บทที่ 40 คชสารมังกรเจ๋อเทียน!
หนึ่งวันในการบ่มเพาะของมนุษย์เทียบเท่ากับการบ่มเพาะของสัตว์อสูรนับร้อยปี
เมื่อเทียบกับมนุษย์ เส้นทางการบ่มเพาะของสัตว์อสูรนั้นยากกว่าถึงร้อยเท่า
ซึ่งแตกต่างจากผู้บ่มเพาะมนุษย์ที่มีขอบเขตการบ่มเพาะที่แน่นอน สัตว์อสูรส่วนใหญ่ไม่มีสติปัญญามากนัก และพวกมันไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนิกาย พวกมันทั้งหมดล้วนอาศัยสายเลือดที่มีมาแต่กำเนิด
ยิ่งสายเลือดของพวกมันแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ การดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณของสวรรค์และโลกก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น
แต่ใครบอกว่าการสืบทอดสายเลือดเป็นเรื่องง่าย?
ในบรรดาเสือเขี้ยวดาบนับหมื่นตัว ก็ยังยากที่จะมีพยัคฆ์เพลิงอัคคีปรากฏขึ้น
อย่างไรก็ตาม ชีวิตนั้นยุติธรรม แม้ธรรมชาติจะไม่ได้ให้สติปัญญาโดยกำเนิดแก่พวกมัน แต่ก็ทดแทนมาด้วยร่างกายและความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว
พลังการต่อสู้โดยรวมของสัตว์อสูรขอบเขตขอบเขตสร้างรากฐานนั้นไม่ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแก่นทองคำ!
ในทางกลับกัน ความแข็งแกร่งของพยัคฆ์เพลิงอัคคีขอบเขตแก่นทองคำนั้นน่าสะพรึงกลัวจนวัดไม่ได้ แม้จะเป็นเซิงจื่อของนิกายก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน
“ผู้อาวุโส ที่นี่ควรเป็นอาณาเขตของมัน เราถอยกลับแล้วเปลี่ยนเส้นทางกันเถอะ!” เซียวชิงเกอพูดด้วยเหตุผล
หลี่หรานแข็งแกร่งมาก แต่สุดท้ายแล้วเขาอายุแค่สิบแปดเท่านั้น
เปลวไฟของพยัคฆ์เพลิงอัคคีนี้ดูราวกับจะแผดเผาไปถึงสรวงสวรรค์ อย่างน้อยมันก็น่าจะบ่มเพาะมาหลายร้อยปี!
“ถอยกลับ?” หลี่หรานส่ายหัว “ข้าเกลียดทางอ้อมที่สุด ทำไมเจ้าไม่คุยกับมันและบอกให้มันแสร้งทำเป็นไม่เห็นเราแทนล่ะ?”
เซียวชิงเกอตกตะลึง “…”
ฟึบบบ!
เปลวไฟบนร่างของพยัคฆ์เพลิงอัคคีพุ่งสูงขึ้น และไอน้ำก็พุ่งออกมาจากจมูกของมัน ดวงตาสีแดงของมันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
สติปัญญาของมันถูกเปิดใช้งานแล้ว แม้ว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองพูด แต่ก็สามารถแยกแยะน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามของหลี่หรานได้
ไม่เคยมีมนุษย์คนใดกล้าแสดงท่าทีอวดดีเช่นนี้มาก่อน
“แค่ปิดกั้นเส้นทางของข้ายังไม่พอ นี่ยังกล้าอารมณ์เสียใส่ข้าอีก?” หลี่หรานขมวดคิ้วและพูดต่อ “มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะบ่มเพาะมาได้ไกลขนาดนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย...”
โฮกกก!
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จิตสังหารในดวงตาของพยัคฆ์เพลิงอัคคีก็ดุร้ายมากขึ้น และเปลวไฟก็พุ่งออกมาจากดวงตาของมัน
“ระวัง!” เซียวชิงเกอร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม นางกลับต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“รนหาที่ตายซะแล้ว...” อากาศด้านหลังหลี่หรานบิดเบี้ยวด้วยเสียงฮัมเบาๆ
ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยงๆ และยักษ์ขนาดมหึมาก็ก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น
ร่างกายของมันเป็นสีแดง และร่างของมันก็เปล่งแสงสีทองพร่างพราวออกมา กล้ามเนื้อเป็นมัดๆของมันแข็งดุจเหล็ก
มังกรศักดิ์สิทธิ์พันรอบแขนซ้าย และคชสารยักษ์ที่ถูกจับด้วยมือขวา ด้านหลังร่างนั้นคือสายธาราแห่งจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุด
ร่างนั้นสว่างจ้าราวกับดวงดาวที่มีแสงเรืองรอง และแรงกดดันที่น่าเกรงขามของมังกรนั้นเปรียบได้กับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต!
ราวกับว่าแรงกดดันจากร่างนั้นสัมผัสกับส่วนลึกของจิตวิญญาณ เปลวไฟในร่างกายทั้งหมดของพยัคฆ์เพลิงอัคคีหดรวมกันขณะที่มันหมอบลงกับพื้นและตัวสั่นด้วยความกลัว
ต่อหน้ายักษ์ที่แท้จริง มันก็เป็นแค่มด!
หลี่หรานก็ตกใจเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ทักษะการสำแดงพลังปราณ ปรากฏการณ์ที่ผิดปกตินี้ยิ่งใหญ่เกินไป
“ช่างเป็นภาพที่สมจริง! จุ๊ จุ๊ ถ้านี่เป็นสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ในโลกสมัยใหม่ ฉากนี้จะต้องผลาญเงินมหาศาลแน่นอน!”
ยักษ์ซึ่งไม่สามารถระบุใบหน้าได้ ลดศีรษะลงและมองไปที่พยัคฆ์เพลิงอัคคีซึ่งสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไป มันยกเท้าขวาขึ้นและเตะไปที่พยัคฆ์เพลิงอัคคี
บูม!
แสงแห่งสวรรค์ระเบิดขึ้นและสายลมที่รุนแรงก็พัดหวีดหวิว ต้นไม้หลายกิโลเมตรข้างหน้าถูกวาตภัยพัดโค่น
เลือดพุ่งออกจากปากของพยัคฆ์เพลิงอัคคี กล้ามเนื้อและกระดูกของมันแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่มันพุ่งออกไปราวกับดาวตก
การบ่มเพาะหลายร้อยปีของสัตว์อสูรถูกทำลายด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว!
“เตะได้สวย!”
หลี่หรานเชียร์อยู่ข้างสนาม เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชมขณะที่เขาเฝ้าดูพยัคฆ์เพลิงอัคคีที่กำลังตัวเล็กลงเรื่อยๆ
“ถ้านี่เป็นฟุตบอลระดับชาติ ข้าสงสัยว่าการได้เล่นฟุตบอลโลกจะรู้สึกอย่างไร?”
[TL: พระเอกเทียบการเตะนี้เท่ากับระดับชาติ และรอที่จะดูตอนมันแข็งแกร่งขึ้น มั้ง(?)]
หึ่งงง~
ร่างของยักษ์ค่อยๆหายไปในความว่างเปล่า
หลี่หรานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ‘ทักษะการสำแดงพลังปราณนี้มีประโยชน์มากเกินไป!’
นอกจากนี้ สัญชาตญาณของเขายังบอกอีกว่าพลังของ “คชสารมังกรเจ๋อเทียน” นั้นยิ่งใหญ่กว่านี้มาก
ไม่ว่าจะเป็นยักษ์เปลือยอก เทพมังกร หรือคชสารยักษ์ ต่างก็มีประโยชน์มากมาย
อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะในปัจจุบันของหลี่หรานไม่เพียงพอที่จะใช้ทักษะนี้ได้อย่างเต็มที่
เซียวชิงเกอนั่งอยู่บนพื้นด้วยดวงตาพร่ามัว
‘เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น?’
‘จู่ๆยักษ์ก็ปรากฏตัวและเตะพยัคฆ์เพลิงอัคคีขอบเขตแก่นทองคำลอยออกไป?’
“พระเจ้า...” นางหยิกแก้มตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“ไปกันได้แล้ว มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถไปถึงอาณาจักรลับได้ก่อนที่มันจะเปิด” หลี่หรานเดินเข้ามาและพูด
“นั่น... คือการสำแดงพลังปราณของท่าน?” เซียวชิงเกอถาม
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” หลี่หรานพยักหน้า
เสียงของเซียวชิงเกอสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแก่นทองคำสามารถสำแดงพลังปราณของพวกเขาได้!
‘หลี่หรานเป็นการกลับชาติมาเกิดของจักรพรรดิอมตะหรือเปล่า? ถ้าไม่ เรื่องนี้มันยากที่จะอธิบายจริงๆ!’
‘ช่างน่าขันที่ข้าคิดว่าข้าเทียบได้กับเขา... ต่อให้การบ่มเพาะของข้าจะยังไม่หายไป ความแตกต่างระหว่างข้ากับเขาก็เหมือนเมฆกับโคลน!’ เซียวชิงเกอมองไปที่หลี่หรานด้วยความชื่นชม
และทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ
เนื่องจากการเตะของยักษ์ พายุที่เกิดขึ้นจึงโค่นต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าทิ้งไปทั้งหมด เกิดเป็นถนนธรรมดาที่ยาวหลายกิโลเมตร
—
ภายในส่วนลึกของป่า
ที่ด้านข้างมีประตูศิลาอยู่บนกำแพงหิน แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายที่ช่องว่างระหว่างประตู
ชายและหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ทุกคนล้วนดูเยาว์วัย
ภูมิหลังของแต่ละคนนั้นใหญ่โตอย่างน่าเหลือเชื่อ ในหมู่พวกเขา คนที่ด้อยที่สุดคือศิษย์สายตรงของนิกายชั้นหนึ่ง
ในขณะนี้ พวกเขามองไปที่ชายในชุดขาวซึ่งเป็นผู้นำ
ชายคนนี้เป็นศิษย์สายตรงของพระราชวังเต๋าสูงสุด ซ่งชิงซง!
“ศิษย์พี่ซ่ง ด้วยการที่มีท่านอยู่ การเข้าไปในอาณาจักรลับก็เหมือนกับการเดินเล่นในทุ่ง... พวกเราแค่จิบชาและรอท่าน” ชายคนหนึ่งพูดคำเยินยอ
ซ่งชิงซงส่ายหัวและยิ้ม “อย่าพูดอย่างนั้น โชคชะตาเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เราทำได้เพียงพึ่งความสามารถของเราเท่านั้น”
แม้ว่ารอยยิ้มของเขาจะดูอบอุ่น แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความดูถูก
มีเพียงเมื่อสายตาของเขาเคลื่อนไปยังหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวพร้อมกับดาบยาว ความจริงจังถึงจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เหตุใดศาลาหมื่นดาบจึงอยู่ที่นี่?”
//////////