้วย?
“น่าจะเป็นเพราะฉันยังไม่ได้ลงทะเบียนผู้ใช้พลัง เลยไม่ตกเป็นเป้าหมายในทันที แต่ตอนนี้ฉันบอกพวกเขาไปแล้ว ..” เรื่องนี้ทำให้ เจียงหลินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“ผู้ใช้พลังปกติแล้วมักปรารถนาให้คนอื่นๆรู้ความสามารถของตัวเอง มาถึงก็ลงทะเบียน และรวมกลุ่มกับผู้อื่น อย่างกลุ่มที่เธอเพิ่งเจอเมื่อกี้ก็เหมือนกัน แต่เธอกลับตรงกันข้าม แถมยังเอาชนะพวกเขาได้ตั้งสองคน เก่งจริงๆ” ดวงตาของมู่เย่ชิงเต็มไปด้วยความชื่นชม
เจียงหลินไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธออย่างไร
เพราะตอนเข้าฐานครั้งแรก เธอเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ หลังจากนั้นถึงค่อยสามารถใช้พื้นที่มิติพิเศษได้
มู่เย่ชิงฉุกคิดได้ถึงเรื่องน่าตื่นตระหนกเมื่อครู่ เธอปลอบเจียงหลิน ทอดถอนหายใจ “โชคดีตอนที่เธอขายขนมปัง ฉันบังเอิญเห็นเธอเติมของโดยเรียกมันจากอากาศ เลยสะกดรอยตามมา”
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มู่เย่ชิงเชิญเจียงหลินเข้าร่วม สามารถกักตุนวัสดุได้มากมาย แสดงว่าพื้นที่มิติของเธอต้องน่าทึ่งทีเดียว อีกทั้งของกินข้างในคงไม่ขาดแคลน ดังนั้นเจียงหลินไม่น่ามีความละโมบมากเกินไป
การทรยศของหยางหนานรุ่ยเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับมู่เย่ชิง
“ขอโทษที ความจำฉันไม่ค่อยดี นึกไม่ออกว่าเธอซื้ออะไรไป” เจียงหลินต้องการตอบแทนเย่ชิงด้วยบางสิ่งที่เก็บไว้ในพื้นที่มิติเป็นการตอบแทน แม้เจียงหลินจะสามารถหลบหนีจากสถานการณ์นี้ได้ แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายช่วยเหลือเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“เปล่า ฉันไม่ได้ซื้อของเธอ แต่กำลังดูปุ๋ยดอกไม้ที่แผงข้างๆ” มู่เย่ชิงยิ้มอายๆ “ถึงแกนคริสตัลจะเป็นประโยชน์ต่อพืชของฉันแต่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยธรรมชาติก็ช่วยในการเจริญเติบโตของพวกเขาได้เหมือนกัน”
“ถ้าฉันร่วมทีมกับเธอ แล้วฉันจะได้อะไร?” ยังไงซะเจียงหลินก็ต้องการความมั่งคั่ง ถ้าการร่วมทีมนี้เป็นแค่เรื่องราวๆได้รับแกนคริสตัลหรือแลกเปลี่ยนอาหาร เธอคงต้องปฏิเสธเพราะไม่อยากเสี่ยง
อีกอย่าง มีกลยุทธ์ที่เรียกว่าเป็นแสร้งเป็นคนดี ก่อนกลายเป็นวายร้าย ดังนั้นมีเรื่องมากมายที่เธออยากจะรู้ก่อนตอบตกลง
มู่เย่ชิงกำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี “เมื่อกี้ฉันเห็นว่าเธอกว้านซื้อทองในตลาดย่านการค้า ... พวกมันมีความสำคัญต่อเธอถูกไหม? พวกมันช่วยให้เธอฝึกพลังได้ใช่รึเปล่า?”
เจียงหลินแสดงสีหน้าตกใจ มีข้อแก้ตัวดีๆแบบนี้ด้วยนี่นา ถึงเวลาเธอก็ไม่ต้องมานั่งเครียดหาคำอธิบายแล้ว เธอตบต้นขาตัวเอง “ใช่แล้ว ความสามารถของฉันขึ้นอยู่กับการหาเงินได้ในวันสิ้นโลก”
มู่เย่ชิงยิ้มด้วยความพึงพอใจ ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ บางครั้งการที่ฉลาดเกินไปมันก็น่าวิตกจริงๆ “ดูจากที่เธอกว้านซื้อทองในฐานก็รู้แล้ว แต่ตอนนี้น่าจะไม่มีใครเหลือเก็บพวกมันอีกแล้ว ยังไงซะพื้นที่ในฐานก็มีจำกัด แต่ถ้าเธอร่วมทีมกับฉัน ข้างนอกฐานมีทองมากมายที่ยังไม่มีเจ้าของ กำลังรอให้พวกเราออกไปจับจอง”
“และเมื่อเธอเป็นส่วนหนึ่งของทีม ตราบใดที่ยินดีจ่ายแกนคริสตัล เธอสามารถประกาศตั้งภารกิจในฐานได้”
ระหว่างนี้ มู่เย่ชิงชูใบประกาศภารกิจตามหาปุ๋ยดอกไม้ขึ้นมาโชว์ให้ดู “อย่างภารกิจที่ออกโดยห้าธาตุแห่งเมืองหลิน ต่อให้เป็นภารกิจที่ดูน่าเหลือเชื่อแค่ไหนก็ตาม แต่ตราบใดที่มีค่าจ้างมากพอ ก็ไม่มีใครปฏิเสธ”
ได้ยินแบบนั้น เจียงหลินตื่นเต้นสุดๆ เพราะในโลกนี้คงไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับของจำพวกทอง และสิ่งที่มู่เย่ชิงพูดก็เป็นคำแนะนำที่ช่วยให้เธอสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ยังไงซะเจียงหลินก็ต้องเดินทางไปมาระหว่างสองโลก เธอไม่สามารถอยู่ในมิตินี้ได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ มู่เย่ชิงยังกล่าวว่า เธอจะเรียกหาเจียงหลินก็ต่อเมื่อต้องการบรรทุกของจำนวนมากเท่านั้น แต่ถ้าเจียงหลินต้องการอยู่ด้วยหรือออกผจญภัยตามปกติ ก็สามารถมาได้ตามต้องการ
เย่ชิงให้เวลาเจียงหลินพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งสองตกลงกันเรื่องเวลาและสถานที่ก่อนแยกทางกัน
ก่อนมู่เย่ชิงจะจากไป เธอย้ำแก่เจียงหลินซ้ำๆว่าให้ใส่ใจกับความปลอดภัย ชายร่างเหล็กกลับไปคราวนี้ หยางหนานรุ่ยต้องรู้เรื่องแน่นอน
เจียงหลินมองหาที่ว่างไร้ผู้คน และข้ามมิติกลับมายังร้านของชำขนาดเล็กของเธอ
มองดูโถงชั้น 1 ที่ชั้นวางหายไป มันดูอ้างว้างเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้เส้นประสาทที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้ของ เจียงหลินผ่อนคลายลง เธอจัดระเบียบและทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ แล้วไปพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหลินนำทองที่หามาจากวันสิ้นโลกมาจัดแจง
เจียงหลินไม่ค่อยรู้เรื่องทองคำ 18k 14k 10k แพลเลเดียม ว่าพวกมันแตกต่างกันยังไง เลยได้แค่แยกพวกมันตามสีเท่านั้น
แต่ครั้งนี้เจียงหลินนำกลับมามากกว่าครั้งที่แล้ว ถุงอันเดิมเล็กเกินกว่าจะใส่ได้
เจียงหลินใส่ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลัง เป็นกระเป๋าเป่ที่หนักสุดในชีวิตเธอ
ไม่ใช่แค่ในแง่กายภาพ แต่เป็นในแง่ความรู้สึกด้วยเช่นกัน
เพราะมันคือน้ำหนักของเงิน! ฮ๊าาา!
แต่เนื่องจากหนักเกินไป เจียงหลินจึงใส่กระเป๋าเป้ไว้ในพื้นที่มิติ ไว้รอไปถึงใกล้ๆร้านทอง ค่อยหาสถานที่ที่ไม่มีกล้องหรือผู้คนแล้วนำมันออกมา
ร้านที่นำไปขายยังคงเป็นร้านทองร้านเดิม ผู้รับซื้อทักทายเจียงหลินอย่างอบอุ่น เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่เจียงหลินมา ตนได้รับซื้อเครื่องประดับทองจำนวนมาก ทัศนคติเลยดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ! ที่แท้เป็นลูกค้าท่านเดิม วันนี้ไม่ทราบต้องการให้ทางเรารับซื้ออะไร?”