ตอนที่ 34 ร้านของชำข้างทาง
ตอนที่ 34 ร้านของชำข้างทาง
เรนเกาะหลังคารถไปราว ๆ 1 กิโลเมตร ก่อนที่รถจะค่อย ๆ หยุดลง ผู้กองเชนเหยียบเบรกจอดรถนิ่งอยู่กลางถนน ก่อนจะหันไปมองเขา
“นายไม่เป็นอะไรนะ”
“อืม” เรนพยักหน้า ก่อนจะลงมาจากหลังคารถตำรวจ เขามองไปรอบตัว มันไม่มีการเตือนถึงอันตรายใด ๆ อีก เขาจึงปลดปล่อยสภาวะแรก จำลองพลัง
ตุบ!
ตัวของเรนนั้นทรุดลงไปนั่งหอบกับพื้นในทันที ครั้งนี้เขาใช้รูนิกหมีดำภูเขานานกว่าครั้งก่อนมาก จึงรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นไปด้วย
กลุ่มของเรนรีบลงมาดูเขา ธันวาเข้ามาพยุงตัวเรนขึ้นมา
“เรนทำไมตัวนายถึงมีเลือดเต็มไปหมด” ธันวามองดูเลือดที่ชุ่มไปทั้งตัวของเพื่อนสนิท มันไม่ใช่เลือดพวกผู้ติดเชื้อทั้งหมด แต่มีเลือดของเรนอยู่ด้วย
“นี่มันรอยโดนกัด ทุกคนถอยออกมา เขาโดนกัดแล้ว” ผู้กองเชนมีท่าทางระวังเรนขึ้นมาในทันที มือสัมผัสไปที่ปืนพกข้างเอว พร้อมเล็งไปที่เขาได้ตลอด
“คุณจะทำอะไร” อาจารย์หลินเข้ามาขวางไว้เพื่อปกป้องเรน ในมือของเธอปรากฏรูนิกปืนพกเล็งไปที่ผู้กองเชน
ธันวาและไอราก็มาขวางเช่นกัน มีเพียงรินดาที่นั่งมองทุกอย่างด้วยนิ่งเงียบอยู่บนรถ แต่ในความนิ่งเงียบมือของเธอกำด้ามจับค้อนแน่น
“เขาโดนกัดแล้วอีกไม่นานก็จะกลายร่าง” ผู้กองเชนกล่าวเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าโดนกัด
ธันวา ไอรา หลินหันไปมองตามตัวของเรน มันจริงที่เรนโดนกัด
“ทุกคนถอยไปก่อน” เรนบอกกับทั้งสามคน
“นายโดนกัดจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ” ธันวาหันไปถาม
“ใช่ แต่ฉันไม่เป็นอะไร” เรนเอื้อมมือไปจับรถตำรวจและพยุงตัวเองขึ้นไม่ให้ล้ม ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า “ผมเป็นพวกมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงสามารถต้านเชื้อได้ ทำให้โดนกัดจึงไม่เป็นอะไร”
ผู้กองเชนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นจึงยังไม่ลดความระวังลง
ธันวา ไอราและหลินทั้งสามคนย้อนนึกไปถึงสิ่งที่ร้อยเอกก้องเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องของคนที่มีภูมิต้านเชื้อตามธรรมชาติมาก่อน พวกเขาจึงเชื่อว่าเรนจะไม่เป็นอะไร
เรนเล่าเรื่องของภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้กับผู้กองเชนฟังว่าพวกเขาเคยเจอทหารคนหนึ่งและทหารคนนั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับการระบาดของผู้ติดเชื้อ และเรื่องของผู้มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติก็มีอยู่ในนั้นด้วย
“แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าภูมิต้านทานที่ว่าจะป้องกันได้ 100%” ผู้กองเชนยังมีสีหน้าไม่เชื่อสักเท่าไหร่
“คุณหมายความว่ายังไง เรนพึ่งจะช่วยพวกเราออกมานะ” ไอราพูดอย่างไม่พอใจ เห็น ๆ กันอยู่ว่าเรนนั้นบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือพวกเขา แต่ผู้กองเชนกลับยังสงสัยในคำพูดของเรน
“ช่วยก็ส่วนช่วย แต่เรื่องการติดเชื้อมันไม่เหมือนกัน อย่าลืมว่าเรนในสภาพคนธรรมดายังแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าเขากลายเป็นผู้ติดเชื้อแล้วบ้าคลั่งขึ้นมาจะน่ากลัวแค่ไหน”
ทุกคนเงียบลงไป แม้จะเคยได้ยินเรื่องผู้มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติมาจากร้อยเอกก้อง แต่นั่นเป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็นจริงหรือต้านทานเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“เราใช้สิ่งนั้นฉีดให้เขาไหม” อาจารย์หลินกล่าวขึ้นมา
ทั้งสามเหมือนจะเห็นด้วย
“ไม่จำเป็น ฉันรู้ตัวเองดีว่าสภาพของตัวเองเป็นยังไง” เรนปฏิเสธที่จะใช้ยาพวกนั้น
เขารู้ดีว่าตัวเองนั้นมีภูมิต้านทานจริง ๆ ขนาดหมอกสีดำที่เป็นต้นกำเนิดเชื้อยังทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วเชื้อที่มาจากปากของผู้ติดเชื้อจะทำอะไรเขาได้
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็เอากุญแจมือมาล็อกผมไว้ก่อนก็ได้ ถ้าเกิดว่าผมมีอาการขึ้นมาคุณก็ยิงได้เลย” เรนพูดพร้อมกับยื่นมือไปด้านหน้าให้ผู้กองเชนล็อกกุญแจมือเขา
“1 ชั่วโมง ถ้านายไม่กลายร่างค่อยเอาออก” ผู้กองเชนกล่าว ก่อนจะเอากุญแจมือมาล็อกเรน
คนอื่น ๆ ไม่ค่อยพอใจกับการที่ต้องให้เรนใส่กุญแจมือ เพราะมันเหมือนเป็นการปฏิบัติต่อนักโทษ แต่ในเมื่อเรนเป็นผู้เสนอ พวกเขาก็ต้องทำตามความต้องการ
ผู้กองเชนยืนนิ่งก่อนจะเปลี่ยนใจและพูดว่า “ไม่ต้อง มันอาจจะเป็นอย่างที่นายบอก ถ้าติดเชื้อจริง ๆ รอบ ๆ แผลคงมีเส้นสีดำกระจายไปทั้งแผลแล้ว”
เรนเห็นว่าผู้กองเชนพูดแบบนั้นเขาก็พยักหน้าตกลง
“นายควรทำแผลสักหน่อย” อาจารย์หลินเดินเข้ามาหาพร้อมกับผ้าและน้ำขวดหนึ่ง
“แผลไม่ลึกมากเดี๋ยวค่อยทำก็ได้” เรนกล่าวปฏิเสธและหันไปพูดกับผู้กองเชนว่า “เราควรไปกันต่อได้แล้ว อีกไม่นานพวกมันก็คงวิ่งตามมาถึงตรงนี้”
“นายมานั่งข้าง ๆ ฉัน คนอื่น ๆ ไปนั่งเบาะหลัง” ผู้กองเชนกล่าว แม้เขาจะไม่คิดว่าเรนจะติดเชื้อแล้ว แต่ก็ควรแยกเรนออกมาจากทุกคนเพื่อระวังไว้ก่อน
“ไปที่ไหนกัน” ผู้กองเชนหันไปถามเรน
“มุ่งหน้าไปที่ค่ายอพยพกันเถอะ ยังไงที่สถานีตำรวจก็อยู่ไม่ได้แล้ว” เรนที่นั่งข้างคนขับกล่าวกับผู้กองเชน
ผู้กองเชนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลังจากขึ้นมาบนรถกันแล้วพวกเขาก็ขับออกไปในทันที ผู้กองเชนไม่กล้าขับเร็วเกินไป แต่ก็ไม่กล้าขับช้าเกินไปด้วย ในตอนกลางคืนแบบนี้มันอันตรายมาก ถ้าไม่ระวังพวกเขาอาจจะขับเข้าไปอยู่กลางฝูงผู้ติดเชื้ออีกได้
หลังจากรถขับออกไป เรนก็ไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปเพราะความเพลียตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาตอนมีมือมาเขย่าตัวเขา
เรนสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นมือของอาจารย์หลิน
“อาจารย์มีอะไรหรือเปล่า” เรนหันไปถาม
“นายควรรีบล้างแผล เราต้องหาที่พักและหายาก่อน แผลมากขนาดนี้อาจจะทำให้นายไม่สบายได้” อาจารย์หลินพูดด้วยความเป็นห่วง
เรนมองไปที่นาฬิกาหน้ารถก็เห็นว่ามันเป็นเวลาตีห้าครึ่งแล้ว
“ห่างไปไม่กี่กิโลเมตรมีร้านค้าของชำเล็ก ๆ อยู่ เราแวะพักกันที่นั่นและหายาก็ได้” ผู้กองเชนพูดด้วยสีหน้าง่วงนอนเล็กน้อย
พวกเขาตกลงที่จะแวะไปที่นั่นกัน
รถขับต่อไปเรื่อย ๆ ตะวันก็เริ่มขึ้นมามันสาดแสงผ่านหมอกยามเช้า ก่อนที่ไม่นานหมอกเหล่านั้นจะกลายเป็นนำค้างเกาะตามใบไม้
ขณะที่รถเริ่มลดความเร็วลง เพราะใกล้ถึงจุดหมายที่พวกเขาต้องแวะแล้ว ตอนนั้นเองผู้กองเชนหันกลับไปมองก็พบว่า คนอื่น ๆ นั่นพากันหลับแล้วจะเหลือก็แค่หญิงสาวที่ชื่อหลินอีกคนที่ยังคงตื่นอยู่
“คุณไม่ง่วงอย่างนั้นเหรอ” ผู้กองเชนถาม
“ผู้ใช้วงแหวนฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ ฉันนอนไปแล้วเล็กน้อยจึงไม่เป็นอะไรมาก” หลินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ” ผู้กองเชนถามอย่างเป็นกันเอง
“หลังจากที่ตำรวจพวกนั้นทำกับพวกเรานะเหรอ ก็นิดหน่อย” หลินตอบอย่างเหน็บแนม
“สบายใจได้ ผมไม่ใช่พวกนิสัยเลว ๆ แบบพวกนั้นหรอก จริงสิพวกเรามาถึงแล้ว” ผู้กองเชนกล่าวขึ้นมาและให้เธอดูด้านหน้า
ห่างจากที่รถพวกเขาอยู่ไม่ถึง 200 เมตรมีร้านของชำข้างทางอยู่ มันตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่ไกลเป็นถนนแยกเข้าด้านใน ซึ่งร้านนี้เป็นร้านของคนในหมู่บ้านที่มาเปิดเพื่อเป็นจุดพักรถให้กับคนที่ผ่านไปมา
รถค่อย ๆ ขับเลี้ยวเข้าไปที่ร้านของชำอย่างระวัง ก่อนจะจอดสนิท
คนอื่น ๆ เริ่มรู้สึกตัว พวกเขามองไปรอบตัวอย่างมึนงงเล็กน้อยว่าอยู่ที่ไหน
“พวกเรามาถึงแล้ว” ผู้กองเชนหันหน้ากลับไปบอกคนอื่น ๆ และพูดกับเรนว่า “แผลเป็นยังไงบ้าง”
“ปวดเล็กน้อย” เรนตอบตามตรง ถึงแผลไม่ลึก แต่มันก็คือแผล เขารู้สึกปวดที่แผลจริง ๆ
“นั้นไม่ดีเลย เราควรรีบไปหาพวกยาและทำแผลให้เรนก่อน” อาจารย์หลินพูดด้วยความเป็นกังวล
“ลงไปดูของในร้านกันเถอะ”
ผู้กองเชน เรนเอง อาจารย์หลินลงมาด้วย
“ลงไปสูดอากาศหน่อยไหม” ธันวาถามไอราที่นั่นอยู่บนตักเขา เพราะต้องนั่งเบียดกันมานานทำให้ไอราอึดอัด ธันวาจึงให้แฟนสาวมานั่งบนตักของตนเอง
“นายปวดขาเหรอ” ไอราถาม
ธันวายิ้มอย่างเขิน ๆ ที่โดนจับได้ ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า
“ก็เธอตัวหนักนี่ โอ๊ย!”
ไอราหยิกไปที่หน้าอกของธันวา ก่อนจะกระโดดลงจากรถ
ธันวาลงไปและยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ส่วนรินดาเธอเพียงลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอยู่เบาะหลังอย่างไม่สนใจ ซึ่งคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้คิดจะรบกวนเธอ
“ไปชอปปิ้งกันเถอะ” ธันวาดูจะเต็มไปด้วยพลังงาน เขาคิดจะเดินเข้าไปเป็นคนแรก แต่แล้วตอนนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นมา
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้ทุกคนนั้นตกใจมากจนรีบหาที่หลบ เรนเองก็ตกใจ เพราะรูนิกลางสังหรณ์ไม่เตือนถึงอันตรายเขา แต่เขาเข้าใจว่าทำไมรูนิกไม่เตือนเขา
“แค่ยิงขู่” เรนพูดออกมา
“ใครที่อยู่ในนั้นนะ ผมคือตำรวจจากสถานีตำรวจวอริกที่ 8” ผู้กองเชนยกมือขึ้นและกำลังจะยืน
ปัง!
เสียงยิงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กระสุนยิงใส่ที่พื้นห่างจากพวกเขาไปไม่กี่เมตรเท่านั้น
“ลุยเลยไหม” ธันวาที่ตกใจในตอนแรกหันไปถามเรน
“ใจเย็นก่อนน้องชาย เขาแค่ยิงขู่ เจ้าของร้านเป็นคุณลุงฉันเคยเจอเขามาก่อน เอาไว้เดียวฉันคุยเอง” ผู้กองเชนห้ามธันวา เพราะกลัวพวกนี้จะบุกเข้าไปถล่มร้านจริง ๆ
“ลองให้เขาพูดคุยดูก่อน” เรนเองก็ไม่อยากมีปัญหา ยังไงซะทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีความแค้นอะไรกัน
“ลุงจำผมได้หรือเปล่า ผมคือตำรวจที่เคยมาซื้อของที่นั่นมาก่อน”
“เดี๋ยวก่อนผมไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ”
ผู้กองเชนตะโกนบอกอีกครั้งและพยายามออกไป ครั้งนี้ลุงในร้านของชำไม่ได้ยิงมาอีก แต่ว่าปากกระบอกปืนลูกซองยังเล็งมาที่พวกเขา
เรน ธันวา หลิน ไอรา ทั้งสี่คนโผล่หัวออกมามองสถานการณ์
“จะรู้ได้ยังไง” เสียงลุงในร้านตะโกนขึ้นมา
“พวกเราพูดได้ไม่เห็นเหรอ” ผู้กองเชนตอบกลับไป
“ตัวที่นอนข้าง ๆ นั้นก็พูดได้” ลุงเจ้าของร้านพูดขึ้นมา
ผู้กองเชนและคนอื่น ๆ ก็หันไปมองข้าง ๆ ไม่ไกลจากพวกเขามีศพของผู้ติดเชื้อนอนตายอยู่หน้าร้าน
“เออ...” ผู้กองเชนคิดอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “พวกเราขับรถมาไม่เห็นเหรอ”
“ไอ้ตัวนั้นก็ขับรถมา มันยังชนร้านอาหารพังไปครึ่งหนึ่ง” ลุงเจ้าของร้านตอบกลับมา
ผู้กองเชนกับเรนและพวกมองไปที่ร้านอาหารข้างร้านของชำ ด้านในมีรถคันหนึ่งพุ่งเข้าไปในร้านและมีศพผู้ติดเชื้อที่โดนยิงตายคาอยู่ในรถ
สีหน้าของทุกคนเหวอไปในทันที
‘บัดซบ พวกมันจะเกินไปแล้ว’ ผู้กองเชนตะโกนด่าผู้ติดเชื้อสองตัวนี้จริง ๆ เขาอยากจะเอาปืนไปยิงพวกมันซ้ำจริง ๆ มีที่ตั้งเยอะไม่ไป
“มันคงกลายร่างตอนขับรถอยู่” เรนหาทางอธิบายที่เป็นไปได้ว่าทำไมผู้ติดเชื้อจึงขับรถ ข้าง ๆ เขาสามคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นผู้ติดเชื้อมันจะไปขับรถได้ยังไง
“พวกเราเป็นคนจริง ๆ ที่มานี่แค่ต้องการของบางอย่างจากร้านเท่านั้น” ผู้กองเชนตะโกนบอกอีกครั้ง
ลุงเจ้าของร้านของชำหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูบ้าง เนื่องจากพวกผู้ติดเชื้อนั้นเหมือนคนมาก
“พวกบ้าคลั่งมันร้องเพลงและเต้นไม่ได้ พวกมันหงุดหงิดง่ายและแสดงตัวออกมา” ลุงเจ้าของร้านพูดขึ้นมา
ผู้กองเชนหันกลับมาสบตากับคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งหลบข้างรถด้วยสีหน้าบึ้งตึงและพูดว่า
“ฉันจะไม่ออกไปร้องเพลงและเต้นเด็ดขาด”
พวกเขามองไปที่ผู้กองเชนด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“แค่เต้นคุณทำไม่ได้เหรอ” เรนถาม
“ถ้าอย่างนั้นนายไปร้องเพลงและเต้น” ผู้กองเชนบอก
“ผมร้องเพลงไม่เป็น” เรนตอบด้วยใบหน้าตายด้าน
ทุกคนเริ่มมองหน้าและเกรียงกันไปมา ธันวาปวดหัวกับการโยนภาระไปมาของทั้งสองคน เขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“พวกนายนี่มัน ใครจะไปเชื่อว่าคนที่ฆ่าผู้ติดเชื้อโดยไม่กะพริบตาแบบสองคนนี้จะทำแค่ร้องเพลงและเต้นไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นนายออกไปเต้นและร้องเพลง”
เรนและผู้กองเชนพูดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
“พวกนายดูไว้ให้ดี” ธันวาลุงขึ้นยืนก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนฝากระโปรงรถตำรวจของผู้กองเชน
“เฮ้ยอย่าเหยียบฝากระโบกรถแบบนั้น” ผู้กองเชนตะโกนห้ามธันวา เพราะเขารักรถคันนี้มาก
แต่มีหรือที่ธันวาจะฟัง เขาเริ่มร้องเพลงและเต้นไปมาบนรถอย่างเมามัน ซึ่งเสียงที่ธันวาร้องออกมานั้นมันกลับเพราะเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนนั้นอึ้งไป แม้แต่เรนก็ยังอึ้งเพราะไม่คิดว่าธันวาจะร้องเพลงเพราะแบบนี้ หมอนี่เป็นเพื่อนสนิทเขาจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ
แน่นอนว่ามันเพราะแค่เสียง แต่ท่าเต้นนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ จนทำให้เรนและคนอื่น ๆ ทนดูไม่ได้
ไอราได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กับท่าเต้นกวนประสาทของธันวา