ตอน วันสิ้นโลก (1)
ตอน วันสิ้นโลก (1)
เพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า สิ่งที่เจียงหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือข้อมูล ข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้
“นี่คือป้อมปราการเมืองหลิน เป็นหนึ่งในฐานป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในปัจจุบัน มีผู้ใช้พลังระดับสูงที่ทรงพลังทั้งห้าคอยปกป้อง เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ห้าธาตุแห่งเมืองหลิน”
โฮ่วเต๋อให้ข้อมูลคร่าวๆ นอกจากนี้ยังคิดอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของเมือง แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เจียงหลินไม่เห็นซอมบี้อยู่ในสายตา เขาก็ล้มเลิกความคิดไป แต่ก็ยังไม่ยอมพลาดโอกาสได้กอดขาคนใหญ่คนโต
โฮ่วเต๋อลนลานมาก เขาประหม่าจนเกือบกัดลิ้นตัวเอง
“จริงๆแล้วช่วงเวลาที่ป้อมปราการเปิดให้คนเข้ามีไม่มากนัก เพราะพวกเขากลัวว่าจะดึงดูดซอมบี้จำนวนมากเข้ามา เลยมีมาตรการลดจำนวนการรวมตัวของผู้คนไม่ให้เยอะจนเกินไป ถ้าคุณไม่รู้เรื่องนี้ แต่ดันมาวันนี้พอดี ถือว่าโชคดีมาก”
ในช่วงเวลาเกือบชั่วโมงระหว่างรอคิว โฮ่วเต๋อราวกับกระบอกเสียงของเมือง บอกเล่าสิ่งต่างๆให้เจียงหลินฟัง นี่ช่วยให้เจียงหลินเข้าใจข้อมูลของฐานและข้อมูลของโลกใบนี้เพิ่มขึ้น
และในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็ถึงคิวของเจียงหลิน
หลังจากตรวจสอบร่องรอยที่อาจติดเชื้อโรคซอมบี้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว เธอก็ได้เข้าเมือง
โฮ่วเต๋อบอกเจียงหลินว่าสถานที่ยื่นขอบัตรประจำตัวผู้ใช้พลังอยู่ที่ไหน ก่อนเอ่ยถามเจียงหลินอย่างระมัดระวังว่า “หลังจากนี้ผมจะได้เจอคุณอีกไหม?”
เจียงหลินยิ้มและพูดว่า “ไว้ว่างๆถ้ามีเวลา ฉันจะเป็นคนไปหานายเอง”
จากนั้น โฮ่วเต๋อก็บอกลาเจียงหลินอย่างไม่เต็มใจ ปล่อยให้เจียงหลินไปยื่นบัตรผู้ใช้พลังด้วยตัวเอง
แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ เจียงหลินไม่ได้ไปยื่นขอบัตรประจำตัวผู้ใช้พลัง
หลังจากเข้าเมือง เจียงหลินถึงค่อยเข้าใจว่าทำไมโฮ่วเต๋อถึงคิดว่าเธอเป็นผู้ใช้พลัง
ในฐานนี้ มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างผู้ใช้พลังกับคนธรรมดา ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเสื้อผ้า อย่างเช่นชายคนหนึ่งที่มีแขนเคลือบไปด้วยโลหะ และสวมเสื้อยืดสะอาดสะอ้านที่เจียงหลินกำลังมองอยู่
เนื่องจากยังเหลือเวลารออีกประมาณสองชั่วโมง เจียงหลินมองซ้ายมองขวาไปทั่ว เดินชมรอบฐานในฐานะนักท่องเที่ยว
ว่างๆก็หยิบขนมเซาปิ่งกินเป็นอาหารเช้า ทำให้ระหว่างทางเธอถูกสายตาริษยามากมายจ้องมองมา
หลังจากกินเซาปิ่งไปสองสามแผ่น เจียงหลินก็กระหายน้ำ เธอตัดสินใจไปยังสถานที่ที่โฮ่วเต๋อบอกว่ามีพ่อค้าแม่ค้ามารวมตัวกัน
ในตำแหน่งที่เด่นที่สุด เจียงหลินเห็นแผงขายของร้านหนึ่งแขวนป้ายที่มีคำว่า
‘อาหารเบ็ดเตล็ด’
‘รับซื้อของทุกชนิด’
และ ‘ร้านเพ้นท์เล็บ’
เจ้าของร้านดูเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนมาก และเจียงหลินสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้ใช้พลัง เพราะช่วงที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือ เล็บในมือเธอเรืองแสงและเปลี่ยนสีกับลวดลายไปแล้วมากกว่าสิบแบบ
เจียงหลินก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “สวัสดี ที่นี่มีน้ำขายไหม”
“มีแน่นอน” เจ้าของร้านตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้แต่สีเล็บก็เปลี่ยนไป เข้ากับอารมณ์ในตอนนี้ของเธอ ลวดลายของมันกลายเป็นดอกทานตะวันที่งดงาม
เจ้าของร้านหยิบขวดน้ำออกมาจากกล่องและวางบนเคาน์เตอร์
“5 แกนคริสตัลต่อขวด”
เจียงหลินพบว่าน้ำดื่มบรรจุขวดบนเคาน์เตอร์ไม่ได้ผ่านกระบวนการปิดผนึกด้วยพลาสติก จึงเอ่ยถามว่า “ทำไมขวดนี้ถึงเหมือนโดนเปิดฝามาก่อนแล้ว?”
“นี่คือน้ำที่กลั่นออกมาจากผู้ใช้พลังธาตุน้ำ มันคือน้ำที่สะอาดที่สุดแล้ว ... ดูเหมือนเธอจะเพิ่งเข้ามาที่ฐานนี้ เสียใจด้วยนะ เพราะน้ำบริสุทธิ์ที่ยังไม่ผ่านการเปิดฝา ในฐานนี้มันหมดไปตั้งนานแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงผู้ใช้พลังธาตุน้ำ แววตาของเจ้าของร้านฉายแววชื่นชม เธอดูเข้ากับคนง่ายและเป็นกันเอง เวลาอธิบายไม่ได้ดูใจร้อนเลยสักนิดเดียว “ว่าไง เอาซักขวดไหม?”
“ไม่ ... ฉันขอผ่านดีกว่า ...”
เจียงหลินลองจินตนาการดู และพบว่าเธอคงทนไม่ได้จริงๆถ้าต้องให้ดื่มมันลงไป เพราะสุดท้ายแล้วน้ำพวกนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในท้อง เธอกังวลว่าเรื่องแบคทีเรียจากการใช้ขวดพลาสติกซ้ำ และในวันสิ้นโลกเช่นนี้ แบคทีเรียคือสิ่งที่กลายพันธุ์จนเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นควรรอบคอบ ระมัดระวังเข้าไว้ดีกว่า
“ที่ว่ารับซื้อของทุกชนิดนี่ รวมถึงอาหารด้วยไหม?” แต่เนื่องจากเธออยู่ที่นี่ ดังนั้นอันดับแรกมาแลกสกุลเงินของที่นี่กันก่อนดีกว่า ยังไงการมีเงินติดกระเป๋าก็ย่อมอุ่นใจ
เจียงหลินยื่นกล่องหิ้วเซาปิ่งที่ถืออยู่ “คุณรับซื้อเจ้านี่ได้ไหม?”
“รับสิ!” หญิงสาวรับกล่องเซาปิ่งด้วยใบหน้ายิ่มแย้ม เธอตรวจสอบโลโก้และคุณภาพของเซาปิ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นดวงตาก็สว่างไสวขึ้น
เธอหยิบตราชั่งออกมาชั่งเซาปิ่ง และพบว่าขนมเซาปิ่งที่เหลือมีทั้งสิ้น 510 กรัม
แม้จะเหลือเพียงครึ่งกล่อง แต่เซาปิ่งทุกแผ่นถูกห่อพลาสติกแยกไว้เป็นอย่างดี
อาหารที่ปราศจากการปนเปื้อนอย่างสมบูณณ์นั้นมีราคาสูงมาก
แม้จะมีราคาสูง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากนัก ในทำเลแถวนี้ มีหลายร้านที่มีพวกมันวางขาย และอีกอย่าง ในฐานะเจ้าของร้าน เธอมีกำลังซื้อมากพอ
“สาวสวย~ ฉันให้ราคา 150 แกนคริสตัลเป็นไง?” ลายดอกทานตะวันบนเล็บเจ้าของร้านเปลี่ยนเป็นลายช่อดอกไม้ เธอกระพริบตาโตให้เจียงหลิน ทำหน้ากลมเป็นแอปเปิ้ล ดูน่ารักและเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน
ในใจเจ้าของร้านกำลังคิดว่าอาหารแบบนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ใช้พลัง ถ้าซื้อขายกันสำเร็จ เธออาจนำไปขายต่อได้ในราคาอย่างน้อย 300 แกนคริสตัลหรือมากกว่านั้น
เท่ากับกำไรอย่างน้อยสองเท่า และมันคุ้มค่ามาก
“ฉันขาย!” เจียงหลินตอบอย่างเรียบง่าย ไม่เสียเวลาคิดสักนิด ยังไงซะขนมเซาปิ่งกล่องนี้ก็ถูกเปิดแล้ว การที่ยังขายมันได้ทำให้เจียงหลินรู้สึกดีมาก
“สาวน้อย เธอตัดสินใจเร็วจัง” เจ้าของร้านหัวเราะชอบใจ เธอไม่คิดว่าเจียงหลินจะไม่ขอเพิ่มราคา ใช้นิ้วเรียวนับแกนคริสตัล 150 ก้อนอย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเห็นว่าเจียงหลินไม่ได้เอากระเป๋ามา เธอก็หยิบถุงพลาสติดขนาดเล็กให้เจียงหลิน แล้วใส่แกนคริสตัลลงไปอย่างรอบคอบ
เจียงหลินเอื้อมมือไปหยิบถุงพลาสติก แล้วบังเอิญสัมผัสกับมือของเจ้าของร้าน พริบตานั้นเล็บในมือข้างนั้นของเจียงหลินถูกเพ้นท์เป็นลวดลายหนึ่งทันที
เจียงหลินก้มลงมองมือตัวเอง และพบว่ามันคือลายเสือดาวดำ
อันที่จริงเจียงหลินไม่ใช่คนไว้เล็บยาว แต่ก็ไม่ทำให้ความสง่างามของเสือดำดูหมองลง อีกทั้งบนเล็บยังมีเงารางๆของเสือดาวซ้อนทับอยู่ข้างหลัง นี่ยิ่งช่วยให้เพิ่มความสวยและสมจริงยิ่งขึ้น
เจ้าของร้านหัวเราะ “พอเห็นเธอ ฉันก็นึกถึงลายๆนี้ขึ้นมา แต่ไม่ต้องกังวลไป ครั้งนี้ฉันทำให้ฟรี นี่คือพลังของฉัน ก่อนวันสิ้นโลก ฉันคิดเสมอว่าคงจะดีถ้าสามารถทำเล็บได้ทุกวันโดยไม่เป็นการทำร้ายมัน คาดไม่ถึงเลยว่าความปรารถนาของฉันจะเป็นจริงหลังวันสิ้นโลก”
“ขอบคุณ ว่าแต่ลายนี้จะอยู่ทนได้นานแค่ไหน?” นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลินได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของผู้ใช้พลัง มันให้ความรู้สึกมีมนต์ขลังเล็กน้อย
“อาจอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น” เจ้าของร้านสาวพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันชื่ออันหงโถว ทุกคนเรียกฉันว่าหงโถว ไว้มาอีกนะ ฉันยินดีต้อนรับเสมอ”
“เข้าใจแล้ว หงโถว ไว้ครั้งหน้าเจอกันใหม่” เจียงหลินกล่าวอำลาอันหงโถว จากนั้นเดินดูแผงร้านขายของอื่นๆต่อ