ตอนที่ 662 เข้าถึงหัวใจปราณราชันย์
ในแดนสวรรค์มียอดฝีมืออยู่เท่าใด?เย่ว์หยางพกปริศนานี้เข้ามาในผนึกหลุมดำ
ถ้าเป็นแต่ก่อนนางพญาเฟ่ยเหวินหลีคงไม่บอกเรื่องราวแดนสวรรค์กับเย่ว์หยางมากนักมีสามเหตุผลหลักก็คือ ประการแรก เขายังไม่แข็งแกร่งพอและไม่สามารถป้องกันตนเองได้ต่อให้เขารู้เรื่องแดนสวรรค์ก็ตาม ประการที่สองไม่มีประโยชน์ที่จะรู้เพิ่มเติมถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าไปในแดนสวรรค์ ประการที่สามข้อมูลที่นางทราบมีมาหลายพันปีแล้ว แม้ว่าบางส่วนยังจะใช้ได้อยู่ แต่ว่าส่วนใหญ่เปลี่ยนไปมากเกินกว่าจะยอมรับได้
แต่ไม่ใช่เพราะตอนนี้เย่ว์หยางเข้าแดนสวรรค์มาแล้ว
แม้ว่าเขาจะเที่ยวไปเพียงไม่กี่วันแต่นางก็ยังกังวลเรื่องเขา
“แดนสวรรค์เป็นที่ให้ความสำคัญกับพลังความแข็งแกร่งความยุติธรรมและความชั่วเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ผู้ชนะเป็นเจ้า ทั้งหมดมีแค่นั้น!” นางพญาพยักหน้าให้เย่ว์หยาง “ข้าไม่รู้ว่าสถานการณ์ในแดนสวรรค์ปัจจุบันนี้เป็นยังไงแต่ผู้ครองอำนาจปกครองไม่ได้เป็นผู้มีความเป็นธรรมอย่างแท้จริงมีคำกล่าวในหอทงเทียนว่า การเมืองเป็นเรื่องน้ำเน่าคำพูดนี้เหมาะสมใช้อธิบายถึงผู้ปกครองในแดนสวรรค์หอทงเทียนในอดีตก็อาจมีคนดื้อรั้นยืนหยัดในความยุติธรรมไม่กี่คน ไม่ว่าจะเป็นนักสู้หรือทหารรับจ้างแต่แดนสวรรค์นั้นแตกต่าง ถ้าเจ้าทรงพลังอำนาจเพียงพอ คนที่ต้องการฆ่าศัตรูของเจ้าในนาทีสุดท้ายอาจกลายเป็นสหายของเจ้าในทันทีได้!”
“อา..ข้าเข้าใจเรื่องนั้น” เย่ว์หยางรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญคือสังคมที่ก่อนนี้เขาเคยอยู่มาก็มีพฤติกรรมเช่นนี้
“หนุ่มน้อย,ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างจริงจังว่าเจ้าสามารถเชื่อใจสหายในหอทงเทียนได้ แต่ในแดนสวรรค์ เจ้าเชื่อได้แต่ตัวเองเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าแข็งแกร่งไม่พอ” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีเตือนเย่ว์หยางว่าเขาต้องระมัดระวังตัวให้มากในแดนสวรรค์ และว่าเขาไม่อาจตอแยยอดฝีมือในแดนสวรรค์อย่างราชาใจสิงห์ได้
ราชาใจสิงห์ตอนนั้นเป็นเพราะเย่ว์หยางปล่อยมังกรปีศาจ
นอกจากนี้สาวมังกรไร้เขายังได้รับตกทอดพลังเทพจากเทพมังกร ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นราชาใจสิงห์คงฆ่าเย่ว์หยางแน่นอน
เย่ว์หยางพยักหน้าและถามด้วยความสงสัย “ราชาใจสิงห์ เจ้าผู้นี้เป็นใคร?ท่านรู้จักเขาไหม? ดูเหมือนเขาจะเกี่ยวข้องกับพวกโจรตัวตลกและพวกโจรตัวตลกก็กำลังจับตาแดนล่มสลายแห่งทวยเทพในหอทงเทียน”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีลังเล
ดูเหมือนนางระลึกถึงอดีตและนางยังไม่ตอบเป็นเวลานาน
ในที่สุดนางถอนหายใจเบาๆ “ข้าไม่รู้จักราชาใจสิงห์ ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา แต่ข้าได้ฆ่าราชากริฟฟินทองในแดนสวรรค์ใต้ ข้าสงสัยว่าราชากริฟฟินทองจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับราชาใจสิงห์ บางทีอาจลูกหลาน หรืออาจไม่ใช่ก็ได้.....ราชากริฟฟินทองไม่ใช่สมาชิกของแดนสวรรค์ใต้ เขาเป็นสมาชิกของตำหนักกลาง และเมื่อเขาพร้อมกับนักสู้ปราณฟ้าหลายคนมาล้อมโจมตีข้า ข้าจึงฆ่าเขา นั่นเป็นเรื่องนานมาแล้ว ข้าจำได้ไม่ชัดเจน”
เย่ว์หยางปลอบนางพญา “ไม่เป็นไร ข้าแค่ถามตามปกติเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าราชาใจสิงห์จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่รางวัลค่าหัวเขามีค่าถึงสี่หมื่นล้าน ในบรรดาพวกที่ข้าล่วงเกินจักรพรรดิแดนฟ้ามีพลังมากที่สุดยังมีค่าหัวแสนล้าน ไม่นับสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์และจ้าวปกครองภาคพื้น
“ข้าน่าจะรู้จักจักรพรรดิแดนฟ้า” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีคุ้นกับชื่อเทพ
“ท่านรู้จักเขาด้วยหรือ?” เย่ว์หยางจงใจถามจงกวนและได้ข้อมูลเกี่ยวกับจักรพรรดิแดนฟ้ามาบางส่วนจากนั้นเขาจึงบอกนางพญา ซึ่งนางได้แต่แค่นเสียง
“เจ้าคนที่เรียกว่าจักรพรรดิแดนฟ้าเมื่อตอนนั้นเป็นแค่หัวหน้าโจรสลัดเท่านั้น เมื่อข้าไปเกณฑ์คนที่แดนสวรรค์ใต้ เขาใช้เรือบรรทุกทหารให้ข้าถึงกระนั้นเขาไม่น่าจะกลายเป็นจักรพรรดิได้” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีเหยียดหยามจักรพรรดิค่าหัวแสนล้านนี้ นางรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับตั้งค่าหัวแสนล้านโดยไม่มีชื่อว่าพิชิตนางพญา
“อา..ฝ่าบาทจักรพรรดิแดนฟ้าอาจมีความก้าวหน้ามากในช่วงหมื่นปี” เย่ว์หยางเหงื่อตกพูดไม่ออก หมื่นปีผ่านไปแล้วอาจมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย
“นั่นแตกต่างกันทุกอย่างมีข้อจำกัดเพียงอย่างเดียว บอกได้เลยว่าทุกคนยกเว้นเจ้าสหายน้อยผู้มีศักยภาพพิเศษ ล้วนมีศักยภาพจำกัดมากการเลื่อนระดับของเขาไม่อาจเกินศักยภาพของเขาไปได้ กระบวนการก้าวหน้าที่เจ้าอ้างถึงอาจเป็นเพราะมีคนได้รับเลือดเทพหรือจิตวิญญาณยุทธแต่แม้จะมีทั้งสองอย่าง ความก้าวหน้าของเจ้าก็ยังมีจำกัด” นางพญาคาดว่าจักรพรรดิแดนฟ้าอดีตหัวหน้าโจรสลัดคงได้รับเลือดเทพ มิฉะนั้นเขาคงไม่มีความหยิ่งยโสเกินไป
“เล่าเรื่องผู้ยิ่งใหญ่และเจ้าปกครองภูมิภาคในแดนสวรรค์ให้ข้าฟังด้วย ทำไมพวกเขาทุกคนจึงมีสามผู้ยิ่งใหญ่และมีเจ้าปกครองแดนสวรรค์ตะวันออก ใต้ตะวันตกและเหนือเล่า?” เย่ว์หยางกล่าว
“เจ้าปกครองภูมิภาคเป็นเทียมเทพหรือจะถือว่าเป็นเทพระดับต่ำที่ได้รับการแก้ไข และอยู่เพื่อเป้าหมายบางอย่างพวกเขาจะไม่เริ่มสงคราม พวกเขาจะไม่สู้กันเองและพวกเขาจะไม่สู้กับคนภายนอกง่ายๆเมื่อพวกเขาตาย คำสั่งทั่วอาณาจักรจะล่มสลาย เป็นเจ้าปกครองภูมิภาคเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากและโดยปกติแล้วยอดฝีมือที่แท้จริงจะไม่ยอมรับเป็นเจ้าครองภูมิภาค” ดูเหมือนนางจะดูแคลนเจ้าครองภูมิภาคซึ่งเป็นเทพระดับต่ำ
“และสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์เล่า?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“คนที่เป็นปากเสียงให้กับเทียมเทพและเป็นตัวเก็งสืบทอดอำนาจของเขา” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีโบกมือนาง “บรรดาผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ทั้งสาม จะมีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์จะทำงานเป็นอิสระและมีชีวิตชีวาต่างจากเจ้าครองภูมิภาคพวกเขาเป็นอิสระกับการเที่ยวฝึกฝน ถ้าสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ตาย เจ้าปกครองภูมิภาคจะเลือกผู้ยิ่งใหญ่รุ่นใหม่ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิ หรือแยกขึ้นมาจากในขอบเขตแดนเทพเจ้าเรื่องเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก และเรื่องยาวพลังในปัจจุบันของเจ้ายังไม่สามารถเอาชนะผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ได้...”
“แน่นอนว่า ข้าก็แค่ถามดู” เย่ว์หยางพูดไม่ออกอีกครั้งยังไม่ต้องพูดถึงผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์หรือจักรพรรดิแดนฟ้า แม้แต่ต่ำลงมาอีกหนึ่งระดับอย่างราชาใจสิงห์ก็ยังด้อยกว่าห่างไกล
สี่หมื่นล้านจะเอาไปเทียบกับของเขาเองร้อยล้านได้ยังไง
รวมแล้วก็สี่ร้อยเท่า!
นางพญาเฟ่ยเหวินหลียิ้มและจูบหน้าผากเย่ว์หยางเบาๆ“ด้วยความเร็วในการฝึกของเจ้า เจ้าจะเหนือกว่าราชาใจสิงห์ในอีกไม่กี่ปี จะรีบร้อนทำไม? ไม่ว่าจะระดับราชา ระดับจักรพรรดิ ระดับผู้ยิ่งใหญ่ระดับเจ้าครองภูมิภาค เราสามารถเว้นผ่านไปได้เลย ผู้ทรงพลังที่เหนือกว่าอย่างมากมายก็คือเทพมังกรทอง”
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนี้เขารีบถาม “เทพมังกรเขาเป็นเทพหรือมนุษย์?”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีดูเหมือนจะรู้ว่าเขาจะถามเรื่องนี้นางมองเขาอย่างขบขัน “หนุ่มน้อย, จะไม่มีประโยชน์อันใดกับการรู้เกินกว่าสิ่งที่เจ้าจะจินตนาการออก เจ้าแค่ยืนหยัดให้มั่นแล้วฝึกหนักอีกต่อไปเมื่อเจ้าถึงระดับนั้นข้าจะบอกเจ้า ไม่ต้องมาทำสายตาออดอ้อนข้าอย่างนั้นคนเก่าๆ เหล่านั้นที่มังกรปีศาจบอกก็ยังมีอยู่เช่นเดียวกับข้าที่ถูกผนึกอยู่ บางส่วนก็มาจากหอทงเทียนบางส่วนก็เป็นยอดฝีมือจากพิภพอื่น ข้าไม่รู้เรื่องพวกเขามากนัก แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอนก็คือพวกเขาอยู่ในดินแดนระดับสูง”
เย่ว์หยางคิดชั่วขณะ “กฎในหอทงเทียนและแดนสวรรค์ถูกวางโดยพวกเขาทั้งหมดหรือ?”
นางพญาส่ายศีรษะ“ไม่ใช่, อาจจะมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ของกฎสวรรค์จะมาจากยุคโบราณนานเป็นอสงไขย
“เหนือเทียมเทพก็คือเทพใช่ไหม?” เย่ว์หยางวนถามคำถามนี้ ความจริงเขาต้องการถามเกี่ยวกับการคงอยู่ของเทพและนักพรตเฒ่าผู้เตะโด่งเขาเข้าทวีปมังกรทะยาน เขาเป็นเทพที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีพูดถึงหรือเปล่า? ถ้าใช่ เขาจะอยู่ระดับใด? ทำไมถึงเตะเย่ว์หยางเข้ามาในพิภพนี้? เขาต้องการเล่นเกมอาร์จีพีกับมนุษย์จริงๆ หรือ?
“ก็ใช่, เทพเป็นคำเรียกทั่วไป สำหรับพวกที่อยู่ในหอทงเทียนระดับล่างแค่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับแปด เก้า สิบก็เรียกกันว่าเทพแล้วแต่สำหรับพวกที่อยู่ในแดนสวรรค์ สามผู้ยิ่งใหญ่ และเจ้าครองภูมิภาคก็เป็นเทพแล้ว! มีความสัมพันธ์กันหมด ในมุมมองของเรา ความคงอยู่ของเทพนั่นคือคำพูดอย่างน้อยก็ต้องมีชีวิตกำเนิดอยู่ในยุคโบราณและถือครองพลังกฎได้อย่างอิสระเทียบกับสิ่งมีชีวิตสุดยอดอย่างสามผู้ยิ่งใหญ่และเจ้าครองภูมิภาคเปรียบเหมือนมดไปเลย...เจ้าก็รู้ ข้ากวาดไปทั่วแดนสวรรค์และกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานได้ แต่ในที่สุดเทพผู้อ่อนกว่าข้าสองสามแสนปีเกิดขึ้นในทวีปมังกรทะยาน และผนึกข้าไว้ในผนึกหลุมดำได้สำเร็จ”
“เทพตายได้ไหม?” เย่ว์หยางสงสัยว่าสุดยอดสิ่งมีชีวิตจะถูกฝังอยู่ในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพหลังจากตายแล้วหรือไม่?
“เหลวไหล, แน่นอนว่าข้าเองก็ยังต้องตาย! ความจริง เทพก็คือสุดยอดนักสู้ไร้เทียมทานก็เหมือนกับจื้อจุน แต่เป็นจื้อจุนฝ่ายแดนสวรรค์และโลกยังเรียกว่าเทพ ตราบใดที่มีเทพคนหนึ่งมีพลังยิ่งใหญ่กว่าเทพอีกคนเขาจะมีพลังกฎที่สามารถข่มได้ เขาสามารถฆ่าหรือผนึกฝ่ายตรงข้ามไว้ได้” “อย่างข้านี้ไม่ใช่หรือ?”
“เหรอ?” เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนี้ เขาตะลึง
“อา, ไม่.. สถานการณ์ของข้าแค่คล้ายกัน” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีรีบเปลี่ยนหัวข้อคุย“ความจริงจะก้าวเข้าสู่ระดับปราณราชันย์จะต้องครอบครองหัวใจปราณราชันย์เสียก่อนและมีเจตจำนงไร้เทียมทานเป็นอิสระจากโลก อาจจะกล่าวได้ว่าเจ้าเข้าสู่เขตแดนของเทพเจ้าแล้ว ตราบใดที่เจ้าไม่เข้าใจหัวใจปราณราชันย์เจ้าไม่มีคัมภีร์อัญเชิญหรือมีเจตจำนงไร้เทียมทาน เจ้าจะไม่ได้รับมัน เหมือนกับที่เจ้าไม่ยอมรับอสูรเพชฌฆาตโบราณเมื่อเจ้ามีหัวใจปราณราชันย์ เจ้าจะค่อยๆ คว้าพลังอำนาจได้ ภายใต้ปณิธานของเจ้าทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับปณิธานของเจ้าและกฎที่เจ้าตั้งไว้”
“ตัวอย่างเช่น ผนึกหลุมดำนี้ก็คือกฎปณิธาน ถ้าปณิธานข้าแข็งแกร่งกว่าหรือว่าปณิธานเจ้าแข็งแกร่งกว่ามัน ข้าจะทำลายมันได้ง่ายๆ แน่นอนว่าข้าไม่มีความแข็งแกร่งพอ เราได้แต่ยอมตามชั่วคราว ถ้าเราฝืนพลังทำลายจะทำให้ผลสะท้อนกลับมารุนแรงน่ากลัว”
“ผู้คนไม่สามารถเข้าแดนล่มสลายแห่งทวยเทพได้ เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องของพลังแต่เป็นกฎ ถ้ามีคนผู้หนึ่งสามารถเมินเฉยกฎทั้งหมดในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพได้ อย่างนั้นเขาก็สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย..นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์เทพอย่างที่เจ้าพูด สุสานเทพเจ้ามีกฎที่เป็นอิสระกับตัวเองต้องมีพลังกฎที่เหนือกว่านั้นและครอบครองพลังและปณิธานและได้รับความยินยอมจากคัมภีร์เทพนั้น”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีสอนบทเรียนดีๆให้เย่ว์หยาง
เย่ว์หยางไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จากนั้นถาม “อสูรเทพ คล้ายกับอย่างอื่นบ้างไหม?”
นางพญาพยักหน้าเล็กน้อย“นั่นคือความจริง แต่อสูรเทพนั้นมีปณิธานไม่มีใครเทียบยังมากกว่าของเทพเสียอีกและมันมีอยู่ด้านเดียวและจำกัด ปณิธานเทพความจริงจะทรงพลังมากและน่ากลัวอย่างมากจริง กล่าวกันว่าทุกอย่างในโลกนี้สามารถเกิดขึ้นได้แค่เพียงคิดและดินแดนแห่งการทำลายล้าง ก็คือการสร้างของเทพและคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เย่ว์หยางไตร่อยู่นาน
นักพรตเฒ่าไม่ใช่คนผู้สร้างเทพซึ่งเกิดมาด้วยคติความคิดเดียว หนึ่งความคิดและหนึ่งโลก
เขาเพียงแต่ให้กระบี่บิน ภูตกระบี่ที่อยู่ภายในก็แข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบกับนางได้
ช่างเถอะ คนที่ฝึกปรือระดับสูงย่อมไม่คิดมากเกินไปมันยังคงเลือนราง และคงจะดีกว่าที่ค่อยๆ ฝึกปรือไปเรื่อยๆ
ในใจเย่ว์หยางเขากังวลขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ความจริงเขาได้เปรียบหลายอย่างมากเขาไม่ควรเร่งร้อนทำมากจนเกินไป แต่เขาควรจะเดินหน้าอย่างมั่นคง แม้แต่พลังของกระบี่ทั้งสองคือกระบี่กุยจ้างและกระบี่ซวงหัวก็ยังฝึกได้ไม่เต็มที่ และกระบี่สายรุ้งก็ยังไม่ได้ฝึก ถ้าทั้งหมดฝึกได้สำเร็จ ราชาใจสิงห์จะมีอะไร? จักรพรรดิแดนฟ้าจะมีอะไร ผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ตะวันตกจะมีอะไร ทำไมเขาจะต้องกลัวด้วย?
แม้ว่าเขายังไม่รู้หัวใจปราณราชันย์เต็มที่ แต่เขาก็เริ่มเข้าใจพลังของกฎบ้างแล้ว เพราะกฎแห่งโชคชะตา
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หรือปณิธานพลังจิตได้
ไพ่ทำนายโชคน่าจะเป็นของๆบางสิ่งที่น่ากลัวมาก อาจเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของยุคโบราณ
สำหรับแดนล่มสลายแห่งทวยเทพทำไมมารดาของสหายผู้น่าสงสารจึงต้องเข้าไปด้วย? ตอนนี้ จากคำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี นางต้องเข้าใจหัวใจปราณราชันย์ แม้แต่ระดับสูงของใจ นางก็มีพลังปณิธานที่แข็งแกร่งมากและสามารถกำจัดผลกระทบและกฎต่างๆและพลังได้... แค่นั้นก็พอแล้ว, การฝึกปรือไม่ใช่ส่วนของการบังคับ ตัวอย่างเช่นสนามพลังจิตที่อี้หนานและคนอื่นได้เรียนรู้หลังจากตอนกลางคืนเป็นเหมือนการฝึกพลังจิต
“หนุ่มน้อย! อย่ากังวลและไม่ต้องรีบเร่งในตอนนี้ เจ้าต้องค่อยๆ ฝึกปรือไป ด้วยศักยภาพของเจ้าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับเรื่องนี้ แต่จิตตานุภาพของเจ้าจะส่งอิทธิพลต่อความก้าวหน้าของเจ้า” คำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำให้เย่ว์หยางเกิดแรงบันดาลใจใหญ่มากมาย
นางเกรงว่าเย่ว์หยางจะไม่เข้าใจนาง และนางก็คลุกคลีกับเขาน้อยไปบ้าง
ในอดีตนางจะไม่เคยเชื่อมโยงกับเขาแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เพื่อทำให้เย่ว์หยางมีพลังใจเพิ่มขึ้น เขาจะมีปฏิกิริยากับคลื่นสมองของเขาได้ในหนึ่งวินาทีนางให้เขาได้รู้สึกถึงอาณาจักรของตัวเขาเอง!
ตาเย่ว์หยางกลายเป็นสีดำ
ตลอดทั้งร่างของเขากำลังจะฉีกขาดด้วยความเจ็บปวด แรงกดดันที่สูงยิ่งกว่าภูเขากดทับเป็นพันๆเท่าครอบคลุมจิตใจของเขาตอนนี้เย่ว์หยางเข้าใจเหตุผลที่ผู้ฝึกฝนในระดับปราณฟ้าที่ทรงพลังอย่างราชาใจสิงห์ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเคล็ดหัวใจปราณราชันย์ เหตุผลนั้นง่ายมาก ขอบเขตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนผู้หนึ่งจะเข้าใจได้ แต่เป็นสำนึกเทพอย่างหนึ่ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าสำนึกเทพเขารู้สึกตัวว่าด้อยค่าเล็กน้อยเหมือนมดมองดูบรรพตสูงใหญ่
โชคดีที่เย่ว์หยางเองก็มีพลังใจที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว และเขาเพียงแต่สัมผัสใจนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขารู้สึกว่าถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆอยู่ภายใต้สำนึกเทพนี้
สำนึกเทพเช่นนี้ก็คือกฎพลังของตัวนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเองและนางควบคุมนางเองได้สิ้นเชิง
สำนึกของเย่ว์หยางก็มีสำนึกที่ดิ้นรนต่อต้าน และพลังของกฎมีอำนาจทำลายล้าง
เย่ว์หยางกระอักโลหิตออกมาเต็มคำ
อย่างไรก็ตามประกายในดวงตาของเขาเจิดจ้าขึ้น
ปณิธานที่เขาไม่เคยมีมาก่อนค่อยๆปรากฏขึ้นในใจเงียบๆ
แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงระดับปราณราชันย์ แต่เย่ว์หยางพบแก่นหัวใจปราณราชันย์ที่แท้จริงแล้ว และเข้าใจสิ่งที่เขากำลังทำ ถ้านี่ไม่ใช่ผนึกหลุมดำ ถ้านี่ไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านางพญาเฟ่ยเหวินหลีควบคุมพลังของร่างของเขาที่สูญเสียการควบคุมอย่างนั้นพลังที่น่ากลัวจากการสูญเสียการควบคุมระหว่างทำความเข้าใจรู้แจ้งนี้อาจทำลายเมืองหลวงได้ทั้งเมือง...
เย่ว์หยางกระอักโลหิตขณะที่เปลี่ยนเป็นพลังงาน
และถูกหลุมดำดูดกลืนพลังลงไป
อย่างไรก็ตามระดับการรู้แจ้งทำให้ความรู้ที่เขาได้รับถูกเก็บรักษาตลอดไป หัวใจปราณราชันย์แม้ว่าเขาจะยังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับเก้าแต่เขาก็ได้รับเคล็ดหัวใจปราณราชันย์มาแล้ว
“หนุ่มน้อย! นี่เป็นแค่ฤทธิ์เดชเล็กน้อยเท่านั้น ยังจำเป็นต้องได้รับการรู้แจ้งในระดับที่สูงขึ้นไปอีก” นางพญาเฟ่ยเหวินหลีสรุปให้ว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ขอบคุณ!” เย่ว์หยางจับมือนางพญาอย่างตื่นเต้นและจูบนางด้วยความรู้สึกที่ซาบซึ้ง