2115 - วิญญาณผู้กล้า
2115 - วิญญาณผู้กล้า
ทั้งสองเริ่มสนทนากันถึงรายละเอียดของงานที่มนุษย์ทองคำต้องทำ
สือฮ่าวค้นพบโดยไม่คาดคิดว่าที่นี่คือที่ประทับของราชาอมตะในอดีต และมนุษย์ทองคำเซียนเจ็ดสีนี้อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานจึงทำให้เขาสามารถพัฒนาชีวิตจิตใจขึ้นมาได้
ไม่ทราบว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อยุคใด เจ้าแห่งถ้ำคนเก่าเคยเข้าร่วมการประลองครั้งล่าสุดแต่ก็ไม่กลับมาอีกเลย
ตะเกียงวิญญาณที่เขาทิ้งไว้ที่นี่ดับลงแล้วย่อมแสดงว่าเขาคือหนึ่งในผู้ที่ล่วงหล่นจากการประลอง
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้านี้แข็งแกร่งมาก เทียบได้กับสิ่งมีชีวิตอมตะ
ตามเหตุผลปกติ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงของเขาจะเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีทางที่เขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ เหตุผลหลักก็เพราะว่าราชาอมตะก่อนหน้านี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเขา
โดยราชาอมตะคนนั้นได้ทิ้งตราประทับวิญญาณของตัวเองไว้ในทองคำเซียนก้อนนี้จนทำให้เขาสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตของตัวเองได้
หากการแปลงร่างของเขาเสร็จสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของมนุษย์ทองคำคนนี้ย่อมเทียบได้กับผู้อมตะระดับสูงเลยทีเดียว
“ข้าคือคนที่เคยมาที่นี่ในตอนนั้น”
ในท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วสือฮ่าวก็เปิดเผยความจริง
"เป็นเจ้านั่นเอง!"
มนุษย์ทองคำเซียนเจ็ดสีเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขาจำได้ว่าเมื่อสามพันห้าร้อยปีก่อน มีคนสองคน เด็กหนึ่งคนและคนแก่คนหนึ่งมาที่นี่
สือฮ่าวล้วงวัตถุชิ้นนั้นที่เขาเคยแย่งชิงไปจากที่นี่ออกมาแล้วถามว่า
“นี่คืออะไร?”
“ของสะสมของราชาอมตะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด ว่ากันว่ามันสามารถปรับแต่งอาวุธที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ข้าศึกษามันมาเป็นเวลานานก็ไม่รู้ว่ามันแตกต่างจากก้อนหินธรรมดาอย่างไร” มนุษย์ทองคำเซียนเจ็ดสีกล่าว
ยิ่งกว่านั้น เขากล่าวเสริมว่า
“ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของราชาอมตะไม่อนุญาตให้ข้าทำร้ายมนุษย์ที่มีระดับบ่มเพาะน้อยกว่าตัวเองพวกเจ้าจะไม่มีทางนำมันออกไปได้”
เมื่อสือห่าวได้ยินเรื่องนี้ เขาก็มองหินก้อนนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
ในวันนั้นภายใต้เสียงที่ดังก้อง สือฮ่าวยกภูเขาทั้งลูกกลับไปที่ราชสำนัก
“ข้าดูไม่ผิดใช่ไหม”
สุนัขตัวน้อยกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก นั่นเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากศิลาต้นกำเนิด เป็นใครกันแน่ที่สามารถอยู่อาศัยในสถานที่ที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้
เมื่อพวกเขาเห็นมนุษย์ทองคำเซียนเจ็ดสี ทุกคนยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีก
สือฮ่าวปฏิบัติตามคำสัญญาของเขา เขาได้สร้างค่ายกลที่ยอดเยี่ยมเพื่อรวบรวมแก่นแท้ของสวรรค์และปฐพีให้มาหล่อเลี้ยงมนุษย์ทองคำเซียนเจ็ดสีเพื่อช่วยให้เขาบรรลุการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย
จากนั้นสือฮ่าวก็ออกเดินทางด้วยตัวเองอีกครั้ง
ในอดีต เมื่อเขาค้นหาวิธีทำให้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์ในตอนที่อาวุโสใหญ่ช่วยเขาชำระร่างกายและหลอมวิญญาณดั้งเดิมได้มีการเตรียมการหลายอย่าง
มีที่แห่งเดียวที่มีไผ่ศักดิ์สิทธิ์ปีศาจและผลน้ำพุเหลือง หลังจากกินพวกมันแล้ว พวกมันก็สามารถทำให้วิญญาณดั้งเดิมไม่แตกสลายได้
ตอนนี้เขากำลังทบทวนสถานที่เก่าแก่เหล่านี้
มีภูเขาสูงตระหง่านซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ซึ่งยากแก่การมาเยือน ในอดีตสือฮ่าวต้องการชิ้นส่วนหินหยกของชายชราคนนั้นเพื่อเดินตามเส้นทางแห่งการใช้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์
ตอนนี้เขาไปถึงยอดเขาด้วยขั้นตอนเดียวและมาถึงวิหารทองคำที่สร้างขึ้นจากกฎธรรมชาติ มันคือวิหารที่ถูกปิดผนึกไว้
เขาเดินตรงไปที่สะพานทองคำเซียนแห่งความว่างเปล่าก้าวเข้าสู่วิหารที่ตั้งอยู่ภายใน
นี่คือภายในโลกลึกลับ มีไผ่ศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มกันและผลน้ำพุเหลืองซ่อนอยู่ภายใน ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเมื่อทั้งสองสิ่งนี้เติบโตเต็มที่แล้ว พวกมันสามารถทำลายสิ่งอัปมงคลได้
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากสือฮ่าวก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการใช้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์เลยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สือฮ่าวไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาของศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น เขากินเข้าไปแล้ว เขาเตรียมที่จะให้บางคนจากราชสำนักมาที่นี่เพื่อบรรเทาทุกข์และแสวงหาโอกาส
เขามาเพื่อวิญญาณผู้กล้าที่อยู่ภายใน!
สถานที่ที่ผลไม้น้ำพุเหลืองเติบโตเป็นสถานที่แห่งหยินสุดขั้ว มีวิญญาณสงครามจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฝังอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้สือฮ่าวเคยเห็นความน่ากลัวของวิญญาณสงครามเหล่านั้นด้วยตาของเขาเอง
ในหมู่พวกเขา แสงวิญญาณดั้งเดิมบางส่วนที่เปิดเผยในความมืดนั้นเจิดจ้าเป็นพิเศษ ทั้งหมดกลายเป็นแสงที่พร่างพราย ไม่เย็นชาและน่ากลัวอีกต่อไป
มีบางส่วนที่มีรัศมีแห่งความเป็นอมตะอยู่ภายในวิญญาณพวกนั้น พวกเขาคือผู้กล้าที่ร่วงหล่นในช่วงสงครามเซียนโบราณ พวกเขาถูกฝังอยู่ในเนินดินแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของพวกเขา!
หมอกดำทะมึนแผ่ซ่านบนเนินอันมืดมิด ไม่ว่าใครก็ตามที่เปิดดวงตาสวรรค์ขึ้นพวกเขาจะเห็นก้อนวิญญาณดึกดำบรรพ์ลอยขึ้นๆลงๆอยู่เกลื่อนกลาดทั่วสถานที่
มีวิญญาณที่กล้าหาญหลายตัวในหมู่พวกเขาที่กำลังจะบรรลุเต๋าอมตะและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองทั้งหมด พวกเขาล้วนแล้วแต่สดใสและแข็งแรง!
“ผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจที่จะรบกวนพวกท่านทุกคน แต่ข้าก็จำเป็นต้องมาที่นี่ มันน่าละอายจริงๆเพราะข้าต้องการให้พวกท่านออกไปต่อสู้อีกครั้ง”
สือฮ่าวก้มศีรษะลง เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้ เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นวิญญาณผู้กล้าที่ร่วงหล่นลงในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว
พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องโลกนี้ในอดีต และตอนนี้สือฮ่าวต้องขอให้พวกเขาออกจากภูเขาอีกครั้ง
วิญญาณเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจตจำนงที่เหลืออยู่ซึ่งเกิดจากเศษวิญญาณ หากพวกเขาตายอีกครั้ง แม้แต่รอยประทับสุดท้ายก็จะหายไป
นั่นเป็นเหตุผลที่สือฮ่าวรู้สึกละอายภายในใจและพบว่ามันยากที่จะพูด อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมา
ตอนนี้เก้าสวรรค์สิบพิภพต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดอีกครั้ง เขาไม่มีอำนาจที่จะต่อต้านสถานการณ์ใหญ่เพียงลำพัง ในที่สุดเขาก็มาถึงก้อนหินยักษ์ซึ่งเป็นเครื่องรางสีทองที่ถูกใช้เพื่อปิดผนึกที่นี่
ชาวนาชราคนหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่าและถอนหายใจก่อนจะพูดว่า
“ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะมาจริงๆ”
ชาวนาชราคนนี้คือวิญญาณที่มีจิตสำนึกมากที่สุดของทุกคนที่อยู่ที่นี่ เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในครั้งนั้นเขายังให้คำแนะนำแก่สือฮ่าว
ก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อผนึกถูกปลดออก วิญญาณผู้กล้าที่นี่สามารถถูกนำออกไปและเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ได้
อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นดาบสองคมด้วยเพราะวิญญาณผู้กล้าเหล่านั้นอาจไม่ยอมจำนนต่อผู้ที่ปลดปล่อยพวกเขา?
“ผู้อาวุโส ท่านควรไปกับข้าด้วย!” สือฮ่าวพูดกับชาวนาชรา
จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานยันต์เก่าสีเหลือง ด้วยเสียงหงษ์ สถานที่แห่งนี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง วิญญาณผู้กล้านับแสนถึงหลายล้านคนก็ส่งเสียงคำราม เขย่าสวรรค์เบื้องบนและปฐพีเบื้องล่าง
เนินดินอมตะทรุดตัวลง ดินและหินลอยไปทุกทิศทุกทาง วิญญาณวีรชนหลายล้านดวงปรากฏขึ้น ทั้งหมดเป็นก้อนแสง สุดท้ายก่อนจะกลายเป็นร่างมนุษย์ สัตว์ร้าย หรือนกศักดิ์สิทธิ์
ในอดีต มีสิ่งมีชีวิตในระดับเต๋าอมตะจำนวนมากที่ถูกฝังที่นี่หลังจากที่พวกเขาตายแล้ว นั่นคือเหตุผลที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวมของวิญญาณผู้กล้า!
แน่นอนว่าพวกเขาคือวิญญาณผู้กล้าสีทองเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวผ่านรัศมีพลังของพวกเขาน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับผู้สูงสุดที่เกือบจะก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งความเป็นอมตะได้
แน่นอนว่าผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดคือผู้ที่ถูกฝังอยู่ส่วนลึกด้านในไม่เคยได้รับการปลดปล่อยออกมา
หลังจากได้รับการปลดปล่อยครั้งนี้ร่างทั้งสาม ก็ปรากฏขึ้นความแข็งแรงของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าสิ่งมีชีวิตอมตะเลยแม้แต่น้อย
ใครจะจินตนาการได้ว่าพวกเขามีพลังมากแค่ไหนเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งหลังจากความตายเพียงแค่จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ของพวกเขาก็สามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตอมตะได้
“เจ้าเป็นคนปลุกเราเหรอ” วิญญาณวีรสตรีเต๋าอมตะกล่าว วิญญาณของพวกเขาทั้งสามเป็นสีทอง น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีร่างกายที่แท้จริง
“ใช่ ผู้เยาว์รู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่รบกวนการนอนของผู้อาวุโส” สือฮ่าวรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
“ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เหตุผลที่เราดำรงอยู่สำหรับวันนี้ก็คือการก้าวเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง!”
“นั่นเป็นเพราะว่าเรายังคงมีเจตจำนงที่เหลืออยู่ ต้องการชำระความคับแค้นในอดีต และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เรากลายเป็นวิญญาณผู้กล้า เป้าหมายสูงสุดของเราคือกลับไปที่สนามรบ เผชิญหน้ากับศัตรูด้วยกำลังที่เหลืออยู่ของพวกเรา!”