ตอนที่ 672 ความผยองของเจโรม
“ข้างหน้าคือนครแซนดี”
แบร็ดลี่ย์ยังคงยิ้มเล็กน้อยขณะเร่งฝีเท้าขึ้นไปเคียงข้างกับอาหลุน ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้พบหน้าเซรีนสักครั้ง เซรีนเก็บตัวอยู่ในยานโดยสารไม่ปรากฏโฉมและปฏิเสธการขอเข้าพบทั้งหมด
ขุนนางและชนชั้นสูงในกลุ่มดาววัวกระอักกระอ่วนกันทุกคน ในสายตาของพวกเขา แม้ว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบันนี้จะทรงพลังก็ตาม แต่รากฐานของพวกเขาตื้นเกินไป และไม่มีประวัติอะไรเกี่ยวกับพวกเขา เป็นแค่กลุ่มยึดอำนาจที่เพิ่งรุ่งขึ้นมาซึ่งส่วนใหญ่จะถูกดูแคลน
ในตอนต้นพวกเขารู้สึกว่าด้วยการต้อนรับยิ่งใหญ่ของพวกเขากลุ่มดาวหมีใหญ่คงจะปลาบปลื้มใจจนน้ำตาคลอ แต่ใครจะรู้กันว่าพวกเขาเมินเฉยโดยสิ้นเชิง ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?
‘ถ้าเจ้าเป็นปรมาจารย์จักรกลแล้วยังไงเล่า? กองทัพที่เหลือซึ่งมีส่วนร่วมในการต้อนรับเฝ้ามองจากด้านข้าง ทุกคนมองนางในแง่ไม่ดี
มีอยู่คนเดียวที่ยังคงความสุภาพก็คือแบร็ดลี่ย์
“ได้จัดเตรียมที่พักไว้สำหรับพวกเจ้าทุกคนไว้ที่เมืองแซนดี้ เราสามารถไปพักกันที่นั่นในช่วงเวลาสั้นๆก็ได้” แบร็ดลี่ย์อธิบาย “หลังจากผ่านเมืองแซนดี้แล้ว เรายังจะต้องผ่านที่รกร้างว่างเปล่าอีกห้าวัน”
อาหลุนพยักหน้า “ข้าจะถามนายผู้หญิงให้”
จากนั้นเขาเข้าไปในยานและรายงานการเดินทาง
ภายในยานโดยสาร เซรีนอยู่ในชุดนอน ผมของนางกระเซิงตรงกันข้ามกับการวางตัวเป็นเทพธิดาสูงส่งก่อนหน้านั้น ข้างหน้านางบนโต๊ะเต็มไปร่างภาพเขียนทุกอย่าง นางยังคงพึมพำกับตนเอง ตาของนางมีรอยเส้นเลือด นางไม่ได้หลับมาในช่วงสองสามวันนี้
‘ออกไปก็ยังมีประโยชน์ อย่างน้อยไม่มีใครบังคับข้าให้นอน’ เซรีนกัดลิ้นทำงานต่อ
รายงานของอาหลุนขัดจังหวะการทำงานของนาง
เมื่อได้ยินว่าผ่านเมืองแซนดีไปแล้วจะต้องเสียเวลาสูญเปล่าอีกตั้งสองสามวัน เซรีนคิดอยู่ชั่วขณะและตัดสินใจพักผ่อนและจัดระเบียบที่นั่นใหม่ นางเป็นพวกบ้างานตอนที่อยู่ในรถก็ยังบรรจุเต็มไปด้วยวัสดุทุกอย่างเอกสารและแม้แต่อุปกรณ์อาบน้ำ ทุกอย่างที่นำมานางไม่ได้คิดอะไรไว้ก่อนทั้งนั้น แต่เนื่องจากนางเป็นสตรีคนเดียว นางไม่เคยรู้สึกอะไรเมื่อหมกมุ่นอยู่กับงานของนาง นางคิดว่าคงจะมีที่อาบน้ำดีๆ อยู่ภายในเมือง อารมณ์ของนางแจ่มใสขึ้น
เมื่อได้ยินอาหลุนเห็นด้วยว่าจะมีการพักในเมืองแซนดี แบร็ดลี่ย์ถอนหายใจโล่งอก
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะพยายามทำตัวให้โปรดปรานเพียงไหน แต่ลงท้ายอย่างเปล่าประโยชน์ แต่เขายังคงติดตามอาหลุนอย่างเรื่อยเปื่อย ในหมู่ตระกูลชั้นสูงมีการเยาะเย้ยถากถาง “ถูกมองข้าม แม้จะมีความตั้งใจที่ดี” แบร็ดลี่ย์เป็นเพียงคนเดียวที่ประทับใจลึกกับความเข้มแข็งของกองพลภูผาน้ำแข็ง
‘นี่คือกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง’
พวกเขาเคร่งครัดมีระเบียบวินัยไม่รู้จักเหนื่อยล้า ไม่ย่อหย่อนและน่ายำเกรงตลอด พวกเขาละเอียดและไม่มีข้อบกพร่องทำให้บางครั้งแบร็ดลี่ย์รู้สึกว่าพวกเขาแข็งเกินไปและจุกจิกในเรื่องเล็ก แต่เขาก็ต้องยอมรับ กลุ่มดาววัวไม่มีกองทหารใดที่สามารถเทียบได้กับกองทัพที่เขากำลังดูอยู่นี้
เขารู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้กลุ่มดาวหมีใหญ่มีการสร้างกองทัพสองสามกองทัพทหารทั้งหมดเหล่านี้แยกมาจากกองทัพจักรกล พร้อมกับการจางหายไปของกองทัพดั้งเดิมกองพลจักรกลกลายเป็นกองกำลังหลัก กลุ่มดาวหมีใหญ่ถือว่าเป็นประเพณีที่ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้เยาว์ ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดยังอายุเยาว์และนอกจากกองทัพสองสามกองพลแล้วมีเพียงกองทัพเดียวที่ได้รับการยกย่องก็คือกองพลทหารราบของแม่ทัพทาร์ตัน
แต่แบร็ดลี่ย์ไม่เคยคาดเลยว่าแม่ทัพเยาว์วัยจะมีความโดดเด่นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหลุน แบร็ดลี่ย์มองไม่เห็นความเย่อหยิ่งและความประมาทในตัวเขาเลย เขาฝึกจนเหมือนกับแม่ทัพเก่าที่อยู่กับกองทัพมาเป็นเวลานับสิบปี
เมื่อกองทัพจักรกลถูกแยกออกมาแบร็ดลี่ย์ได้แต่ถอนหายใจ กลุ่มดาวหมีใหญ่มีกองทัพใหญ่อยู่สองกองพล กองทัพหมาป่านำโดยถังอี้ และอีกกองทัพหนึ่งคือกองทัพจักรกลนำโดยปิง เพราะกองทัพฝีมือดีและมีเกียรติเช่นนั้น พวกเขาควรจะรักษาประเพณีและกฎของพวกเขาไว้ กฎธรรมเนียมใช้ตัดสินการขัดเกลาของกองทัพ และเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของกองทัพฝีมือดี
การแยกกองทัพหมายถึงการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง และหน่วยหน้ากล้าตายไม่กี่คนไม่สามารถเทียบได้กับยอดฝีมือระดับสูง
ถังเทียนและปิงไม่ได้เผยโฉมมานานแล้วทำให้หลายคนสงสัยว่ามีการเปลี่ยนในระดับสูงของกลุ่มดาวหมีใหญ่
‘ใครจะรู้กันว่า...’
แบร็ดลี่ย์หันความสนใจกลับไปที่กองทัพ เขาแจ้งให้ทุกคนคนรู้เรื่องที่เซรีนตกลงใจจะพักในเมืองแซนดี้ จากนั้นออสตินอาสาไปเตรียมการล่วงหน้า
เห็นได้ชัดว่าออสตินมีความประสงค์ร้าย
เขาถูกเมินเฉยเย็นชา จึงรู้สึกโกรธ ‘ข้าเคยถูกปฏิบัติแบบนั้นตั้งแต่เมื่อใด?’ ความหยิ่งยโสของกองทัพที่ไม่ให้ความสนใจเขาทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น เขาตัดสินใจกระทำการบางอย่าง
‘พวกเขาอยู่ในกลุ่มดาววัว ไม่ใช่กลุ่มดาวหมีใหญ่’
ออสตินเดินทางเข้าเมืองแซนดี้ เนื่องจากเป็นเมืองสำคัญของส่วนเขาวัวของกลุ่มดาววัวมีกองทหารรักษาการณ์ฝีมือดีอยู่ที่นั่นกองทหารเขากระทิง กองทหารเขากระทิงเป็นหนึ่งในกองกำลังฝีมือดีที่สุดของกลุ่มดาววัวอุปกรณ์เครื่องมือของพวกเขามีอย่างเหลือเฟือ
บังเอิญว่าผู้บัญชาการกองพลเขากระทิงเจโรมเป็นเป็นเพื่อนคู่หูของออสตินตั้งแต่เด็ก และทั้งสองสนิทกันมาก ตำแหน่งของเจโรมได้มาเนื่องจากออสตินใช้เส้นสายผลักดันอยู่เบื้องหลัง
เมื่อเจโรมเห็นออสตินมาถึง เขาดีใจมาก “ออสติน ลมอะไรพัดเจ้ามาถึงนี่?”
“อย่าพูดแบบนั้น ”บิดาข้าเกณฑ์คนมามากมายพร้อมกับแบร็ดลี่ย์เพื่อต้อนรับสตรีคนนั้น”
“สตรีที่เจ้าพูดถึงก็คืออาจารย์เซรีนสินะ” เจโรมหัวเราะลั่น ข่าวเซรีนต้องการกลับมายังกลุ่มดาววัวกระจายไปทั่ว เขามองดูออสติน “เมื่อเห็นท่าทางของเจ้าแล้ว หรือว่านางไม่งดงามเหมือนที่ร่ำลือกัน?”
ออสติส่ายหน้า “ไม่เลย เซรีนเป็นหญิงงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น!”
“งั้นทำไมอารมณ์เจ้าเป็นแบบนั้น?” เขารู้จักสหายวัยเยาว์ของเขาตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าอารมณ์เขาชื่นชอบสตรี ขอให้เป็นคนสวยออสตินหลงใหลได้หมด
“พวกมันข่มเหงเรา!” หน้าของออสตินเขียวคล้ำขณะที่เขาอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เจโรมแสดงอาการโกรธทันที ไม่ว่าอาจารย์เซรีนจะฉลาดสวยยังไงก็ตาม พวกเขาก็อยู่ในกลุ่มดาววัว พวกเขาจะทนปล่อยให้คนอื่นเดินไปมาตามอำเภอใจได้ยังไง?
“พวกเขาทำแบบนั้นจริงๆหรือ?” เจโรมถามจริงจัง
ออสตินยืดตัวตรง “เจโรม, เจ้านึกว่าข้าแค่มาพูดเรื่องไร้สาระที่นี่เท่านั้นหรือ? ข้าเป็นเจ้าชายแห่งกลุ่มดาววัว และอยู่ที่นี่มาหลายปี”
เจโรมนิ่งเงียบอยู่นาน “แล้วแบร็ดลี่ย์เล่า? ทำไมแบร็ดลี่ย์ไม่คัดค้านอะไรพวกเขาเลย?”
ออสตินแค่นเสียง “แบร็ดลี่ย์น่ะหรือ? เขาหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากกลุ่มดาวหมีใหญ่”
เขาทำล้อเลียนแบร็ดลี่ย์และกล่าว “นอกจากสองคนแล้ว คนที่เหลือตกแน่นอน”
เจโรมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง และแสดงร่องรอยหยิ่ง “แบร็ดลี่ย์กำลังดูถูกตนเองมากเกินไป กลุ่มดาววัวตกต่ำจนถึงขั้นที่เราต้องประจบกลุ่มดาวหมีใหญ่ตั้งแต่เมื่อใด”
“ใช่แล้ว! เจโรม!” ออสตินพูดอย่างตื่นเต้น “เจ้าเป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง! แบร็ดลี่ย์โยนธรรมเนียมที่ล้ำค่าที่สุดของกลุ่มดาววัวของเราทิ้ง...”
“ข้าคิดว่าแบร็ดลี่ย์คงมีความคิดเป็นของตนเอง” เจโรมตัดบทออสติน เขาไม่ต้องการเข้าร่วมชิงดีชิงเด่นในท่ามกลางผู้มีอำนาจวาสนา แต่ในฐานะชายชาติทหาร เขามีความหยิ่งภูมิใจในตนเอง เมื่อคิดว่ากองทัพจากที่ไหนไม่รู้มาเดินเล่นในมาตุภูมิของเขา เขายิ่งรู้สึกร้อนรุ่มในใจ “เมื่อเป็นผู้บัญชาการเขากระทิง ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าจะไม่ยอมให้กองทัพใดๆมาเพ่นพ่านต่อหน้าข้าแน่!”
ออสตินโบกมืออย่างตื่นเต้น “เจโรม เราควรทำยังไงดี?”
เจโรมพูดน้ำเสียงจริงจัง “เนื่องจากอาจารย์เซรีนมาเยี่ยมกลุ่มดาววัวของเราในฐานะอาคันตุกะ อย่างนั้นปัญหาความปลอดภัยก็ย่อมตกอยู่ในมือของเรา เราจะไปต้อนรับอาจารย์เซรีน และต้องให้นางรู้สึกว่ามาถึงบ้านแน่นอน!”
ออสตินเข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไงจึงหัวเราะ
หึ หึ หึ!
เสียงแตรปลุกทุ้มดังขึ้นทั่วค่าย และกองพลเขากระทิงมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ออสตินยืนมองอยู่บนแท่นอย่างตะลึง ทหารทั้งหมดมารวมตัวกันภายในห้านาที กองกำลังที่อยู่ข้างล่างเวทีตั้งแถวกันอย่างหนาแน่น เป็นภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกเขาเงียบกริบและรังสีฆ่าฟันของพวกเขาแผ่ซ่านออกมา
ออสตินอดชื่นชมไม่ได้ “เจโรม ข้าเลือกเจ้าแน่! เจ้าเป็นแม่ทัพชั้นดีอย่างแน่นอน! ไปสั่งสอนเจ้าพวกบัดซบจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ให้รู้ว่านักรบฝีมือดีเป็นยังไง!”
ตาของเจโรมเป็นประกายหยิ่งผยอง เขามีความสามารถให้หยิ่งผยองได้ กองพลเขากระทิงมีการเปลี่ยนแปลงในเงื้อมของเขา และกลายเป็นทรงประสิทธิภาพมาก
“บางที่เราอาจแลกเปลี่ยนอะไรกันบ้างก็ได้” เจโรมแค่นเสียง และหน้าของเขาเขียวคล้ำทันที “หน้า...เดิน!”
พรึ่บพั่บๆ!
คลื่นสีเงินวิ่งมาตามถนน เสียงฝีเท้าของพวกเขาททำให้ชาวเมืองแซนดี้หยุดอยู่กับที่ ที่เหนือคลื่นสีเงินคือเซียนสิบคนที่กำลังตามมาอย่างกระชั้น
กองพลเขากระทิงคือหน่วยเกราะหนัก ทุกคนสวมใส่เกราะทอรัสระดับเงิน
ลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของกลุ่มดาววัวก็คือพวกเขามีการผลิตของเป็นจำนวนมากและอุปกรณ์ที่พวกเขามีเป็นที่รู้จักกันได้ง่าย เพราะเกราะหมวกของพวกเขามักจะมีเขากระทิงแหลมคมเสมอ สำหรับกลุ่มดาวอื่น สำหรับกลุ่มดาวอื่นปัญหาของพวกเขาคือขาดแคลนเกราะ แต่สำหรับกลุ่มดาววัวสามารถจัดให้มีได้ทั่วทั้งกองทัพ
ชุดเกราะสีเงินเหนือกว่าไม่มีใครเทียบได้สิ่งที่เห็นได้ยากในทั่วสวรรค์วิถี
ทันใดนั้นอาหลุนหยุด เขารู้สึกถึงความสั่นสะเทือนบนพื้น เขาตัดสินได้ทันทีว่ามีกลุ่มคนเข้ามาใกล้พวกเขา!
แค่เพียงชำเลือง, เช้ง,เขาชักดาบเงินหนักออกมาทั้งที “เตรียมรับการโจมตี!”
นี่คือประสบการณ์ที่อาหลุนได้รับมากับตนเองในสภาพแวดล้อมต่างถิ่น ตราบเท่าที่เขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์พิเศษ วิธีการตรงที่สุดคือใช้คำว่า ‘เตรียมรับการโจมตี’ เพื่อเตือนสหาย คำพูดนี้มีผลที่สุดและทำให้ทหารทั้งหมดเพ่งความสนใจเต็มที่ทันที
ในระยะห่างออกไป คลื่นสีเงินวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
อาหลุนยังคงใจเย็นไม่หวั่นไหว
แต่ในเวลาอันรวดเร็ว สายตาเขาหรี่ลง ฝ่ายตรงข้ามไม่มีความตั้งใจจะชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด
4.5 กิโลเมตร 3.6 กิโลเมตร 3 กิโลเมตร...
ตาของอาหลุนเป็นประกายเยือกเย็นทันที เขาชูดาบเงินสูงขึ้นในอากาศด้วยความเร็วของศัตรู 2.4 กิโลเมตรคือระยะปลอดภัย
2.4 กิโลเมตร!
อาหลุนไม่ลังเลใจชี้ดาบเงินไปข้างหน้าและคำราม “หน่วยหลังคอยปกป้องรถ แนวหน้าตามข้ามา เตรียมโจมตี!”
กองพลภูผาน้ำแข็ง 500 คนเคลื่อนไหว