บทที่ 38 เจ้าตัวน้อย
นักรบทั้งห้าจับเชือกใยแมงมุมไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกประหม่า และเหงื่อตกเล็กน้อย
เย่ปิงหย่อนตัวลึกลงไปในหน้าผามากกว่า 200 เมตร
ใยเชือกพลิ้วไหวในอากาศ ลมกระโชกแรงพัดผ่านไปมา ซึ่งทำให้ร่างกายของเย่ปิงหมุนวน
เขารีบคว้าก้อนหินที่ยื่นออกมาบนหน้าผาด้วยมือทั้งสองข้าง แทบจะไม่มีความมั่นคงใดๆ เลย
“มากับข้านะ เจ้าตัวน้อย”
เย่ปิงพยายามแสดงถึงความเมตตา และเอื้อมมือไปหานกตัวน้อยอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น นกตัวน้อยผู้หิวโหยก็คิดว่า เย่ปิงกำลังจะโจมตี!
มันถอยหลังด้วยความกลัว จากนั้นใช้ปากของมันจิกไปที่นิ้วมือของเย่ปิงอย่างแรง
“อ๊า!”
เย่ปิงอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด
สิ่งมีชีวิตนี้มีความพิเศษจริงๆ แม้เพียงยังเด็ก
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปราบมันได้ และเย่ปิงก็นึกถึงข้อมูลประจำตัวก่อนหน้านี้ของมันได้
เย่ปิงหยิบชิ้นเนื้อออกมาจากช่องเก็บในมิติที่เพิ่งล่ามาระหว่างทาง
“ลองชิมเนื้อนี้ดูสิ ถ้าเจ้ามากับข้า…เจ้าจะกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ!”
เนื้อถูกโยนลอยไปในอากาศ ล่วงหล่นลงตรงหน้านกตัวน้อย และกลิ่นหอมของมันดึงดูดน้ำลายของนกตัวน้อยอย่างมาก
ภายใต้การยั่วยวนของอาหารสุดแสนอร่อย ดวงตาสีแดงที่ตื่นตัวของมันก็ผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติในทันที
มันค่อยๆ กางกรงเล็บออก และหัวของนกสีทองก็จิกเนื้อของเย่ปิงราวกับสายฟ้า
วินาทีถัดมา นกน้อยกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเพียงเสี้ยววิ และสีหน้าของมันก็กลับมาดุอีกครั้ง
มันไม่ได้เชื่อง ตรงกันข้าม นกน้อยต้องการอาหารมากขึ้น มันจ้องมองไปที่เย่ปิงอย่างใจจดใจจ่อ
"เจ้าต้องการอีกใช่ไหม? มาอยู่กับข้าสิ ข้าสัญญาว่า เจ้าจะไม่หิวอีกต่อไป!"
เย่ปิงยิ้มสู้เสือ และยื่นมือออกไปอีกครั้ง
คราวนี้นกไม่จิกเย่ปิง!
สิ่งมีชีวิตระดับทองแดงนี้ มีสติปัญญาพิเศษอยู่แล้ว คาดว่าพวกมันมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์อายุ 8 หรือ 9 ขวบ
ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเย่ปิงที่จะสื่อสารกับมัน
นกอินทรีมงกุฎทองคำตัวน้อยอาจรู้ว่าพ่อแม่ของมันได้จากไปแล้ว
ถ้ามันหลีกเลี่ยงมนุษย์แปลกหน้าคนนี้ มันอาจจะอดตายจริงๆ
ดังนั้น ภายใต้สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดอันแรงกล้าของนกอินทรี มันจึงเดินออกจากรังอย่างลังเล มันกระพือปีกสองสามครั้ง และเดินไปหาเย่ปิง
"ดีมาก!"
ในตอนนี้ เย่ปิงได้รับสิ่งมีค่ามากมายก่อนจะถึงซากปรักหักพัง
เขาตะโกนขึ้นด้านบน:
“ดึงขึ้นๆ!”
ทันใดนั้นกลุ่มคนด้านบนก็ดึงเย่ปิงขึ้นมา
เย่ปิงค่อยๆ ขยับขึ้นไปยังด้านบนราวกับลิฟต์ที่เคลื่อนตัว ไปพร้อมกับนกอินทรีตัวน้อย มันคว้าเสื้อผ้าของเย่ปิงแน่นด้วยความกลัว
{ติ๊ง! ขอแสดงความยินดีกับการเก็บเกี่ยวราชาอินทรีมงกุฎทองคำ (ในวัยทารก) ปัจจุบันความจงรักภักดี: 60 (มิตรภาพ)}
ในไม่ช้า เมื่อเย่ปิงยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง นกอินทรีตัวน้อยในมือของเขา ก็กำลังร้องโวยวาย ราวกับกำลังพูดว่า:
“เนื้อของข้าอยู่ที่ไหน?”
วังเบ็น และคนอื่นๆ ต่างก็เข้ามามุงนกตัวน้อยด้วยความสงสัย
“ท่านหัวหน้า นี่คือสิ่งที่ท่านเพิ่งพบด้านล่างหน้าผาเช่นนั้นหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างดูเป็นนกที่น่ารักเสียจริงๆ!”
“ฟ่อ!”
นกอินทรีน้อยขู่ชายแปลกหน้าทั้งห้า
“พวกท่านอย่าดูถูกมันเชียวนะ ตอนนี้มันยังเด็ก มันเป็นแค่ระดับทองแดง มันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับทองเมื่อมันโตขึ้น!”
เย่ปิงพูดพลางหยิบเนื้อวัวชิ้นใหญ่ที่มีน้ำหนัก 5 ปอนด์ออกมา
ในเวลานี้เขาพบว่าดวงตาของนกอินทรีเป็นประกาย
นกอินทรีน้อยกระโจนลงบนเนื้อ และกินอย่างเมามัน
เย่ปิงได้รับการแจ้งเตือน:
{เพราะความเอื้ออาทรของท่าน ความจงรักภักดีของราชาอินทรีมงกุฎทองคำ +5! โปรดดูแลมันเป็นอย่างดี!}
นกอินทรีน้อยได้กินเนื้อขนาดเท่าตัวมันเองไปหนึ่งชิ้น
แน่นอน เมื่อเทียบกับคลังเนื้อของเย่ปิง มันก็แค่น้ำหยดเดียวในทะเลสาบ
หลังจากกินเต็มที่แล้ว นกอินทรีตัวน้อยก็ดูกระฉับกระเฉงขึ้น
จู่ๆ วังเบ็นก็ถามขึ้นว่า: “ท่านหัวหน้า ท่านจะเรียกเจ้านกตัวน้อยนี้ว่าอย่างไรขอรับ?”
เย่ปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “เสี่ยวเตี้ยว!”
นกตัวน้อยกระโดดขึ้นลงรอบๆ เย่ปิง และกระพือปีก ราวกับว่ามันมีความสุขกับชื่อนี้
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเตี้ยวสามารถบินได้เพียงครู่หนึ่งแล้วก็สูญเสียพละกำลังทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันไม่สามารถลงมาจากหน้าผาที่สูงชันได้
มันยังเด็กเกินไปที่จะอยู่เพียงลำพัง
ถึงกระนั้น มันก็ยังสามารถส่องประกายสีทองอยู่บนไหล่ของเย่ปิง
“ไปต่อกันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าสมบัติในซากปรักหักพังมีอะไรบ้าง”
หลังจากนั้น จงยี่ก็นำทั้งห้าไปยังทิศทางของหุบเขา โดยมีนกอินทรีตัวน้อยเป็นสมาชิคเพิ่ม
…
เมื่อพวกเย่ปิงกำลังเก็บเกี่ยวนอกหมู่บ้าน ในหมู่บ้านทุกคนก็ทำงานกันอย่างครึกครื้น ราวกับว่าฝูงมดสร้างรัง
ด้วยกั่วเจียที่ดูแลสถานการณ์โดยรวมแทนเย่ปิงในหมู่บ้าน ประสิทธิภาพในการทำงานของเขาไม่ต่ำเลย
จางซาน และหยูเซียนยังคงตีเหล็กที่โรงตีเหล็กกันอย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่สองคนนี้ร่วมงานกัน ชาวบ้านลือกันว่า เตาไฟที่โรงตีเหล็กไม่เคยดับเลย กั่วเจียยังส่งชาวบ้านไปเรียนรู้ และช่วยพวกเขาอีกแรงด้วย
มีของใช้ในชีวิตประจำวัน อาวุธ และลูกธนูมากมายเหลือเกิน
ไม่สามารถจัดการคนเดียวได้
นอกจากนี้ หยู่เซียนผู้ที่มีพรสวรรค์ในการสร้างบ้าน ยังได้นำชาวบ้านสองคนมาสร้างบ้านเพิ่มอีกด้วย
เมื่อมีคนมารวมกันมากขึ้นความต้องการบ้านก็ต้องเพิ่มขึ้น
บางครั้ง เขาจะแบ่งเวลาสร้างอาคารธรรมดาๆ เช่น สร้างคอกหมู ซึ่งทำให้หมู่บ้านสมบูรณ์ด้วยสิ่งปลูกสร้างมากขึ้น
ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้คำสั่งของกั่วเจีย ผู้มากด้วยความรู้และประสบการณ์
ด้วยเครื่องมือทำฟาร์มที่จางซานทำ การทวงคืนพื้นที่รกร้างหลังหมู่บ้านก็เสร็จไวขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ศพของอสูรราตรีจำนวนมากถูกดึงไปด้านหลัง แล้วพวกมันถูกฝังกลบ
เลือดสีเขียวชุ่มแผ่นดิน
สีของพื้นดินค่อยๆ เปลี่ยนไป
บริเวณรอบๆ กลายเป็นสีดำ และพื้นที่แกนกลางเต็มไปด้วยแก่นแท้ของอสูรราตรี และเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
เมื่อกั่วเจียตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้ง เขาประหลาดใจ:
“หากเป็นดินระดับกลาง ซึ่งมีวัสดุจากธรรมชาติ ซากพืชซากสัตว์ วัสดุอื่นๆ ที่ถูกย่อยสลาย เป็นแหล่งสารอาหารหล่อเลี้ยงพืช มันสามารถเพิ่มความเร็วการเจริญเติบโตของพืช 50% และเพิ่มผลผลิตของพืช 10%! แต่ต้องระวัง เมื่อใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวของพืชระดับสูง สารอาหารบนพื้นดินจะไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเติมสารอาหารให้ทันเวลา”
“แต่นี่คือดินที่ถูกฝังด้วยอสูรราตรี มันคือดินแดนสีเลือด ดินระดับสูงนี้มักจะอยู่ในสนามรบ หล่อหลอมด้วยศพ และเลือดของสิ่งมีชีวิตที่พลังวิญญาณที่สูง! มันสามารถเพิ่มความเร็วในการเติบโตของพืช 80% เพิ่มผลผลิตของพืช 30%! หากแต่ว่า….”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จู่ๆ หยู่เซียนก็ถามด้วยความสงสัย ขณะที่เขานำอุปกรณ์ทำฟาร์มมาส่งกั่วเจีย