ตอนที่ 37 การจู่โจมของผู้ติดเชื้อผิวลอก
ตอนที่ 37 การจู่โจมของผู้ติดเชื้อผิวลอก
เรนเดินไปที่หน้าต่าง แต่ตอนนั้นรูนิกลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนเรนในทันที มันเป็นระดับอันตรายที่มากขึ้นกว่าผู้ติดเชื้อทั่ว ๆ ไป
“ระวัง!” เรนยื่นมือไปคว้ารินดาที่ยืนใกล้ ๆ หน้าต่างออกมา
วินาทีที่รินดาโดนดึงออกมาห่างจากหน้าต่างผู้ติดเชื้อตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใส่หน้าต่างที่มีแผ่นไม้กั้นอยู่ จนแผ่นไม้นั้นหักพังเป็นช่องให้มันโผล่เข้ามาได้
สภาพของผู้ติดเชื้อตัวนี้สยองเป็นอย่างมากผิวหนังตามใบหน้าและร่างกายของมันหลุดลอกจนเห็นกล้ามเนื้อด้านในมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผิวหนังในร่างกาย
ดวงตาของมันขุ่นมัวจนแทบจะมืดบอด แต่ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นใจสุด ๆ
สองมือของผู้เชื้อตัวนี้พยายามตะเกียกตะกายข้ามหน้าต่างมา แต่ร่างท่อนบนของมันผ่ามาได้ แต่ตรงท้องของมันโดนแผ่นไม้ที่ใช้ปิดหน้าต่างเสียบแทงคาไว้ ทำให้ตัวของมันข้ามาได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ว๊ากกก!!!
ผู้ติดเชื้อแสดงสัญญาณอย่างบ้าคลั่งออกมา มันแข็งแรงมากจนน่าตกใจ มือทั้งสองจับไปที่ขอบหน้าต่างจนหน้าต่างโดนกดจนแตกตามการจับของมือผู้ติดเชื้อ มันพยายามดึงร่างที่เหลือให้ข้ามหน้าต่างให้ได้จนลำตัวช่องท้องเริ่มฉีกขาดออกจากกัน
ธันวาและคนอื่น ๆ หันไปคว้าอาวุธของตนเอง แต่เรนนั้นไวกว่าเขาเอารูนิกปืนลูกซองออกมาก่อนจะกระหน่ำยิงไปที่หัวของมัน
ปัง! ปัง! ปัง!
เรนยิงใส่หัวของมันสามนัดติด ๆ กันจนหัวสมองของมันกระจุยกระจาย เหลือเพียงศีรษะตั้งแต่จมูกลงมาเท่านั้นสายฝนที่ตกด้านนอกในเวลาค่ำคืนทำให้บรรยากาศในตอนนี้กดดันทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเขามองไปที่ศพของผู้ติดเชื้อผิวลอกตรงหน้าด้วยสีหน้าอึ้งและตกใจ
พวกเขาเคยเผชิญหน้ากับผู้ติดเชื้อมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นตัวไหนที่ทรงพลังจนพุ่งกระแทกหน้าต่างที่มีแผ่นไม้ปิดอย่างแน่นหน้าและทะลุเข้ามาได้ในครั้งเดียวแบบนี้
“มันตายแล้วใช่ไหม?” ไอราถามขึ้นมาด้วยแววตาสั่นกลัว
ในใจของทุกคนก็มีคำถามนี้เช่นกัน แต่ตอนนั้นเองร่างของผู้ติดเชื้อผิวลอกก็กระตุกเบา ๆ ทุกคนที่จดจ้องอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจถอยหลังตามสัญชาตญาณ
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ตอนนั้นเองแม่เด็กสาวก็ถือค้อนเข้าไปทุบไปที่ซากของผู้ติดเชื้อผิวลอกที่ตายคาหน้าต่างอีกหลายครั้งท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนอื่น ๆ
เธอทุบไม่ยังไปที่ส่วนที่เหลือแต่โคนของศีรษะจนเลือดนั้นกระเซ็นไปทั่วบริเวณและตัวของเธอ จนกระทั่งที่ตัวของผู้ติดเชื้อผิวหนังลอกได้มีเหรียญทองระบบ 5 เหรียญเด้งออกมาพร้อมกับหินรูนิกเปล่าอีกหนึ่ง
แต่ว่ารินดาก็ยังไม่หยุดทุบ เธอทุบอย่างบ้าคลั่งจนหมดแรง
เมื่อทุบจนพอใจแล้ว เธอก็หันไปมองทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนเลือดแววตาสุดจะเยือกเย็นว่า
“ตายแล้ว”
พูดจบรินดาก็เดินกลับไปที่โซฟา โยนค้อนปอนด์ลงไปข้าง ๆ และนอนหลับตาไปทั้งสภาพเช่นนั้น
ผู้กองเชนเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะหยิบแผ่นไม้ที่หลุดออกมาแผ่นหนึ่งขึ้นมาเขี่ยไปที่ผู้ติดเชื้อตรงหน้า เขาอยากจะดูสภาพที่แตกต่างของมัน
“ทำไมสภาพของมันถึงเป็นแบบนี้ สยองเป็นบ้าเลย” ธันวาพูดขึ้นมาและรู้สึกขนลุก
“ฉันเคยเจอแบบนี้มาก่อนตอนหมอกสีดำเหล่านั้น ฉันเรียกมันว่าพวกผู้ติดเชื้อผิวหนังลอก มันอยู่ในระยะแรก ผู้ติดเชื้อ แต่ว่าทรงพลังกว่าผู้ติดเชื้อพูดไม่ได้หรือผู้ติดเชื้อพูดได้” เรนอธิบาย
หลินและผู้กองเชนสองคนเดินเข้าไปและใช้แหวนของตนเองตรวจสอบผู้ติดเชื้อตรงหน้า
“มันยังไม่เป็นระดับ 2 จริง ๆ แต่ก็ทรงพลังกว่าพวกพูดไม่ได้หรือพูดได้ตามที่นายบอกจริง ๆ” ผู้กองเชนกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ยืนยันได้ว่าน้ำฝนที่ปนเปื้อนทำให้ผู้ติดเชื้อกลายเป็นพวกระดับ 2 ได้เหมือนที่เชื้อหมอกสีดำทำได้สินะ” หลินพูดขึ้นมาและขมวดคิ้วชนกัน
“ถ้าอย่างนั้นบ้านแบบนี้ก็คงไม่ปลอดภัยแล้ว แค่ผู้ติดเชื้อผิวลอกที่ยังไม่เป็นระยะ 2 ด้วยซ้ำยังทรงพลังขนาดนี้ ถ้าเป็นระยะสองจะน่ากลัวขนาดไหน” หลินกล่าวและเอื้อมมือไปจับมือของธันวาเบา ๆ ด้วยความตื่นกลัว
“ไม่ต้องระยะสองหรอก ถ้ามีตัวบ้า ๆ แบบนี้ซัก 4-5 ตัวมันคงฉีกบ้านหลังนี้ที่พวกเราหลบเป็นชิ้น ๆ แน่นอน” ผู้กองเชนพูดและโยนไม้ในมือทิ้ง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เพราะกลัวว่าจะมีพวกมันมาอีก
เรนมีสีหน้ากังวลและรู้สึกกดดันสุด ๆ สถานการณ์ที่พวกเขากำลังเจอมันกำลังบีบให้พวกเขาตาย เขาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง ต่อให้เป็นรูนิกที่มีมันก็มอบความแข็งแกร่งให้เขาจำกัดอยู่ดี
“พรุ่งนี้ ไม่ว่าฝนจะหยุดหรือไม่พวกเราจะต้องไปกันต่อ” เรนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะถ้าไม่ไปตอนนี้โอกาสของพวกเขาจะน้อยลงเรื่อย ๆ
แม้พวกเขาจะกำหนดว่าจะเดินทางกันในตอนเช้า แต่ว่าตอนนี้พวกเขายังต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำจัดศพของผู้ติดเชื้อผิวลอกตัวนี้ก่อน
ผู้ติดเชื้อผิวหนังลอกมันต่างจากผู้ติดเชื้อทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่เพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่กลิ่นของมันก็เหม็นมากด้วยเช่นกัน
ถ้าผู้ติดเชื้อทั่วไปมีสภาพคล้ายพวกคนที่คลั่งมีกลิ่นเลือดจนคาวเป็นเอกลักษณ์ อย่างนั้นกลิ่นของผู้ติดเชื้อผิวหนังลอกก็เหมือนพวกน้ำเหลืองผสมน้ำหนองเน่า ๆ ที่โดนหมักมาสักพักแล้วผสมกับเลือดเข้าด้วยกัน มันแย่เป็นอย่างยิ่ง
แถมเพราะพวกมันไม่มีผิวหนังทำให้ของเหลวตามร่างกายของมันหมดออกมาจากบาดแผลพวกนั้นเรื่อย ๆ
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องช่วยกันจัดการศพของมัน โดยเริ่มจากเอาผ้ามาห่อและต้องยกออกไปทิ้งด้านนอกทั้งที่ฝนยังคงตกอยู่ โดยพวกผู้ชายนั้นช่วยกันยกศพเพื่อจะเอาออกไปทิ้ง ส่วนผู้หญิงเริ่มหาผ้าและน้ำมาล้างเลือดบริเวณหน้าต่างออกไป
ทั้งสามคนช่วยกันยกศพออกมาและเปิดประตูออกไปด้านนอกสายฝนยังคงตกหนักอยู่ โชคดีที่ไม่มีลมกรรโชก ไม่อย่างนั้นมันคงยากมากขึ้นที่จะออกไปเดินท่ามกลางสายฝน
ขณะธันวาที่ก้มตัวไปยกศพตอนนั้นเองเรนก็พูดขึ้นมาว่า “ธัน นายไปซ่อมหน้าต่างเถอะ น้ำฝนเหล่านี้มันปนเปื้อน มันอาจจะส่งผลอันตรายต่อนายที่เป็นคนธรรมดาได้ เดี๋ยวฉันกับผู้กองเชนจะเอาศพนี้ออกไปทิ้งเอง”
ธันวาขมวดคิ้วทันที ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เรนฉันมีเสื้อกันฝนอยู่ ผู้กองผมจะยกไปกับเรนเอง”
ผู้กองเชนที่กำลังจะยกศพก็ชะงักไป ก่อนที่เขาจะมองแววตาของธันวาที่ดึงดันจะไป “นายไปก็แล้วกัน ถึงน้ำฝนพวกนี้จะปนเปื้อน แต่ว่าถ้าไม่กินเข้าไปตรง ๆ ก็คงไม่เป็นอันตรายมาก”
กล่าวจบผู้กองเชนก็แยกออกไปหาไม้มาปิดที่หน้าต่างพัง ๆ ที่ผู้ติดเชื้อผิวหนังลอกตนนี้ทำลายเข้ามา
สุดท้ายเรนและธันวาก็ต้องช่วยกันยกศพออกไปทิ้ง โดยพวกเขานั้นใส่เสื้อกันฝนออกไป ซึ่งมันเป็นเสื้อที่หาได้จากในบ้านหลังนี้ด้วย
ทั้งสองช่วยกันยกศพที่ถูกห่อด้วยผ้าปูที่นอน ในระหว่างที่เดินผ่านสายฝนไปที่ต้นไม้ไม่ไกลจากบ้าน ผ้าปูที่นอนก็เริ่มเป็นสีแดง น้ำฝนที่ตกลงมาชะล้างให้เลือดจากศพตกลงไปที่พื้นผสมไปกับน้ำเหล่านั้นจนสร้างเป็นทางเลือดสีแดงฉาน ก่อนที่เลือดเหล่านั้นจะค่อย ๆ จางลงไปกับน้ำฝนอย่างรวดเร็ว
ตุบ!
เรนและธันวาช่วยกันโยนศพผู้ติดเชื้อผิวลอกไปที่โคนต้นไม้ ซึ่งตรงนั้นยังมีศพผู้ติดเชื้อสองคนที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่ด้วย
“ไว้ตรงหน้าหวังว่าจะไม่เป็นอะไร” เรนใช้ฉายส่องไปที่ศพพวกนั้น มันห่างจากตัวบ้านแล้ว พวกเขาไม่กล้าออกไปไกลมากกว่านี้ในตอนมืด ๆ ที่ทัศนวิสัยไม่ดีแบบนี้ด้วย
“กลับไปด้านในกันเถอะ”
เรนหันเตรียมเดินกลับไป แต่เขาก็พบว่าธันวานั้นยังคงยื่นนิ่งและถือไฟฉายมองมาที่เรน
“เรน” ธันวาเรียกเรนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
“ธันมีอะไรหรือเปล่า” เรนหันกลับมาถามด้วยความสงสัย
“นายมีพลังจากแหวนพลังนั้น แต่นายไม่ควรจะแบกทุกอย่างไว้คนเดียว ฉันเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งและสามารถทำอะไรได้มากกว่าให้นายมาคอยปกป้องตลอดแบบนี้” ธันวาพูดขึ้นมาด้วยความอัดอั้นใจ
เรนที่ได้ยินธันวากล่าวมาแบบนี้ก็ถึงกับยืนนิ่งไปในทันที
เขาอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ก็เหมือนจะติดอยู่ในลำคอ
“นายมองฉันเป็นคนธรรมดาที่อ่อนแอและต้องช่วยตลอด ฉันรู้สึกว่าตัวเองแม่งโคตรจะเป็นตัวถ่วงเลย ที่จริงฉันก็ยอมรับนะว่าตัวเองอ่อนแอจริง ๆ ถ้าต้องสู้กับผู้ติดเชื้อเป็นร้อย ๆ ตัวแบบนั้น แต่ว่านะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นายควรจะให้ฉันได้ทำบ้าง ไม่ใช่นายจะทำคนเดียวไปซะทุกอย่าง เพราะคิดว่ามันอันตราย มันอึดอัดวะ” ธันวาขมวดคิ้วและสบตากับเรนตรง ๆ ขณะที่พูดออกมา
เรนมีสีหน้านิ่งเงียบ เขาลืมคิดถึงความรู้สึกของธันวา เมื่อก่อนธันวามักจะเป็นเหมือนคนนำและก็คอยช่วยเหลือเขาในหลาย ๆ ครั้งเสมอมา
แต่หลังจากเกิดเรื่องเรนมักจะคอยปกป้องธันวาตลอด เพราะเขากลัวเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไป จนหลงลืมความรู้สึกของธันวาไป ทำให้ธันวาที่เมื่อก่อนเหมือนเป็นผู้นำรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วง ที่ต้องค่อยได้รับการปกป้อง แม้แต่เรื่องที่เขาช่วยได้ เรนก็ยังกีดกันออกไป เพราะความกลัว
ซึ่งธันวาแม้จะไม่พูดอะไรในตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่มันกลับตอกย้ำให้เขาคิดว่าตัวเองนั้นไร้ค่าและอ่อนแอ
‘ฉันเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งและสามารถทำอะไรได้มากกว่าให้นายมาคอยปกป้องตลอดแบบนี้ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นายควรจะให้ฉันได้ทำบ้าง ไม่ใช่นายจะทำคนเดียวไปซะทุกอย่าง’ เรนทวนประโยคนี้ในใจซ้ำ ๆ
“ขอโทษทีวะที่ทำให้นายรู้สึกแบบนั้น” เรนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฉันเข้าใจและขอบใจนายที่ช่วยด้วย แต่หลังจากนี้นายสามารถให้ฉันช่วยเรื่องอื่นที่ฉันทำได้จะได้หรือเปล่า นายต่อสู้ ฉันจะคอยสนับสนุน” ธันวาถามเรนด้วยท่าทีจริงจัง
“แน่นอน” เรนพยักหน้าและตอบ
“ขอบใจ” ธันวาเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะตบบ่าของเรน
เรนก็ยิ้มออกมาด้วย ตอนนี้เรนรู้แล้วว่า แม้เขาจะเป็นห่วงเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่ควรจะทำเหมือนเขาเป็นตัวถ่วงที่ต้องไปคอยปกป้องตลอดเวลา จนทำให้ดูเหมือนเพื่อนของเขาเป็นคนไร้ค่า บางทีการสู้ไปด้วยกันมันจะดีกว่า
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วสองหนุ่มก็เดินกลับไปที่บ้านไม้หลังเดิม
ธันวากลับมาถึงก็ไปช่วยผู้กองเชนซ่อมหน้าต่างด้วยแผ่นไม้ พวกเขาทำให้มันหน้าขึ้น โดยการตีปิดทั้งด้านนอกและด้านในเท่าที่จะทำได้
ด้านในพวกสาว ๆ ก็ช่วยกันทำความสะอาดของเหลวสุดเหม็นที่มาจากตัวของผู้ติดเชื้อผิวลอกไปแล้ว แต่ว่ากลิ่นนั้นยังคงมีติดอยู่ แน่นอนว่ามันดีกว่าตอนที่ยังไม่เช็ดล้างมาก
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มจัดการแบ่งเวรคอยเฝ้า และคนที่ไม่ได้เป็นเวรก็ไปนอนพักผ่อนกัน เพื่อรอเวลาเช้า
วันต่อมา