ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 159 ความงามอันเป็นที่สุด
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 159 ความงามอันเป็นที่สุด
แปลโดย iPAT
ฮัวเฉิงลู่ไม่สะทกสะท้านและนางก็ไม่ถอย “เป็นเจ้า ยายแก่! เรือลำนี้เป็นของข้าตั้งแต่แรก เป็นเจ้าที่ขโมยรถม้าของนิกายออกมาเล่น!”
ยายประจิมกล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้ายังเด็กแต่กลับปากเหม็นถึงเพียงนี้ เมื่อข้าพบพ่อของเจ้า ข้าต้องบอกเรื่องนี้กับเขา ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องจัดการ ข้าจะไม่ยุ่งกับเด็กน้อยเช่นเจ้า!”
ฮัวเฉิงลู่ตอบโต้ “เมื่อข้าพบพี่ใหญ่เฉิงซาน ข้าจะบอกเขาว่ายายแก่เช่นเจ้ารังแกเด็กเช่นข้า!”
ยายประจิมก่นเสียงเย็นก่อนจะบังคับรถม้าพุ่งไปที่เกาะบุปผา
เด็กหนุ่มชุดแดงกล่าวอย่างไม่มีความสุขอยู่ในรถม้า “ท่านหญิง เหตุใดท่านไม่มอบบทเรียนให้เด็กนั่น?”
ยายประจิมกล่าว “พ่อและพี่ชายของนางไม่ใช่คนที่สามารถล้อเล่น พวกเขารับมือยาก หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าคงพรากชีวิตนางไปนานแล้ว ฮืม วันหนึ่งนางจะต้องเสียใจ หากเจ้าไม่โกรธเพราะเกาลัดคั่วและทำให้เราเสียเวลา เราคงมาถึงนานแล้วและไม่ต้องพบหญิงผู้นี้”
หากจอมยุทธ์ขั้นสองทั่วไปกล้าหยาบคายกับยายประจิม นางคงฆ่าพวกเขาไปแล้ว อย่างไรก็ตามเนื่องจากฮัวเฉิงลู่มาจากตระกูลฮัว ยายประจิมจึงต้องให้เกียรติเด็กสาวเล็กน้อย หลังจากทั้งหมดตัวตนของฮัวเฉิงซานในฐานะผู้บัญชาการหมาป่าทองแดงมีน้ำหนักพอสมควรในเมืองชิงเหอ
เด็กหนุ่มชุดแดงเม้มริมฝีปาก “ไม่ใช่ว่าข้าคนเดียวที่อยากกินมัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ยังไม่สาย หลี่ฉิงซานต้องอยู่บนเกาะอย่างแน่นอน”
ฮัวเฉิงลู่มองรถม้าแล่นออกไปและก่นเสียงเย็นเช่นกัน แต่การก่นเสียงของนางไม่ได้ใกล้เคียงกับการก่นเสียงของยายประจิมแม้แต่น้อย ตรงข้าม นางดูเหมือนกำลังบ่นพึมพำมากกว่า นางสะบัดธงผืนเล็กและนำเรือรบคลื่นทำลายล้างแล่นไปที่เกาะ
ภายในกลุ่มควันหนาทึก เกาะค่อยๆปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แสงจากรังไหมเพลิงลดความสว่างไสวลงเหมือนดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน สิ่งที่เหลืออยู่คือลูกแก้วสีแดงที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าตกลงบนรังไหมและลอยขึ้นเป็นไอน้ำสีขาว
เสี่ยวอันขดตัวอยู่ในรังไหมเหมือนเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา เปลวไฟไม่เหมือนเปลวไฟอีกต่อไปแต่เหมือนของเหลวที่อยู่ในถุงน้ำคร่ำ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเต็มไปด้วยพลังชีวิตซึ่งถูกเด็กน้อยดูดกลืนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เขาเข้าใจแนวคิดสำคัญของเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์แล้ว ตอนนี้เขากำลังเปลี่ยนสภาพจากความตายสู่การมีชีวิต เปลี่ยนจากกระดูกสีขาวเป็นความงามอันเป็นนิรันดร์
เลือดและเนื้อก่อกำเนิดขึ้นอย่างช้าๆ
หลี่ฉิงซานเริ่มกลั้นหายใจ
เมื่อเวลาผ่านไป รอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นบนรังไหมและกระจายออกไป
หลี่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างตั้งใจ
มือที่อ่อนโยนค่อยๆยื่นออกมาจากรังไหม มันเป็นสีขาวที่ผสานด้วยสีแดงราวกับมันถูกสร้างมาจากหยกสีเลือด
หลี่ฉิงซานผุดลุกขึ้นยืนแต่เขาเกรงว่าจะรบกวนเสี่ยวอัน เขากัดฟันขณะที่ดวงตาเริ่มเปียกชื้นและกลายเป็นสีแดง เขาได้เห็นด้วยตาของตนเองเมื่อเสี่ยวอันเปลี่ยนจากวิญญาณเป็นโครงกระดูกและตอนนี้เด็กน้อยกำลังจะได้รับร่างใหม่ เขารู้สึกมีความสุขมาก ด้วยเหตุผลบางประการ เขาเชื่อว่าไม่ว่าเส้นทางของเขาจะโหดร้ายและนองเลือดเพียงใด มันก็มีมากกว่าความเคียดแค้นและเกลียดชัง
“แค๊ก...แค๊ก...แค๊ก...” รังไหมเกิดเสียงแตกเป็นชุด เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากภายในขณะที่ร่างเล็กๆยืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน
กลิ่นหอมเหมือนไม้จันทร์ลอยอบอวลไปทั่ว มันกลบกลิ่นดินปืนและควันทั้งหมด
หลี่ฉิงซานก้าวไปข้างหน้า “เสี่ยวอัน ในที่สุดเจ้าก็...”
เปลวไฟกระจายไป เด็กหญิงตัวเล็กๆยืนเปลือยกายอยู่บนดอกบัวเพลิง มือของนางดูราวกับกลีบดอกบัว ผิวของนางขาวและเรียบเนียบราวกับหยกขัดเงา มีไฝสีแดงอยู่ระหว่างคิ้วของนางขณะที่ดวงตาของนางเหมือนไข่มุกสีดำสองเม็ด ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทุกอย่างดูไร้มลทินหรือสิ่งสกปรกใดๆทั้งสิ้น นางดูบริสุทธิ์ดุจดอกบัว
นางมองที่มือของตนด้วยความงุนงงราวกับนางไม่เคยเชื่อว่าร่างกายของนางจะกลับคืนสู่สภาพเดิม นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลี่ฉิงซาน แต่ดูเหมือนนางจะยังไม่คุ้ยเคยกับการขยับใบหน้า ดังนั้นนางจึงไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา อย่างไรก็ตามดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความปลื้มปิติอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขณะที่นางยื่นมือออกไปหาเขา
หลี่ฉิงซานตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้พร้อมกับหลั่งน้ำตา
เขาเหมือนบิดาที่รออยู่นอกห้องคลอดตลอดเวลา แม้เขาจะพึ่งรู้ว่าลูกของเขาไม่ใช่เด็กผู้ชายดังที่เขาคาดหวัง เขากระทั่งประหลาดใจเล็กน้อย แต่นี่ไม่สำคัญเลย มันไม่สามารถเปลี่ยนความสุขที่อยู่ในใจของเขา
หลี่ฉิงซานกล่าวซ้ำๆ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก!”
หลังจากไม่นาน หลี่ฉิงซานก็รู้สึกว่าปากของเขาค่อยข้างเงอะงะ เขาไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด เขาทำได้เพียงปาดน้ำตาและกล่าวว่า “ไปแต่งตัวกันก่อน!”
เสี่ยวอันพยักหน้าอย่างเชื่อฟังอยู่ในอ้อมแขนของเขา
หลี่ฉิงซานปล่อยนางและหยิบกระเป๋าร้อยสมบัติ เขากล่าวด้วยความทุกข์ใจว่า “ถึงอย่างนั้นก็มีแต่เสื้อผ้าเด็กผู้ชาย เห้อ...เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้”
เสี่ยวอันพยักหน้าราวกับนางกำลังพูดว่า “ข้าก็ลืมไปเช่นกัน หลายปีผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณหรือโครงกระดูก เพศไม่มีความหมาย”
หลี่ฉิงซานทำตัวไม่ถูก เขาคิดว่าหมอผีชราต้องพยายามปกปิดตัวตนของนางโดยให้นางแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายในช่วงเวลาที่นางลักพาตัวเด็กหญิงมา นั่นเป็นเหตุให้เขาคิดว่าเสี่ยวอันเป็นเด็กผู้ชายมาตลอด
หลี่ฉิงซานตรวจสอบเสี่ยวอันอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิด อย่างไรก็ตามเขาพบว่าร่างกายของนางดูเป็นสีชมพูแดง มันบอบบางไม่ต่างจากทารกแรกเกิด เขารู้สึกว่าแม้แต่เส้นไหมก็อาจทำให้เกิดรอยข่วนและทำให้ร่างกายของนางฟกช้ำโดยไม่ต้องกล่าวถึงมือที่หยาบกร้านของเขา
เขาถามด้วยความห่วงใย “ข้าทำร้ายเจ้าหรือไม่?”
เสี่ยวอันส่ายศีรษะ เทียบกับการถูกเพลิงโลหิตเผาและถูกหลอมกระดูกด้วยเพลิงสีขาว ความเจ็บปวดประเภทนี้ไม่ถือเป็นสิ่งใด ตรงข้าม นางรู้สึกมีความสุข
หลี่ฉิงซานแต่งตัวให้เสี่ยวอันอย่างระมัดระวังราวกับเขากำลังถือสมบัติล้ำค่าที่แตกหักได้ง่าย
ดวงตาของเสี่ยวอันเบิกกว้าง นางอยากบอกว่านางไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้น แต่นางก็ชอบที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเขา
หลี่ฉิงซานยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเสี่ยวอันและรู้สึกว่ามันนุ่มจนแทบละลายในมือของเขา เขาลูบไล้ผ่านไฝสีแดงที่อยู่ระหว่างคิ้วของนางและจำได้อย่างเลือนลางว่านี่คือรอยหยดน้ำโสมจิตวิญญาณ
เสี่ยวอันเหมือนตุ๊กตาที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนและปล่อยให้เขาสัมผัสร่างกายของนาง นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของเขาและรู้สึกมีความสุข
หลี่ฉิงซานลูบหัวโล้นๆของเสี่ยวอันและเผยรอยยิ้ม “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีผม แต่มันน่าจะยาวขึ้นเร็วๆนี้”
เสี่ยวอันกระพริบตาและก้าวถอยหลัง นางประสานฝ่ามือ กลั้นหายใจ และพยายาามทำทุกอย่างที่ทำได้ หลังจากไม่นาน เส้นผมสีเข้มก็เริ่มงอกออกมาและยาวลงไปถึงเอว
หลี่ฉิงซานเร่งกล่าว “พอแล้ว พอแล้ว”
เสี่ยวอันหยุดแต่ผมของนางก็ยาวไปถึงเข่าแล้ว
นางสวมชุดผ้าไหมที่งดงามและดูเหมือนนายน้อยตัวเล็กที่ดูอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หลี่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสุขและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีกต่อไป
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงร้องของม้าดังมาจากทะเลสาบ หลี่ฉิงซานหันกลับไปและเห็นรถม้าโผล่ออกมาจากม่านหมอกหนาทึบ นอกจากนั้นยังมีเรือลำใหญ่ตามมาด้านหลัง
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว หากเขาเดาถูก ปืนใหญ่ก่อนหน้านี้มาจากเรือลำใหญ่ ขณะที่รถม้าปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา สิ่งสำคัญคือมันมีความเป็นปรปักษ์ สิ่งนี้ไม่ได้มาจากความสามารถของเขาในฐานะจอมยุทธ์พลังปราณแต่เป็นปีศาจ
รถม้าพุ่งขึ้นฝั่งและหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่ฉิงซาน
สิ่งที่หลี่ฉิงซานเห็นคือหญิงชราในชุดคลุมสีแดงลงมาจากรถม้า นางปลดปล่อยกลิ่นอายที่กดดันที่กระทั่งจ้าวจื่อป๋อก็ยังไม่มีออกมา จากคนที่เขาเคยพบเจอก่อนหน้านี้ คนที่ใกล้เคียงกับนางมากที่สุดน่าจะเป็นฮัวเฉิงซาน แต่กลิ่นอายของนางยังด้อยกว่าฮัวเฉิงซานมาก
นางเป็นจอมยุทธ์ขั้นเก้า!
ยายประจิมลงจากรถม้า อย่างไรก็ตามสายตาของนางกลับไม่ได้หยุดอยู่ที่หลี่ฉิงซานแต่เป็นเสี่ยวอันที่อยู่ข้างๆ นางตกตะลึงและพึมพำออกมาว่า “เจิดจ้าราวกับฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาอ่อนโยนราวกับแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ผิวเนียนราวกับหยกที่ขัดเงา เหตุใดคนผู้หนึ่งจึงงดงามได้ถึงเพียงนี้? เดี๋ยว! นี่คือกลิ่นหอมจากสวรรค์ในตำนานงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้!”
ยายประจิมเป็นคนรอบรู้และมีประสบการณ์ มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะตกตะลึงกับรูปร่างหน้าตาของเด็กทั่วไป แต่นางยังต้องชื่นชมเสี่ยวอันอย่างช่วยไม่ได้
นิกายเมฆาพิรุณให้ความสำคัญกับความงาม มีคำชมหลากหลายที่อธิบายความงามของผู้คน คำชมที่ยายประจิมอุทานออกมาชัดเจนว่าอยู่ระดับสูงสุด
ผู้นำนิกายคนปัจจุบันเป็นหญิงงามที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้นำนิกายคนก่อน แต่นางก็ยังไม่ใกล้เคียงกับความงามที่ยายประจิมเห็นในเวลานี้
คำชมที่ว่างดงามราวกลิ่นหอมจากสวรรค์มีอยู่ในตำนานเท่านั้น
ตามคำทำนาย นี่เป็นลางบอกเหตุที่จะทำให้โลกเกิดความวุ่นวาย แม้จะไม่ถึงจุดนั้น แต่ความงามระดับนี้ก็จะนำมาซึ่งหายนะ มันสามารถล่มเมืองหรืออาณาจักร
ยายประจิมเลิกคิดเรื่องหลี่ฉิงซานทันที นางยังลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับการหายตัวไปของศิษย์ที่โดดเด่นของนางเช่นจ้าวเหลียงฉิงและฟู่หรง นางมองเสี่ยวอันและเดินเข้าไปหาเด็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “เจ้างดงามมาก! มหัศจรรย์นัก!” หากนางสามารถรับเด็กหญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาผู้นี้เป็นศิษย์และนำกลับนิกายเมฆาพิรุณ มันจะกลายเป็นผลงานใหญ่ของนาง
หลี่ฉิงซานปิดกั้นเส้นทางของยายประจิมและขัดจังหวะความคิดของนาง เขาถาม “เจ้าเป็นใคร? เจ้าพยายามทำสิ่งใด?”
ยายประจิมเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจและมองหลี่ฉิงซานซึ่งสูงกว่านางมากด้วยสายตาเย้ยหยัน “โอ้ เจ้าคือหลี่ฉิงซานงั้นหรือ? เจ้าเป็นอะไรกับนาง?”