ตอนที่ 18 อารยธรรมที่ล่มสลาย
ตอนที่ 18 อารยธรรมที่ล่มสลาย
ลู่เซิงไม่เห็นประตูของกําแพงเมือง ดังนั้นเขาจึงวางแผนเข้าไปผ่านรอยแตกบนกําแพง
แต่ห่างจากเขา 10 เมตรมีซอมบี้ที่แข็งแกร่งมากมายรอเขาอยู่ ตราบใดที่เข้าใกล้พวกมัน เขาจะมีความรู้สึกสยองขวัญจนขนหัวลุก
ตอนนี้เขามีความรู้สึกเหมือนเพิ่งออกมาจากแมพมือใหม่และหลงเข้าไปในแมพมอนสเตอร์ระดับสูง
ลูกกระจ๊อกตัวใดตัวหนึ่งสามารถฆ่าเขาได้ในวิเดียว
"ยิ่งใกล้ฐานมากเท่าไหร่ ซอมบี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น มันยากจะจินตนาการว่าซอมบี้เหล่านี้เคยอยู่ระดับใดก่อนที่จะตาย..."
ลู่เซิงถอนหายใจ
แม้จะไม่สามารถรับรู้ได้ แต่สัญชาตญาณการต่อสู้ยังคงมีอยู่ในร่างกาย
สถานะดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ลู่เซิงรู้สึกคุมคามอย่างมาก ซอมบี้เหล่านี้ต้องถึงระดับปรมจารย์อย่างแน่นอนก่อนที่พวกเขาจะตาย
ลู่เซิงรักษาระยะห่างจากซอมบี้แต่ละตัวอย่างระมัดระวัง
หลังจากการทดลองซ้ำๆหลายครั้ง เขาพบว่าระยะทางที่ปลอดภัยระหว่างเขากับซอมบี้อยู่ที่ประมาณ 10 เมตร
ลู่เซิงเข้าใกล้รอยแตกบนกำแพงมากขึ้นเรื่อยๆและหลีกเลี่ยงซอมบี้รอบๆอย่างระมัดระวัง
แม้ว่ารอยแตกนี้จะใหญ่ แต่ก็ยังอยู่สูง 7-8 เมตรเหนือพื้น
โชคดีที่ตอนนี้ ลู่เซิงเป็นจอมยุทธ์ระดับ 1 อาศัยพละกำลังของตัวเอง เขาสามารถปีนขึ้นไปที่รอยแตกบนกำแพงได้อย่างง่ายดาย
"กําแพงเมืองนี้เหมือนจะหนากว่า 20 เมตร แต่กลับถูกทำลายแบบนี้..." ลู่เซิงคิดอย่างตกใจขณะเดินผ่านรอยแตก
ทันใดนั้น เมืองอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าลู่เซิง
มีอาคารบ้านเมืองที่ให้อารมณ์ไซไฟทุกรูปแบบซึ่งแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงที่ลู่เซิงอาศัยอยู่ บนถนนยังเกลื่อนไปด้วยยานพาหนะที่ลู่เซิงไม่รู้จัก แม้ว่าตอนนี้สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกทําลายและเสื่อมโทรม
แต่เหนือซากปรักหักพังที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา ลู่เซิงยังสามารถจินตนาการได้ว่าเมืองนี้เคยเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน
"ระดับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรไปไกลกว่าโลกที่ฉันอยู่ในขณะนี้และยังไกลกว่าชีวิตก่อนหน้านี้..."
ลู่เซิงกระโดดลงมาจากรอยแตกบนกําแพงเมืองและตกลงบนยานพาหนะที่ดูเหมือนเรือพาย
"ควรจะเป็นโลกที่มีอารยธรรมสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรืออารยธรรมศิลปะการต่อสู้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เทคนิคฝึกฝนร่างกายและเทคนิคหายใจที่ฉันได้รับจากความทรงจําของซอบบี้จะมีพลังมาก..."
แตกต่างกันโลกที่ลู่เซิงอาศัยอยู่เพิ่งพัฒนาศิลปะการต่อสู้ได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นจึงมีหลายแง่มุมที่ไม่รู้จักและต้องคลำหาทาง
นอกจากนี้ยังได้รับการกล่าวถึงในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเมื่อศิลปะการต่อสู้เริ่มเปล่งประกาย จอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกมีเพียงระดับ 5 เท่านั้น
และตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีปรมจารย์วิถียุทธ์ระดับ 7 มหาปรมจารย์วิถียุทธ์ระดับ 8 และแม้แต่นักบุญวิถียุทธ์ระดับ 9 หลายคน
"อารยธรรมที่ทรงพลังเช่นนี้ยังร่วงหล่นภายใต้กองทัพสัตว์ต่างดาว แล้วเราล่ะ..."
จู่ๆ ลู่เซิงก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
ในความเป็นจริงโลกของเขายังคงต่อสู้กับการรุกรานของสัตว์ต่างดาว
แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญในหมู่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้น แต่ถิ่นอาศัยเดิมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ มีรายงานข่าวเช่นนี้ออกอากาศอยู่ทุกวัน
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การที่ฉันสามารถมาอยู่ตรงนี้ได้ถือเป็นพรที่ดี....
โลกนี้ล้มเหลว แต่โลกของฉันต้องไม่ล้มเหลว
เมื่อฉันแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ฉันอาจสามารถเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงมากมายที่นี่ได้... "
ดวงตาของลู่เซิงกลับมามั่นคงอีกครั้งและในเวลาเดียวกันก็มีความรับผิดชอบที่หนักอึ้งทับบนไหล่ของเขา
ผลกระทบจากความตกใจที่เกิดจากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ถูกทำลายมีมากเกินไปจนทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
...
มีซอมบี้มากมายในกําแพงเมือง แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมค่อนข้างอ่อนแอและยากจะเห็น "มอนระดับสูง" โผล่มาสองสามตัว
นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะอธิบาย
กําแพงเมืองมีไว้ปกป้องพลเรือนที่อ่อนแอและคนที่แข็งแกร่งจะไปรวมกันที่แนวหน้าของสนามรบ
ลู่เซิงเริ่มการสำรวจของตนเองอย่างรวดเร็ว
เขาเดินเข้าไปในอาคารสูงที่พบเห็นได้ทั่วไป นี่คืออาคารที่อยู่อาศัยธรรมดา
อาคารหลังควรจะเป็นบ้านพักของครอบครัวหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง แต่พื้นที่โดยรวมมีขนาดเล็ก
มีโต๊ะอยู่กลางห้องนั่งเล่นพร้อมจานและช้อนส้อมกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
ลู่เซิงคิดว่าครอบครัวนี้กําลังกินข้าวในเวลานั้นและวันสิ้นโลกก็มาโดยไม่ทันตั้งตัว มันทำให้เขารู้สึกหดหู่อย่างอธิบายไม่ได้
ลู่เซิงมองไปรอบๆ ไม่เห็นซอบบี้และเดาว่าเพราะหมอกสีดําที่น่ากลัวนั้น คนธรรมดาอาจไม่มีคุณสมบัติที่จะแปลงร่างเป็นซอมบี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่าคนธรรมดากลายเป็นซอมบี้ และจากนั้นมันก็ตายลงในกาลเวลาอันยาวนาน
ลู่เซิงเดินต่อไปในห้องนอนและพบสิ่งที่คล้ายกับกรอบรูปบนโต๊ะข้างเตียงในห้อง แต่ไม่มีรูปถ่ายอยู่ข้างใน
ลู่เซิงเดาว่านี่อาจเป็นสิ่งที่คล้ายกับรูปถ่ายโฮโลแกรมและหลังจากพลังงานหมดลงรูปถ่ายข้างในก็หายไป
ในมุมห้องมีเตียงเดี่ยวเช่นเดียวกับตู้หนังสือและโต๊ะทํางาน ลู่เซิงพยายามหาสิ่งของบางอย่างที่ใช้บันทึกข้อมูลได้
แต่อารยธรรมโลกนี้ได้รับการพัฒนามากเกินไปหนังสือเป็นอิสระจากพันธนาการของกระดาษนานแล้วและเขาไม่พบอะไรเลย
ในที่สุด ลู่เซิงก็พบแผ่นดิสก์สีเทาขนาดเท่าฝ่ามือและหนาครึ่งเซนติเมตรวางอยู่บนโต๊ะ
"เทคโนโลยีเทียนเหิง..."
ลู่เซิงเช็ดฝุ่นออกจากแผ่นดิสก์และอ่านตัวอักษรเล็กๆที่ประทับไว้ที่ด้านล่างของแผ่นดิสก์
หลังจากอ่านจบ ลู่เซิงก็รู้สึกตัวทันที
เขาอ่านออกได้ยังไง?!
ภาษาของอารยธรรมที่ล่มสลายนี้เหมือนกับภาษาที่โลกของเขาใช้ทุกประการ!