ตอนที่ 636 ไข่มุกบนจานหยก
นางเซียนหงส์ฟ้าพาไห่อิงอู่ เย่ว์ปิงเย่ว์หวี่และสาวขี้เมาไปยังตำแหน่งผนึกโบราณอีกแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถเห็นผนึกโบราณได้ใกล้เลย
หรือว่าจะมีแผนการบางอย่าง?
พวกนางตกเข้าไปในกับดัก?
“ทุกคนระวังให้ดี มีบางอย่างผิดปกติ” นางเซียนหงส์ฟ้าดึงเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงมาอยู่ข้างตัวนางเพื่อคอยปกป้องพวกนาง ไห่อิงอู่เรียกมังกรทองสามหัวของนางออกมาและให้มันค้นหารอบๆ ความจริงพลังรับรู้ของนางเซียนหงส์ฟ้าสามารถครอบคลุมพื้นที่สิบกิโลเมตรไม่มีอะไรสามารถหลบไปได้ อย่างไรก็ตามสิบกิโลเมตรเป็นระยะที่สั้นมากสำหรับนักสู้ เนื่องจากพวกเขาสามารถปรากฏตัวได้รวดเร็ว แม้จะไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของพวกนางได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถป้องกันการลอบโจมตี
“ยังคงเป็นไปได้ที่ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ ที่สำคัญจำนวนของศัตรูไม่เพียงพอจะไปถึงทุกที่ การแบ่งกำลังมากเกินไปจะเป็นเหมือนการฆ่าตัวตายเนื่องจากพวกเขาจะมีพลังในการต่อสู้ลดน้อยลง เป็นไปได้มากว่านี่อาจเป็นข้อมูลผิดเพื่อแยกกำลังของเราเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ” ไห่อิงอู่ประเมิน
“มีโอกาสมากว่าเป้าหมายหลักของศัตรูก็คือเรา” นางเซียนหงส์ฟ้ารู้สึกไม่สบายใจ
“ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว อย่างนั้นเราต้องสู้จนถึงที่สุด” สีหน้าของเย่ว์ปิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หลังจากได้รับคำแนะนำจากเย่ว์หยางและมีประสบการณ์ต่อสู้ นางเปลี่ยนจากนิสัยดื้อรั้นกลายเป็นนักรบที่มีคุณสมบัติ
ปัจจุบันนี้นางเต็มไปด้วยความมั่นใจและพลังที่มิอาจคาดเดาได้
แตกต่างจากอาการกดดันตัวเองก่อนหน้านั้น
ความจริงการแยกจากเย่ว์หยางครั้งนี้เป็นข้อเสนอของนาง นางไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกป้องของพี่ชายอยู่เสมอ นางต้องการยืนหยัดและสู้แทนพี่ชายนางและกลายเป็นกำลังให้กับเขา จะทำได้อย่างนี้ นางจำเป็นต้องแข็งแกร่ง นางรู้ว่าการต่อสู้นั้นอันตราย แต่เพื่อให้ได้รับประสบการณ์มากขึ้นนางทิ้งความลังเลของนางทุกอย่าง
เย่ว์หวี่ หญิงสาวผู้นุ่มนวลเหมือนสายน้ำก็มีความคิดอย่างเดียวกัน
ไห่อิงอู่มองดูครูสาวขี้เมาและแพนด้าน้อยหนิวหนิวจากนั้นถามนางเซียนหงส์ฟ้า “เมื่อไหร่คนของวังมารจะมาถึง?”
นางเซียนหงส์ฟ้าขมวดคิ้ว “พวกเขาอาจจะมาถึงแล้ว แต่พวกเขาอยู่ในระหว่างต่อสู้... มารแค้นฟ้า มารฟ้าพิบัติ มารเคราะห์ฟ้าและคนอื่นๆ คงไม่ช้ากว่าเราแน่นอน”
ความจริงมารแค้นฟ้า มารอาญาฟ้า มารฟ้าพิโรธและมารเคราะห์ฟ้ายังมาไม่ถึงแสดงว่าสถานการณ์จริงจังเพียงไหน
พวกเขาควรรอหรือว่าไปหาโดยตรง?
ทุกคนมองดูนางเซียนหงส์ฟ้า รอการตัดสินใจของนาง
เย่ว์หยางไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นนางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่มากที่สุดการฟังนางไม่ใช่ทางเลือกที่ผิด
“เราจะรอกัน!” นางเซียนหงส์ฟ้าตัดสินใจรั้งอยู่หลังจากไตร่ตรองการค้นหาไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหาได้ ยังคงมีโอกาสมากที่หลายอย่างผิดปกติ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำเช่นนั้นคือป้องกันศัตรูจากการทำบูชายัญ ซึ่งเป็นอีกแผนหนึ่งในการล่อเสือออกจากถ้ำ เหตุผลสุดท้าย ถ้ามารแค้นฟ้าและคนอื่นๆไม่สามารถหยุดศัตรูได้ อย่างนั้นการไปอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนพวกเขาก็คงไม่ช่วยอะไรได้มาก ถ้าพวกเขาสามารถรับมือได้ อย่างนั้นการรออยู่ที่นี่น่าจะเป็นการดีกว่า
นางเซียนหงส์ฟ้าเลือกที่จะเชื่อในสหายของนาง
เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิงและคนอื่นๆเลือกที่จะเชื่อนางเซียนหงส์ฟ้าด้วยเช่นกัน
หลังจากรอราวๆ หนึ่งชั่วโมงในที่สุดคนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในญาณรับรู้ของนางเซียนหงส์ฟ้า
พวกเขาคือ มารฟ้าพิโรธผู้มีร่างโชกเลือดมารอาญาฟ้ามีรอยแทงทะลุปอด มารกระบี่ฟ้าหมดสติและเป็นมารฟ้าสังหารแบกเขามา มารเคราะห์ฟ้าเสื้อผ้าฉีกขาดเป็นชิ้นแต่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยมารพิบัติฟ้าที่ไม่สามารถล่องหนได้อีกต่อไปและมารแค้นฟ้าผู้ไม่สนใจกับอาการบาดเจ็บของตน
ในที่สุดคนจากวังมารก็มาถึง แต่พวกเขาได้รับบาดเจ็บ
พวกเขาต่อสู้อย่างหนักแล้วก่อนที่จะมาถึง...
“ขออภัยที่เรามาสาย, ไม่รู้จะทำยังไง การจราจรติดขัด” มารอาญาฟ้ามีอารมณ์ขัน นี่เป็นอารมณ์ขันที่เลียนแบบมาจากเย่ว์หยาง ทุกครั้งที่เย่ว์หยางมาสาย เขาจะหาข้ออ้างได้ทุกอย่างเช่น รถติด
“พวกเจ้าต้องต่อสู้ในสถานการณ์อย่างนั้นมากี่ครั้งแล้ว?” นางเซียนหงส์ฟ้ารู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นลักษณะที่น่าสมเพชของมารเคราะห์ฟ้า อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แสดงออกและล้อนางในเรื่องนี้ ราวกับว่าเหล่าสหายของนางไม่น่าประทับใจพอและทำให้นางผิดหวัง คนจากวังมารรู้อารมณ์ของนางดี ดังนั้นพวกเขาหัวเราะและหาที่นั่งพัก มีแต่มารเคราะห์ฟ้าที่โผเข้ากอดนางเซียนหงส์ฟ้าขณะทำตัวเหมือนเด็กช่างอ้อน
“มีนักสู้ปราณฟ้าตัวปัญหาอยู่ในอีกฝ่ายหนึ่ง”มารแค้นฟ้าซึ่งเคยเหนือกว่านางเซียนหงส์ฟ้าในการจัดอันดับวังมารเตือนนาง
“มิน่าเล่า ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ทำอย่างกะว่าข้าไม่เคยฆ่านักสู้ปราณฟ้ามาก่อนอย่างนั้นหรือ ใครก็ตามที่แตะต้องวังมารต้องถูกฆ่า ต่อให้พวกมันเป็นนักสู้ปราณฟ้าก็ตาม!”
หลังจากนั้นสิบนาที คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
นี่คือหน่วยสายฟ้าของกองทัพนรกดำ
คนนำพวกเขาก็คือ จงเหลยถิง (สายฟ้ากลาง)เขาคือผู้บัญชาการที่วางแผนที่หุบเขามังกรบิน
ในบรรดาแม่ทัพทั้งห้าของกองทัพนรกดำ จงเหลยถิงผู้นี้แข็งแกร่งที่สุดเขาควบคุมกองพันสายฟ้าและกองทัพที่จ้านหู่และเป่ยเหลียวหยาทิ้งไว้ให้หลังจากพวกเขาตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับเก้าและไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้
ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือกลุ่มทหารรับจ้างที่ไม่เคยปรากฏในหอทงเทียนมาก่อน
ในแดนสวรรค์ กลุ่มทหารรับจ้างพวกนี้ยังไม่ติดในหนึ่งพันอันดับแรก แต่ในหอทงเทียนพลังของพวกเขาอยู่เหนือพวกวังมาร
ในกลุ่มทหารรับจ้างนี้ มีนักสู้ปราณฟ้าสองคน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับหนึ่งพวกเขาก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการในหอทงเทียน ไม่เพียงแต่นักสู้ปราณฟ้าทั้งสองคนนี้เท่านั้น แม้แต่บริวารทั้งสิบสองคนของพวกเขาถึงจะไม่มีนักสู้ระดับปราณฟ้า แต่ก็เป็นระดับปราณดินระดับเจ็ดขึ้นไปทั้งนั้น
สามคนเป็นนักสู้ปราณดินระดับเก้า สี่คนระดับแปด และหกคนระดับเจ็ด
พลังของพวกเขาเทียบกับนักสู้ทวีปกวงหมิงหรือแม้แต่ทวีปเฮยอันทั้งหมด ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา น่าเสียดายที่พวกเขาไม่พอใจ พวกเขามายังบันไดสวรรค์ระดับหนึ่งเพื่อชิงสมบัติแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ผนึกโชคชะตาพวกเขาไว้
“หอทงเทียนนับว่าไม่เลว มีสาวงามมากมายหลายคนและทุกคนก็อ่อนแอมาก ทุกคนหงอกับการปรากฏตัวของเรา ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ทุกอย่างที่คนผู้นั้นพูดถูกต้องจริงๆ สถานที่นี้ดีจริงๆ ในเมื่อเป็นที่นี้ขนาดนี้แล้วก็ไม่ควรครอบครองโดยพวกคนที่ไร้ความสามารถ หอทงเทียนควรจะเป็นของเรา ทรัพยากรธรรมชาติ สตรี สมบัติทุกอย่างของที่นี่ก็ควรจะเป็นของเราผู้แข็งแกร่ง แม้ว่าเราจะต้องทนทุกข์เล็กน้อยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่ก็นับว่าคุ้มค่า” หัวหน้าทหารรับจ้างมองดูนางเซียนหงส์ฟ้าไห่อิงอู่ เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิงและคนอื่นด้วยสายตาหื่นกระหาย
“คนขี้ขลาดจะกลายเป็นนักสู้ปราณฟ้าได้ยังไง? เป็นไปได้ว่าแดนสวรรค์คงจะเชี่ยวชาญในการผลิตคนงี่เง่า?” นางเซียนหงส์ฟ้าส่ายศีรษะถอนหายใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”คนในกลุ่มทหารรับจ้างไม่โกรธกับคำพูดนาง ตรงกันข้ามพวกเขาหัวเราะ
ในสายตาของพวกเขา สาวงามต่อหน้าพวกเขาเหมือนกับลูกไก่ในกำมือแล้ว
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเขาจะแยกออกมายังไง
รองหัวหน้าเป็นมนุษย์หมีที่มีกล้ามเนื้อเป็นคลื่น ความแข็งแกร่งของเขาคือปราณฟ้าระดับหนึ่งและพลังเป็นรองคนหัวหน้าเล็กน้อย มนุษย์หมีนี้บางทีอาจมาจากเผ่าเดียวกับมนุษย์สมิงสามตาที่เย่ว์หยางคุ้นเคยอยู่ต่อหน้านางเซียนหงส์ฟ้าและคนอื่น เขามีลักษณะที่ดูดีและซื่อสัตย์และพูดขึ้น“แม่หญิงคนงาม! อย่ากลัวไปเลย พวกเราเป็นคนดีจริงๆ ตราบใดที่พวกเจ้าว่าง่ายเราจะไม่แตะต้องทำร้ายแม้แต่เส้นผมบนตัวของพวกเจ้า!เรากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าประจัญบาน มาที่นี่เพราะได้รับเชิญเป้าหมายของพวกเราคือรักษาความสงบให้หอทงเทียน เราต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ถ้ามีความเข้าใจผิดกันระหว่างพวกเรา เราค่อยๆ ปรึกษากันและจัดการเรื่องนี้ด้วยการเจรจากันได้”
“ข้านึกไม่ออกว่าจะมีอะไรต้องคุยกันกับคนขี้ขลาด” นางเซียนหงส์ฟ้าแค่นเสียงเหยียดหยาม
“พี่กฏฟ้า, มีบางอย่างผิดปกติ นักสู้ปราณฟ้าที่เราพบไม่ใช่สองคนนี้” มารเคราะห์ฟ้ารีบเตือนนางเซียนหงส์ฟ้า
“เข้าใจแล้ว, เจ้าบัดซบนั่นกำลังซ่อนตัว เขาคิดว่าคนอื่นมองรูปร่างที่น่าเกลียดของเขาไม่เห็น อัปลักษณ์จริงๆ”
สายฟ้าที่แฝงด้วยพลังพิพากษายิงออกไปกลางอากาศ
หลังจากเคลื่อนไปร้อยเมตรสายฟ้าก็กระทบมิติว่างเปล่าและมันเริ่มแตกสลาย
บุรุษคนหนึ่งมีจมูกงุ้ม ปากกว้าง ตาหยีสวมหมวกและชุดแปลกประหลาดปรากฏตัว เขากระโดดออกมาจากมิติว่าง เขาต้องการจะหลบสายฟ้าด้วยความมั่นใจ แต่เขาไม่คาดเลยว่าเขาจะตัดสินใจผิดพลาด พลังพิพากษาทำให้นิ้วของเขาชาและตัวสั่นสะท้าน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขาเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสองชั้นสูงเขาอาจจะดำเป็นตอตะโกไปแล้ว
ถ้าเย่ว์หยางอยู่ที่นี่ อย่างนั้นเขาคงจะจำคนผู้นี้จากเครื่องหมายของเขาได้ทันที คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือปราณฟ้าในกลุ่มโจรตัวตลก
“ระวัง คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือในการลวงตา” มารแค้นฟ้าเตือนนางเซียนหงส์ฟ้า แม้ว่าปัจจุบันนี้นางเป็นระดับนักสู้ปราณฟ้าแต่ว่าอีกฝ่ายมีนักสู้ปราณฟ้าถึงสามคน นอกจากนี้จ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์อาจซ่อนตัวเตรียมลอบทำร้ายอยู่ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตามนางเซียนหงส์ฟ้าในฐานะแกนหลักของกลุ่มไม่ยอมให้เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับนางได้
นางยังคงอยู่ก็เพื่อยับยั้งศัตรู
ขณะเดียวกัน นางก็เป็นหลักของความเชื่อมั่นของสหาย
ถ้านางล้มเหลว อย่างนั้นผลที่ตามมาก็คือ เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิงและคนอื่นๆจะต้องเผชิญกับเรื่องย่ำแย่แน่
“อย่าห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ”นางเซียนหงส์ฟ้าไม่เชื่อว่าศัตรูจะเอาชนะนางได้ง่ายๆ แล้วจะเป็นยังไงถ้ามีนักสู้ปราณฟ้าถึงสามคน? นางมีความมั่นใจว่านางจะไม่พ่ายแพ้ ต่อให้เป็นจ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ฟื้นคืนพลังเต็มที่ก็ตาม
นางเซียนหงส์ฟ้ามั่นใจในตนเองเพราะภายใต้คำแนะนำของจื้อจุน นางมีความก้าวหน้าอย่างมาก
นอกจากนี้ นางยังได้ฝึกผสานกายคู่รักกับเย่ว์หยางถือกำเนิดใหม่ภายใต้เพลิงอมฤต อสูรพิทักษ์ของนาง นางพญาซัคคิวบัสยกระดับกลายเป็นอสูรในตำนาน ในท้ายที่สุดนางสามารถเข้าร่วมสู้ในสังเวียนมรณะและแม้กระทั่งในแดนสวรรค์นางยังทึ่งกับความรุดหน้าของตนเอง ถ้าเย่ว์หยางผู้ไม่ธรรมดาไม่อยู่ต่อหน้านาง อย่างนั้นนางคงจะหยิ่งยิ่งขึ้น ขณะที่นางเข้าใจถึงพลังของกฎฟ้าและสุดยอดพลังปราณก่อกำเนิด นางได้รับคำแนะนำจากพี่สาวนางและจักรพรรดินีราตรี ปณิธานของนางเซียนหงส์เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนเป็นร้อยเท่า และนางยังค่อยๆ ทำความเข้าใจ ‘หัวใจสุดยอดปราณก่อกำเนิด’
เสียงผี่ผาดังก้องทันทีมาจากทิศตะวันออกห่างออกไป
เสียงนี้ไพเราะจับใจราวกับไข่มุกที่หล่นลงในจานหยก
“บนหาดทรายสีทอง, ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทัพของเราเตรียมพร้อมกู่ร้องอย่างกล้าหาญ มองไปมีคนเป็นล้านรอบตัว มีคนรุ่นราวคราวกันไม่กี่คน โบกสะบัดธงของเรา สะบัดแส้ใส่ม้าเราจนตะวันอัสดงค์สุดแนวขอบฟ้า ในที่ห่างเหินจากบ้าน ทอดกาย ณ ภูผาแดนไกล ขุนพลนำตลุยศึก ประทีปนำทาง ลุกโชนต่อไป....”
สายลมนิ่งสนิททันที
หญิงงามนางหนึ่งปรากฏตัวในท้องฟ้าเหมือนเทพนารีลงมาเยือนพื้นพสุธา ภูษาของนางโบกสะบัดยามเลื่อนลอยลงมา
ทุกคนฟังลำนำที่ไพเราะโดดเด่น ถึงกับลืมทุกอย่าง
เสียงของนางไพเราะและก้องกระหึ่มโดยเฉพาะ ทำให้เกิดความรู้สึกหลงใหลเพลิดเพลิน
กองพันสายฟ้าพากันหลงใหลเสียงผี่ผาที่ไพเราะอย่างเห็นได้ชัดขณะที่พวกเขาฟังอยู่เงียบๆ แม้แต่สามนักสู้ปราณฟ้าจากแดนสวรรค์ผู้ไม่ประมาทก็ยังอดอ้าปากค้างฟังเสียงของนางมิได้ พวกเขาจ้องมองนางอย่างว่างเปล่าขณะที่เลื่อนลอยลงมา ไม่ว่านางเดินผ่านไปที่ใดทหารจะตกอยู่ในห้วงพักผ่อนนิรันดร์ขณะที่พวกเขาร่วงลงกับพื้น...