ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 157 พยัคฆ์ร้ายหลุดจากกรง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 159 ความงามอันเป็นที่สุด

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 158 หลอมรวมเลือดเนื้อ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 158 หลอมรวมเลือดเนื้อ

แปลโดย iPAT  

ผู้คนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือมีทั้งนักบวชและนักพรต พวกเขามองไปที่เกาะบุปผาจากระยะไกลอย่างใจจดใจจ่อ

หากคนในยุทธภพอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องกรีดร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเพราะจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรรอบๆเมืองเจียเผิงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว

โลกไม่ได้มีเพียงสีขาวหรือสีดำ ฝ่ายธรรมะไม่จำเป็นต้องบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ และยึดมั่นในคุณธรรม แต่พวกเขาคือกลุ่มคนที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ มีผู้คนมากมายที่หน้าซื่อใจคดแต่พวกเขาก็ยังยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง

ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ที่ไร้ประสบการณ์มักใช้วิธีที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุดในการเติมเต็มความทะเยอทะยานของพวกเขา คนเหล่านี้สามารถขโมย ปล้นชิง หรือฉุดผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำตัวเป็นวีรบุรุษและบุกทำลายรังโจรเพื่อรับเงิน ผู้หญิง และชื่อเสียงเช่นกัน

หากผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มทำลายรังโจรจำนวนนับไม่ถ้วนและรอดชีวิตมาได้ พวกเขาจะกลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ หากบางคนสามารถขโมยทรัพย์สมบัติมหาศาลและผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาจะกลายเป็นจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ คนเหล่านี้มักมีมิตรสหายมากมายและเป็นเหตุให้กลุ่มของพวกเขาเกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา

ท่ามกลางความซับซ้อนนั้น พวกเขาจะสะสมความแค้นไว้หลายชั่วอายุคน คนนอกรีตทุกคนบนเกาะบุปผาก็เช่นกัน พวกเขาล้วนมีศัตรูและศัตรูของพวกเขาก็อยู่บนเรือที่กำลังเดินทางมา

คนนอกรีตเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่กระสับกระส่ายเพราะข่าวเกี่ยวกับเม็ดยา จอมยุทธ์ที่อยู่บนเรือก็เช่นกัน เมื่อคิดว่าศัตรูของพวกเขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจอมยุทธ์และกลายเป็นคู่แข่งของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้น นอกจากนั้นหากมียาวิเศษดังกล่าวอยู่จริง ผู้ใดจะไม่ต้องการ?

นั่นส่งผลให้พวกเขาวางแผนการนี้ขึ้นอย่างลับๆ อย่างไรก็ตามจอมยุทธ์เหล่านี้ดูเหมือนจะมีหัวหน้ากลุ่มเป็นเด็กสาววัยรุ่น พวกเขายืนอยู่รอบๆนางด้วยท่าทางสุภาพ

เด็กสาวอายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น นางยืนอยู่หัวเรือในชุดที่ดูธรรมดาแต่ใบหน้าของนางดูราวกับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์

นักบวชชราที่มีคิ้วสีเทาคำนับก่อนกล่าว “คุณหนูฮัว ท่านคิดอย่างไร?”

หญิงสาวหรี่ตาและมองผ่านม่านหมอกไปในระยะไกลแต่นางไม่ตอบคำถาม

นักบวชชราเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่หญิงสาวในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กสาวคนแรก

พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ แต่พวกเขากลับไม่กล้าไม่สุภาพต่อเด็กสาวผู้นี้ นี่ไม่เพียงเพราะนางเป็นจอมยุทธ์ขั้นสองตั้งแต่อายุยังน้อยแต่ยังเป็นเพราะนางมาจากตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพล เมื่อนางออกเดินทางท่องเที่ยวไปในยุทธภพ นางกลายเป็นสหายกับบุตรสาวของวีรบุรุษที่ชื่ออวี๋จื่อเจี้ยนซึ่งก็คือหญิงชุดม่วงที่ยืนอยู่ข้างๆนาง นั่นเป็นเหตุผลที่นางให้ความช่วยเหลือคนกลุ่มนี้

ทันทีที่พวกเขามาถึงริมทะเลสาบ นางก็นำเรือรำเล็กออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติ นางโยนมันลงไปในน้ำขณะที่มันกลายเป็นเรือขนาดใหญ่และทำให้ทุกคนตกตะลึง ด้วยความช่วยเหลือจากนาง พวกเขามั่นใจว่าแผนการในครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จ พวกเขาจะสามารถกำจัดคนเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน

อวี๋จื่อเจี้ยนกล่าว “เฉิงลู่ เหตุใดเจ้าไม่ตอบเขา?”

ฮัวเฉิงลู่ยกมือขึ้นอย่างสงบเพื่อหยุดอวี๋จื่อเจี้ยน หลังจากนั้นนางก็โบกธงเล็กๆในมือและออกคำสั่ง “เตรียมปืนใหญ่!”

ช่องไม้ขนาดเล็กหลายสิบช่องที่ตัวเรือเปิดออก ปืนใหญ่สีดำยื่นออกมา

เรือลำนี้ทำงานด้วยกลไกทั้งหมด มันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ ฮัวเฉิงลู่สามารถทำทุกสิ่งผ่านธงเล็กๆในมือของนาง ในความเป็นจริงมันดูค่อนข้างน่าขัน แต่ทุกคนไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไร

อวี๋จื่อเจี้ยนกระซิบ “เฉิงลู่ ปืนใหญ่มังกรไฟทรงพลังถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ?”

เมื่อถูกตั้งคำถาม ใบหน้าเล็กๆของนางก็เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น นางชี้ไปที่เกาะและกล่าว “เพียงรอดู ข้าจะทำให้พื้นที่ทั้งหมดราบเป็นหน้ากลอง!”

หลังจากนั้นนางก็ออกคำสั่งเสียงดัง “ยิง!”

ปืนใหญ่ปะทุขึ้นพร้อมกับเสียงที่เหมือนมังกรคำราม จากนั้นเมฆรูปดอกเห็ดจำนวนมากก็ลอยขึ้นจากเกาะบุปผา

ห้องโถงที่งดงามทรุดตัวลงพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ขึ้น เกาะบุปผาที่เฉินซื่อฮัวดูแลมาตลอดหลายปีกำลังกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกับชีวิตของเขา

จอมยุทธ์บนดาดฟ้าเรือตกตะลึง พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาอยู่บนเกาะ พวกเขาคงไม่สามารถหลบหนีจากความตาย โดยไม่ต้องกล่าวถึงนักสู้ที่อ่อนแอกว่าจอมยุทธ์มาก

อวี๋จื่อเจี้ยนพึมพำ “ช่างทรงพลังนัก!”

ความพึงพอใจปรากฏในดวงตาของฮัวเฉิงลู่แต่นางไม่ได้แสดงออกทางใบหน้า

อวี๋จื่อเจี้ยนถามด้วยความกังวล “เฉิงลู่ จะมีผู้บริสุทธิ์อยู่บนเกาะหรือไม่?”

ฮัวเฉิงลู่แนะนำอย่างจริงจังราวกับนางเป็นศิษย์พี่ที่แสนดี “จื่อเจี้ยน เจ้าไม่สามารถคิดเล็กคิดน้อยหากเจ้าต้องการบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เจ้ายังเด็กเกินไป”

จอมยุทธ์คนอื่นๆรู้สึกว่าหญิงผู้นี้สมกับที่มาจากตระกูลใหญ่ พวกเขาเพิกเฉยต่อคำถามของอวี๋จื่อเจี้ยนอย่างสิ้นเชิง ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกำจัดศัตรูที่อยู่บนเกาะ ผู้ใดจะสนว่ามีผู้บริสุทธิ์หรือไม่ พวกเขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือและเฝ้ามองศัตรูของพวกเขากลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว

วีรบุรุษอวี๋เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “จื่อเจี้ยน แม้จะมีผู้บริสุทธิ์ พวกเขาก็ยินดีสละชีวิตเพื่อโลกที่ดีขึ้น ผู้คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนโหดร้ายและเจ้าเล่ห์ หากเราไม่เด็ดขาดและฉลาดกว่าพวกเขา เราจะเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร? เจ้าต้องเรียนรู้จากคุณหนูฮัวให้มาก”

อวี๋จื่อเจี้ยนเม้มริมฝีปากแต่นางไม่พยายามตำหนิ นางรู้สึกว่าพ่อของนางเปลี่ยนไป ในอดีต หากนางกล้าพอที่จะกล่าวบางคำในทำนองนี้ต่อหน้าผู้คน พ่อของนางจะขมวดคิ้วและดุนาง หากนางไม่ยอมรับความผิด เขาจะชักดาบออกมา แม้เขาจะไม่เคยเหวี่ยงดาบใส่นางแต่เขาก็ไม่เคยใจดีกับนาง

เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกสาวของเขากับฮัวเฉิงลู่ วีรบุรุษอวี๋จึงได้รับความเคารพมากขึ้นจากคนในยุทธภพ เขาหัวเราะอย่างมีความสุขแม้แต่ในความฝันกับเรื่องนี้เพราะไม่เพียงอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดของอวี๋จื่อเจี้ยน แต่เขาในฐานะบิดาก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่เขาอ่อนโยนกับลูกสาวของเขามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่เขาอยู่ต่อหน้าฮัวเฉิงลู่ เขาจะแสดงตัวราวกับเป็นพ่อที่รักลูกสาวอย่างสุดซึ้งตลอดเวลา

ภายใต้คำเยินยอจากเหล่าจอมยุทธ์ ฮัวเฉิงลู่เผยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้าน นางโบกธงในมือและเปิดฉากยิงปืนใหญ่อีกครั้ง

ทั่วทั้งเกาะบุปผาลุกเป็นไฟขณะที่ควันจำนวนมากลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

กำแพงถล่มลงมาบนโล่ขนาดใหญ่และกระเด็นออกไป หลี่ฉิงซานลดโล่จิตวิญญาณลงและมองไปที่ทะเลสาบด้วยความประหลาดใจ ‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’

เขาไม่แปลกใจกับการมีอยู่ของปืนในโลกนี้ แต่เขาสงสัยว่าผู้ใดที่สอดมือเข้ามาและทำลายเกาะบุปผา

อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุดการกระทำของคนกลุ่มนั้นก็กลายเป็นการช่วยเหลือเขา ปืนใหญ่ไม่สามารถคุกคามชีวิตของเขา ขณะที่โล่จิตวิญญาณขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าโต๊ะไปแล้ว เขาเดินผ่านกองไฟราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

สำหรับนักสู้นอกรีตเหล่านั้น มันคือจุดจุบของโลก ไม่มีนักสู้แม้แต่คนเดียวที่สามารถตะโกนออกมาว่า “หากเจ้ามีปืนใหญ่ ข้าก็มีทักษะการต่อสู้ระดับเทพ!” พวกเขาถูกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา นั่นทำให้หลี่ฉิงซานไม่ต้องไล่ล่าเป้าหมายทีละคน

เสี่ยวอันข้ามผ่านระเบิดและมาถึงตัวหลี่ฉิงซานได้อย่างง่ายดาย

หลี่ฉิงซานพยักหน้า เสียงของเขาถูกกลบด้วยเสียงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตามริมฝีปากของเขาแยกออกจากกันและดูเหมือนจะพูดว่า “เริ่มได้!”

นัยน์ตาของทั้งคู่ส่องประกายขึ้น

เสี่ยวอันประสานมือในท่าสวดมนต์โดยมีลูกประคำหัวกะโหลกอยู่ระหว่างฝ่ามือ หลังจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและสวดมนต์อย่างเงียบๆ

เปลวเพลิงไหลออกมาเหมือนสายน้ำและกระจายออกไปอย่างเงียบๆผ่านควันหนาทึบก่อนจะกลืนกินซากศพทั้งหมด

สี่ร้อยยี่สิบเจ็ด...สามร้อยสิบเอ็ด...สองร้อยยี่สิบห้า...หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด...

เสี่ยวอันนับตัวเลขอยู่ในใจ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข เปลวไฟเริ่มไหลกลับมาหาเขาและโอบกอดเขาไว้เหมือนอสรพิษ สุดท้ายมันก็กลายเป็นรังไหมสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ

หลี่ฉิงซานมองรังไหมเพลิงโดยไม่ละสายตา เขากำหมัดแน่นและรู้สึกกระวนกระวายใจ

การระเบิดยังดำเนินต่อไป ลูกกระสุนปืนใหญ่เคลื่อนผ่านควันหนาทึบเข้ามาหาหลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานยื่นมือซ้ายออกไปและคว้าจับลูกกระสุนปืนใหญ่เอาไว้

“บึม!”

ลูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดในมือของเขาแต่เขายังมองไปที่รังไหมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

เวลาล่วงเลยไป หลังจากไม่นาน เสียงปืนใหญ่ก็หยุดลง หลี่ฉิงซานนั่งอยู่ข้างกำแพงที่พังทลายและใช้มือเท้าคาง

ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดหรือผู้ใดควรค่าแก่ความสนใจของเขานอกจากเสี่ยวอัน กระทั่งซวนเยว่หรือกู่เยี่ยนหยินจะมาที่นี่ มันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความทะเยอทะยานของเขาถูกระงับไว้ชั่วคราว

ฮัวเฉิงลู่ยิ้ม “มันจบแล้ว!” นางสะบัดธงเล็กๆในมือและออกคำสั่ง “ไปดูกัน!”

“นั่นคือสิ่งใด?” ทันใดนั้นบางคนก็ตะโกนและชี้ไปด้านหลังเรือ

ทุกคนหันกลับไปมองและตกตะลึง รถม้าวิ่งอยู่เหนือผิวน้ำและเคลื่อนที่ผ่านม่านหมอกเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันมาถึงเรือและหยุดลงที่นี่

ยายประจิมยกม่านขึ้นและขมวดคิ้ว นี่คือคลื่นทำลายล้างของตระกูลฮัว! นางเคยเห็นมันในเมืองชิงเหอมาก่อน หากนางจำไม่ผิด เรือจักรกลลำนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์จักรกลที่ยิ่งใหญ่หลายคน ปืนใหญ่มังกรไฟของมันทรงพลังมาก มันยังมีทหารหุ่นจักรกลอีกหลายร้อยตัว พวกมันล้วนมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์

นิกายเมฆาพิรุณแข็งแกร่งแต่พวกเขาก็ไม่อาจเพิกเฉยต่ออิทธิพลของตระกูลฮัว นางตะโกนเสียงดัง “นั่นคนตระกูลฮัวใช่หรือไม่?”

ฮัวเฉิงลู่กระโดดลงจากราวบันไดและตอบ “ข้าคือฮัวเฉิงลู่”

ยายประจิมกล่าว “เป็นเจ้า เจ้าขโมยเรือของครอบครัวออกมาเล่นงั้นหรือ? ระวังจะถูกลงโทษเพราะไปพัวพันกับพวกที่ไม่น่าไว้ใจ”

ไม่มีจอมยุทธ์คนใดคัดค้านการถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจ โดยไม่คำนึงถึงเพศ พวกเขาทั้งหมดต่างมองไที่ยายประจิมด้วยความหลงใหลและคร่ำครวญว่ามีหญิงามเช่นนี้อยู่บนโลกจริงๆ แม้แต่รอยเหี่ยวย่นของนางก็ยังมีเสน่ห์เหลือล้น