ตอน ใช้พลังสู้
ตอน ใช้พลังสู้
สิ้นเสียงเขา
เจียงหลินลงมือก่อนเป็นคนแรก เธอพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด สองมือกำเข้าหากัน เอียงตัวหันข้าง บิดเอว ข้อศอกกับแขนขยับเป็นแนวเดียวกัน ใช้แรงเฉื่อยของกล้ามเนื้อ รวบรวมพละกำลังจากทั้งร่าง และ--
--ตูม!
หวดเข้าใส่ลูกกระเดือกของชายที่มีรอยสักที่แขนอย่างแรง
ชายรอยสักหัวแบนมัวแต่มุ่งความสนใจอยู่กับลูกพี่เขา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะต่อให้เป็นผู้ใช้พลังมิติที่เก่งกาจ มากสุดก็แค่มีโกดังเคลื่อนที่ พลังรบไม่มากมายนัก
เขาเลยไม่ทันระวังตัว
ทว่าการโจมตีของเจียงหลินราวกับลูกศรบิน มาถึงในพริบตา
ชายหัวแบนไม่ทันตั้งตัว ล้มฟุบลงกับพื้น หมดสติไป
การประเมินศัตรูต่ำ นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเขา
ทันใดนั้นจาก 3 ต่อ 1
เวลานี้กลายเป็น 2 ต่อ 1 แล้ว
อย่างไรก็ตาม สองหมัดยากที่จะสู้กับสี่มือ
เจียงหลินเห็นว่าชายกำยำที่มีแขนโลหะติดตราผู้ใช้พลังขั้น 3
ชายผู้นี้ไม่ง่ายหากคิดรับมือ ดังนั้นจงใจโจมตีคนอื่นก่อน คว้าแต้มต่อที่จะช่วยให้มีโอกาสรอดมากขึ้น
ในเวลานี้ ลูกน้องอีกคนยังทำใจเชื่อไม่ลง เขามองชายหัวแบนที่ล้มกับพื้นด้วยสีหน้าตกใจ
เจียงหลินไม่รอช้า พุ่งเข้าโจมตีเขาเป็นคนต่อไป
แต่ครั้งนี้เขาไม่พลาดเหมือนสหาย ชายที่ตกเป็นเป้าโจมตีพลันมีหนามงอกตามร่างกาย กลายสภาพเป็นเหมือนเม่น
เจียงหลินกลัวเล็กน้อย กระโดดถอยกลับมา
ชายร่างหนามพอเห็นว่าตนได้เปรียบ ก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
แต่ในพริบตานั้นเอง เจียงหลินดึงแท่งเหล็กที่เหลือจากที่ใช้ติดตั้งชั้นวางของในร้านขายของชำออกจากพื้นที่มิติ ทุบเข้าที่หัวผู้ใช้พลังร่างหนามที่กำลังพุ่งเข้ามา
สองแรงรวมกัน
ได้ยินเพียงเสียงกริ๊ก
ผู้ใช้พลังร่างหนามหมอบลงกับพื้น
ชายร่างกำยำแขนโลหะสูญเสียลูกน้องไปสองคน แววตาลุกโชนด้วยความโกธ เริ่มระวังตัวมากขึ้น จับจ้องเจียงหลินอย่างดุเดือด
มือของเจียงหลินยังคงเคลื่อนไหว ท่อนเหล็กฟาดเข้าที่ศีรษะของเขา แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เหมือนส่งเนื้อเข้าปากเสือ เจียงหลินสั่นสะท้านไปทั้งแขน
ช่วงเวลานี้ เส้นผมและศีรษะของชายกำยำกลายเป็นเนื้อโลหะแบบเดียวกับแขนของเขา เขามองเจียงหลินอย่างดูแคลน ฉีกยิ้มเผยฟันโลหะเต็มปาก เอ่ยด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ผู้ใช้พลังขั้น 3 กับผู้ใช้พลังขั้น 1 มันห่างชั้นกันขนาดไหน เข้าใจแล้วหรือยัง? ต่อให้แกจัดการกับเจ้าขยะสองตัวนั่นได้ แต่คิดสู้กับบิดา*? ช่างตาสุนัข!”
*(บิดาในที่นี้ไม่ใช่พ่อ แต่หมายถึงคำเรียกตัวเองเวลายกตนข่มท่าน)
เจียงหลินกำแท่งเหล็กในมือแน่น พยายามเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาจุดที่ยังไม่ถูกเคลือบด้วยโลหะ
แต่ความเร็วของร่างโลหะไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากฟาดไปไม่กี่ครั้ง แท่งเหล็กก็เกิดอาการเบี้ยวงอ ขณะที่ผู้ถูกโจมตีไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย
ชายร่างเหล็กเป็นคนใจร้อน เขายกมือขึ้นจับแท่งเหล็กที่เจียงหลินใช้โจมตี กระชากมันแล้วเหวี่ยงเจียงหลินออกไป
เจียงหลินล้มลงกับพื้นอย่างแรง พลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เช็ดเลือดตรงมุมปากของเธอ หมดสิ้นความคิดที่จะสู้กับชายผู้นี้อีกต่อไป
‘สู้ไม่ไหว หรือจะหนีดี?’
เธอกำลังตัดสินใจที่จะใช้ระบบข้ามมิติหลบหนี
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะพลันดังขึ้น มันเป็นเสียงที่กระจ่างใสและนุ่มนวล
เจียงหลินพอได้ยินเสียงนี้ คล้ายเกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่างที่ไม่อาจอธิบาย
กลิ่นหอมจางๆของดอกลิลลี่ในหุบเขาลอยมาตามลม แต่กลิ่นของดอกไม้กลับทำให้ชายร่างโลหะถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความหวาดกลัว กระนั้นเขายังคงกัดฟัน พูดจาโผงผางร้องตะโกน “มู่เย่ชิง! ฉันแนะนำให้เธออย่ายุ่งเรื่องนี้! เจ้านายของเรา ......”
“แกเป็นใคร? คู่ควรเรียกฉันด้วยชื่อห้วนๆหรือ?” ภายใต้ร่มเงาของตึก ผู้หญิงในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงยาวสีเดียวกันเดินออกมา
อย่างไรก็ตาม ชุดและกระโปรงสีขาวของเธอถูกปกคลุมไปด้วยพืชดอกไม้หลากสี
หญิงสาวสวมมาลัยดอกไม้อยู่เหนือศีรษะ ยิ่งทำให้ดูสดใสเป็นพิเศษในวันสิ้นโลกที่ไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้
“นี่เธอ!!” ชายร่างเหล็กไม่สนใจเจียงหลินอีกต่อไป หันเข้าหาผู้หญิงในชุดขาว แม้รู้สึกว่าอยู่ใกล้กันมาก แต่กลับไม่มีโอกาสตอบโต้ได้เลยอย่างสิ้นเชิง ....
ผู้หญิงในชุดขาวสะบัดนิ้วไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบา เจียงหลินสังเกตเห็นว่าแหวนบนนิ้วของเธอราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดอกพิทูเนียผลิบาน แพร่กระจายออกไป โชยเข้าหาชายร่างเหล็ก เริ่มท่วมทับเขา
มือของชายร่างเหล็กถูกเถาวัลย์เข้าพัน เขาพยายามฉีกเถาวัลย์อย่างสิ้นหวัง แต่พวกมันกลับไม่ยอมขาดเลย
“พืชกลายพันธุ์ขั้นสี่ ......”
ในที่สุดชายร่างเหล็กก็เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง เขาตื่นตระหนกมาก พยายามหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เถาวัลย์พันรอบเท้าเขาเสียก่อน บังคับให้ล้มลงกับพื้น
ต่อมา เถาวัลย์เหวี่ยงชายร่างเหล็กขึ้นไปบนฟ้าสูงกว่าตึกสิบชั้น
เขากลัวมากจนเปลี่ยนทั้งร่างให้กลายเป็นเหล็ก เมื่อทุบลงมา จึงเกิดเป็นหลุมรูปร่างมนุษย์บนพื้น
เถาวัลย์เริ่มขยับขึ้นขยับลง ฟาดชายร่างเหล็กไม่หยุดจนหลุมมนุษย์เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“แกคิดว่าจะสู้กับฉันในระยะประชิดได้หรอ? มดคิดเขย่าต้นไม้? น่าขัน!” หญิงในชุดขาวยังคงสงบนิ่ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ สายตาเธอเฝ้ามองอีกฝ่ายถูกโยนขึ้นโยนลงเหมือนโยโย่
หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็น “ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้านายของพวกแกเป็นใคร ต่อให้ฉันทำอะไรมันไม่ได้ แต่ถ้ากำจัดแก นั่นมากเกินพอ!”
ท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ตกดิน เสื้อและกระโปรงของหญิงในชุดขาวกระพือ ดูมีมนต์ขลังและสง่างาม
ความคาดเดาบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวของเจียงหลิน
ในเมื่อแหวนของเธอคือพืชกลายพันธุ์ขั้นสี่ ถ้างั้นสร้อยดอกไม้บนข้อมือ หรือพวงดอกไม้บนหัว รวมไปถึงดอกไม้บนชุด ... ไม่ใช่ว่าพวกมันก็เป็นพืชกลายพันธุ์ด้วยหรือ?
อืม ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว เจียงหลินเกือบอุทานออกมาว่า ‘ร้ายกาจ!’
โยโย่ร่างเหล็กที่ลอยอยู่กลางอากาศ เวลานี้เริ่มร้องขอความเมตตาแล้ว เขาพยายามพูดอย่างยากลำบาก “ท่านย่า* .... อย่าฆ่าฉันเลย ... เจ้านายของฉัน ... ไม่สิ ... ฉันคือลูกน้องของมาดามรุ่ย อา... เห็นแก่มิตรภาพครั้งเก่าก่อน ..”
*(ไม่ได้หมายถึงย่าจริงๆ เป็นการพูดเยินยอประมาณอีกฝ่ายมีศักดิ์ศรีสูงกว่าตัวเอง)
ตูม!
ชายร่างเหล็กถูกฟาดลงขณะพูด ปากเขากลืนดินเข้าไปคำโต
เมื่อทุกอย่างหยุดลง เขานอนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นครึ่งค่อนวันโดยไม่สามารถพูดอะไรได้ซักคำ
ฟันซี่หนึ่งหลุดออกมาเนื่องจากฟาดเข้าตรงๆกับพื้น
“มาดามรุ่ย? ที่แท้ก็เป็นเธอนั่นเอง ...” หญิงในชุดขาวขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
“กลับไปบอกหยางหนานรุ่ย ว่าการที่เธอฆ่าผู้ใช้พลังมิติ มันคือการทรยศหักหลังมนุษยชาติ! ถ้าเจ้านายของแกยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“ทำไมต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ตามอำเภอใจ? ตั้งแต่ที่เธอทรยศพวกเรา มิตรภาพครั้งก่อนในฐานะเพื่อนร่วมทีมเป็นอันตัดขาด! เพราะงั้นแกหุบปากซะ!”
“ถ้าฉันได้ยินคำอะไรประมาณมิตรภาพครั้งเก่าอีก ครั้งหน้าเถาวัลย์พวกนี้จะพันที่คอของพวกแก!”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ ..”ชายร่างเหล็กคลานออกมาจากหลุม ท่าทีเขาอ่อนน้อมลงมาก สูญเสียแรงกดดันอันองอาจที่แสดงต่อเจียงหลินไปสิ้น
เขากลัวว่าหญิงในชุดขาวจะเปลี่ยนใจ เลยไม่แม้จะแก้ตัว วิ่งหนีหายไปจากที่เกิดเหตุทันทีโดยไม่หันกลับมามอง
เจียงหลินนั่งเหม่ออยู่ข้างๆ ปากอ้ากว้างเหมือนโดนเมล่อนทั้งลูกยัดเข้าไป
‘หรือนี่คือความบาดหมางของผู้ใช้พลังระดับสูง?’ ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าโฮ่วเต๋อเคยพูดประมาณว่าถ้าได้พบกับหยางหนานรุ่ย ผู้ใช้พลังมิติอันดับหนึ่งในฐานเมืองหลินแล้วล่ะก็ ต้องระมัดระวังตัวให้ดี
แต่เมื่อเห็นว่าในเวลานั้น เจียงหลินไม่สนใจคนๆนี้ เขาเลยเลือกพูดแต่เรื่องที่เธออยากรู้เท่านั้น ไม่ได้เล่าลงลึกรายละเอียด
หญิงในชุดขาวเดินไปหาเจียงหลิน ช่วยยกเธอขึ้นจากพื้น
เจียงหลินรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขณะนี้ไม่ทราบว่าควรพูดกับผู้หญิงในชุดขาวว่าอย่างไรดี
“เอ่อ ขอบคุณมาก! ไม่ทราบว่าพี่สาวคือ ...”
เมื่อได้ยิน หญิงในชุดขาวยิ้ม เธอพูดอย่างอ่อนโยน “ฉันชื่อมู่เย่ชิง คนส่วนใหญ่เรียกฉันว่าเย่ชิงหรือชิงชิง” น้ำเสียงราวกับที่เพิ่งอาละวาดเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวเอง
“อา! เข้าใจแล้ว เย่ชิง!” เจียงหลินได้รับการช่วยเหลือจากระดับเถ้าแก่ใหญ่อย่างกะทันหัน เธอทั้งตกใจและปลาบปลื้มในเวลาเดียวกัน
เจียงหลินฉุกคิดขึ้นได้ เมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัวแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเธอ
“ฉันชื่อเจียงหลิน”
มู่เย่ชิงพยักหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักเจียงหลิน ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เป็นผู้ใช้พลังที่เพิ่งมาถึงฐานใช่ไหม?”
“ใช่ เพิ่งมาถึงได้ไม่นานมานี้” เจียงหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“คนจากภายนอก ปกติไม่ค่อยมีผู้ใช้พลังมาที่นี่เท่าไหร่นัก เธอมาคนเดียว? หรือมากับทีมอื่น?”
“ฉันมาคนเดียว!” เจียงหลินไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เย่ชิงถึงถามเรื่องนี้
มู่เย่ชิงพยักหน้า รอยยิ้มสดใสผลิบานออกมา “ก็พอเชื่อได้ เพราะการที่ผู้ใช้พลังมิติสามารถล้มผู้ใช้พลังขั้น 1 สองคนด้วยตัวเอง นั่นแสดงถึงความสามารถที่เธอมี”
“ดูจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเด็ดขาดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นผู้ใช้พลังมิติที่กล้าหาญแบบนี้ แต่จากทักษะที่แสดงออกมา มันบ่งบอกว่าเธอฝึกฝนพวกมันมาตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกแล้ว--”
“--ก่อนหน้านี้ เธอทำอะไรมาก่อนกันแน่?”