ตอน ข้ามมิติ (1)
ตอน ข้ามมิติ (1)
เป็นเวลาเกือบ 11 โมงเช้าแล้ว
แต่ร้านขายของชำเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางประตูทิศใต้ของชุมชน วันนี้กลับขายสินค้าไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว
เจียงหลิน เจ้าของร้านขายของชำนั่งใช้นิ้วม้วนผมอย่างเศร้าสร้อย
สถานที่ตั้งของร้านขายของชำเล็กๆแห่งนี้ไม่ค่อยดีนัก โชคดีที่ค่าเช่าถูก นอกจากนี้ยังมีห้องเล็กๆไว้ซุกหัวนอนบนชั้นสอง
เจ้าของบ้านคือหญิงชราวัยแปดสิบปี เป็นคนใจดีมาก
น่าเสียดายที่เธอเสียชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อน
หญิงชราไม่มีลูก มีก็แต่หลานชายเพียงคนเดียว เจียงหลินเคยได้ยินเธอพูดครั้งนึง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบหลานชายคนนี้สักเท่าไหร่นัก
ในตอนนั้นเอง จู่ๆประตูร้านจู่ๆถูกถีบเปิดอย่างแรง ก่อนคนเตะจะปรากฏตัว เจียงหลินก็ได้ยินเสียงตะโกน
"ต่อจากนี้ไปฉันคือเจ้าของบ้าน! ที่นี่คือที่ดินของฉันแล้ว! ถ้ายังพอมีสมอง ก็ขอให้รีบ …. ”
คนที่เข้ามาคือชายหนุ่มแต่งตัวสีสันฉูดฉาด เขาใส่เสื้อลายดอกไม้ สวมแว่นกันแดดทรงกลม มองผ่านๆเหมือนตาปู
มิใช่ใครอื่น เป็นหลานชายของเจ้าของบ้าน เขาเพิ่งได้รับมรดกเป็นร้านๆนี้จากป้าผู้ล่วงลับ และเมื่อได้ยินว่าผู้เช่าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ก็จงใจมาข่มขู่
ตั้งแต่วินาทีที่ประตูเปิดออก เจียงหลินก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมาแบบไม่เป็นมิตร เธอลุกขึ้นจากเคาน์เตอร์ จ้องมองผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา
“ก็ขอให้รีบ …. เอ่อ …” เจ้าของบ้านคนใหม่เดิมเข้ามาด้วยท่าทีฮึกเหิม แต่พอเห็นผู้อาศัย เขาถึงกับต้องถอดแว่นและแหงนหน้าขึ้น กลืนคำข่มขู่กลับลงคอ เริ่มลอบด่าทอในใจ
‘นี่น่ะหรือคนเช่าบ้าน … เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็จริง แต่สูงชะมัด! สูงกว่าฉันซะอีก! แล้วกล้ามนั่น … ’
คนเบื้องหน้าเขา รูปร่างสูงยังกับนักวอลเลย์บอลทีมชาติ เวลานี้เธอใส่เสื้อกล้าม เผยให้เห็นลายเส้นกล้ามเนื้อที่งดงามบนแขนที่ได้สัดส่วน ไม่ใหญ่หรือหนาจนเกินไป ให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงที่ผ่านการเพาะกายมาระดับหนึ่ง
หญิงสาวมีโครงหน้า 3 มิติได้รูป ดั้งจมูกเป็นสัน ให้ความรู้สึกถึงความงดงามที่ดุดัน
ชายหนุ่มเผลอถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้กันจริงๆ ตอบไม่ได้เลยว่าใครจะชนะ
“พี่สาว … นี่พี่น่าจะสูงซัก 180เซนติเมตรใช่ไหม?”
“179.2 เซนติเมตระย่ะ” เจียงหลินบอกจำนวนเป๊ะๆแก่เขา
“อ้อ …” เมื่อย้อนคิดถึงความสูงแค่ 170 เซนติเมตรของตัวเอง ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นราดใส่หัว ทั้งอายและโกรธในเวลาเดียวกัน
‘ไม่เห็นมึใครบอกเลยว่าหุ่นเธอจะกำยำแบบนี้ ถ้าฉันโดนตบจะซักฉาดจะรอดไหม?’
เจ้าของบ้านบ่นอุบในใจ
เมื่อเห็นว่าเสียเปรียบเรื่องรูปร่าง ชายหนุ่มก็ไม่คิดพูดไร้สาระกับเจียงหลินอีกต่อไป เขาเชิดหน้าและแค่นเสียงเย็นชา “ฉันแค่จะมาบอกให้เธอรู้ ว่าตอนนี้เจ้าของใหม่คือฉัน และฉันต้องการขึ้นค่าเช่า เพิ่มจากฐานเดิมเป็นสองเท่า ถ้าไม่มีจ่าย ก็ออกไปภายในสองวัน!”
“ขึ้นราคามากขนาดนั้นเลย?” เจียงหลินขมวดคิ้ว
“ฉันก็แค่ปรับให้สมดุลกับราคาที่ดินแถวนี้ แน่นอน เธอจะเลือกไม่เช่าต่อก็ได้! บ้านหลังนี้เป็นของฉัน คำพูดของฉันถือเป็นที่สุด!”
เอ่ยประโยคนี้จบ ชายหนุ่มก็สวมแว่นกันแดด หันหลังกลับ เปิดประตูร้านแล้วออกไป
เดิมทีเขาตั้งใจจะขายร้านที่ป้าทิ้งไว้เพื่อนำเงินไปใช้สนุกสนานข้างนอกอยู่แล้ว
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน เขาก็ตั้งใจที่จะไล่ตะเพิดคนเช่าออกไป
‘จบสิ้นแล้ว!’
เจียงหลินร่ำร้องในใจ ตอนนี้ข้อได้เปรียบเรื่องค่าเช่าถูกของเธอหมดไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเท่าตัว ขนาดไม่ขึ้นค่าเช่า ทุกเดือนให้เธอจ่ายเงินตรงเวลายังยาก
และเพื่อที่จะให้พอจ่ายค่าเช่า เวลาแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เธอทำได้แค่ขอซื้อซุปกับเส้นสั่งกลับบ้านเท่านั้น แม้แต่การกินอาหารพวกฟาสต์ฟู๊ดก็ถือเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ฉะนั้นตอนนี้เหลือแค่ทางเลือกเดียว —เก็บข้าวของแล้วย้ายออก!
หลังจากปิดร้านช่วงหัวค่ำ เจียงหลินก็เริ่มจัดแจงนับจำนวนสินค้า กว่าจะเสร็จ พอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
เจียงหลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
นอกหน้าต่าง แสงไฟนับพันดวงสว่างไสว แต่บนถนนกลับเงียบงันไร้ผู้คน
มองออกไปข้างนอกในยามค่ำคืน เธอถอนหายใจ
คงได้เวลาบอกลาเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้แล้ว เธอกำลังจะสูญเสียที่พักพิงสุดท้ายไป
ยังเหลือของเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่ยังเก็บไม่เสร็จ กระนั้น ตอนนี้ดึกมากแล้ว เจียงหลินไม่มีทางเลือกอื่น เธอตัดสินใจขึ้นไปนอนบนชั้นสอง แล้วตั้งนาฬิกาปลุกให้ตื่นแต่เช้า
เช้าวันรุ่งขึ้น
เจียงหลินตื่นขึ้นจากความหิวโหย อาจเป็นเพราะเมื่อวานนับจำนวนสินค้าหนักเกินไป เธอคลำหาของกินข้างเตียง และเจอกล่องใบเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ
เธอจำได้ว่าข้างในนั้นคือเซาปิ่ง(ขนมแป้งทอด)ที่ซื้อมาเมื่อวาน
หญิงสาวเอื้อมมือเข้าไปในกล่องเพื่อคลำหามัน ตั้งใจจะดึงขึ้นมาซักแผ่น กินแก้หิวก่อนลุกจากเตียง
แต่ในตอนนั้นเอง เธอกลับเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบที่มืออย่างกะทันหัน
เจียงหลินรีบชักมือกลับอย่างเร็ว และพบว่ามีรอยบาดเล็กๆบริเวณปลายนิ้ว เลือดไหลออกมาเล็กน้อย
เจียงหลินลุกขึ้นเปิดกล่อง อยากจะเห็นว่ามีอะไรที่มันคมในถุงเซาปิ่งนี้
เมื่อลุกขึ้นตรวจสอบดูคร่าวๆ เจียงหลินกลับพบว่าในกล่องไม่มีอะไรเลยนอกจากขนมเซาปิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตามรอยเลือด เธอก็พบสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง เจ้าสิ่งนี้สมควรเป็นผู้ร้ายที่บาดเธอ — ชิ้นส่วนโลหะรูปวงรี!
【เริ่มการตรวจเลือด......】
【สมรรถภาพทางกายอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน】
【พลังวิญญาณตรงตามมาตรฐาน】
【การตรวจสอบ DNA เสร็จสมบูรณ์】
ทันใดนั้นชิ้นส่วนโลหะก็หายไป
หน้าจอแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเจียงหลิน
บนหน้าจอแสง ประกอบไปด้วยไพ่หลายใบ แต่มีเพียงใบเดียวเท่านั้นที่สว่างขึ้น
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของหน้าจอแสงทำให้เจียงหลินตกใจ แต่พอได้สติ เธอรู้สึกว่าแบบนี้มันก็ดูเท่ดีเหมือนกัน
【สวัสดีโฮสต์ ยินดีต้อนรับสู่ระบบข้ามมิติ】
ระบบ? นี่มันสิ่งในตำนานที่มีพลังสารพัดอย่างไม่ใช่หรือ? แถมของฉันยังสามารถเดินทางข้ามมิติได้ด้วย
เจียงหลินฟุ้งซ่าน เริ่มจินตนาการว่าระบบจะพาเธอข้ามห้วงมิติและเวลา มอบหมายภารกิจสุดเท่ และช่วยขจัดอุปสรรคทั้งหมด พาเธอไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต
แต่รออยู่ครึ่งค่อนวัน(หมายถึงเนิ่นนาน) ระบบก็ยังคงเงียบ ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เห็นภารกิจใด ๆ ถูกส่งออกมา
“ระบบ ช่วยอธิบายฟังก์ชั่นแบบละเอียดให้ทีได้ไหม?”
【คำสั่งของคุณไม่ถูกต้อง】
“พอจะมีคู่มือการใช้งานรึเปล่า?”
【คำสั่งของคุณไม่ถูกต้อง】
เจียงหลินรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ระบบนี้ดูไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก ถามอะไรไปก็ตามไม่ได้ซักอย่าง
ปกติแล้วต้องเป็นหน้าที่ของมันที่จะอธิบายให้ตัวเอกในนิยายรู้เรื่องไม่ใช่หรอ? นี่อะไร? เอะอะก็คำสั่งของคุณไม่ถูกต้องๆ ไม่ทรงพลังเอาซะเลย
เจียงหลินรู้สึกว่าสติปัญญาของเจ้าหมอนี่ยังสู้สิริในไอโฟนไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดแบบนี้ จู่ๆเธอก็เริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมา
“นายจะไม่ส่งภารกิจหรืองานอะไรให้ฉันหน่อยเหรอ?” เจียงหลินยังคงไม่ยอมแพ้
【กำลังเปิดแผงภารกิจ … 】
เสียงบี๊บของระบบดังขึ้น ความหวังอันริบหรี่ผุดขึ้นในใจของเจียงหลิน
[ภารกิจ: เข้าสู่มิติวันสิ้นโลก รางวัล: 10 หยวน]