ตอนที่ 630 พบสหายเก่า? ทดสอบการทรยศ
ในระยะทางราวๆ 10 กิโลเมตรผ่านพื้นที่รกร้าง เย่คงและเจ้าอ้วนไห่สามารถเห็นแสงจากระยะไกล
ที่นั่นต้องมีทหารจำนวนมากทำพิธีบูชายัญเพื่อเร่งกระบวนการรื้อผนึกของปีศาจดึกดำบรรพ์แน่
พวกเขาตั้งใจจะไปถึงที่นั่นโดยเร็วเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ แต่ทุกคนหยุดพร้อมกันโดยไม่รู้ตัวเมื่อพวกเขาเห็นหลายร่างปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขา เย่คงพยักหน้าช้าๆให้ผู้เฒ่าซิงผานและกล่าว “พวกท่านทุกคนตรงไปเลย เราจะพยายามไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารถทำได้”
“เราเข้าใจ” ผู้เฒ่าซิงผานพาพะยูนนรกทั้งสองผ่านร่างดำทั้งสองและเร่งความเร็วไปที่พื้นที่ผนึกซึ่งห่างออกไปสิบกิโลเมตร
“.....” ร่างเหล่านั้นเพียงแต่มองอยู่เงียบๆไม่แสดงท่าทางว่าจะพยายามหยุดผู้เฒ่าซิงผานและคนอื่น
ทั้งสองฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องพูด
พวกเขาเริ่มเรียกอสูรของพวกเขา เตรียมตัวสู้เสี่ยงชีวิต
เย่คงเรียกคิงคองปีศาจและด้วงจอมพลัง.. เจ้าอ้วนไห่เรียกแรดเหล็กและฮิปโปน้อยและนกนางนวลสายลม.. ขณะที่ฝ่ายที่พวกเขาเผชิญหน้าผู้นำกลุ่มเรียกจ้าวมังกรทอง ตามมาด้วยอสูรระดับสูง มังกรปีศาจ ร่างของเขาก็เริ่มกลายเป็นปีศาจ มีเขาปรากฏบนหัวกรงเล็บงอกยาวจากนิ้วและมีหางเป็นงูอยู่ด้านหลังและสะบัดข้างๆ ไปมา ปีกค้างคาวของเขาสยายออกเกล็ดสีแดงงอกออกมาจากใต้ผิวของเขาซึ่งมีเพลิงปีศาจลุกไหม้
ด้านหลังของบุรุษผู้นี้นักสู้อื่นทุกคนเร่งพลังของพวกเขาเตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว
นักรบสองคนแข็งแกร่งที่สุดมีพลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับแปด ระดับของเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ไม่มีทางรับมือการต่อสู้นี้ได้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงเป้าหมายของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับแปดสองคนนี้ก็คือฮุยไท่หลาง!
พวกเขาเป็นสองในห้าขุนพลภายใต้บัญชาของราชาเฮยอวี้ หลังจากพยัคฆ์ศึกจ้านหู่และเป่ยเหลียวหยาตายในสมรภูมิมรณะคงเหลือแต่หนานเซี่ยตี๋และซีควงฟงที่มาในครั้งนี้ ความภักดีที่พวกเขามีต่อราชาเฮยอวี้ทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมสู้ตาย แม้ว่าพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเย่ว์หยางได้ แต่ความปรารถนาของเขาก็คือต้องการทำลายฮุยไท่หลาง กำจัดอสูรของเย่ว์หยางอย่างน้อยก็ยังนับว่าช่วยแก้แค้นให้ราชาเฮยอวี้
สองนักสู้ปราณก่อกำเนิดนี้ก็คือวัวและอินทรีแก่
พลังความเข้มแข็งของแต่ละคนยังน้อยกว่าพยัคฆ์ศึกจ้านหู่หรือเขี้ยวเหนือเป่ยเหลียวหยา อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองยังอยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดระดับแปดซึ่งไม่ควรมองข้าม
นอกจากหนานเซี่ยตี๋และซีควงฟงแล้วยังคงมีปีศาจระดับปราณก่อกำเนิดอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดเป็นแม่ทัพผู้ภักดีจากกองกำลังของราชาเฮยอวี้ แต่ละคนมีลักษณะดุร้ายอำมหิตเตรียมพร้อมจะเข้าต่อสู้จนตายกับเย่คง เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่
พวกเขาไม่สนใจว่าพวกเขาถูกหรือผิด พวกเขารู้แต่เพียงว่าราชาเฮยอวี้ตายแล้ว
ขณะที่พวกเขาทุกคนเตรียมตัวสู้ตายเพื่อเจ้านายของพวกเขา เหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะพวกเขาร้องการทำลายเย่ว์หยางและบริวาร การล้างแค้นคือทั้งหมดที่พวกเขาคิดได้
“เป็นเจ้า?” เสวี่ยทันหลางเร่งพลังของเขาจนถึงระดับสูงสุดก่อนที่เขาจะยืนขึ้นและชี้ไปที่ร่างแปลงเป็นปีศาจและกล่าว “ไป๋หวินเฟย ข้าไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นเจ้า!”
“ดูเจ้าสิ,เปลี่ยนร่างเป็นอะไรไป ไม่ใช่ทั้งมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด เจ้าสละศักยภาพตนเองเพื่อแลกกับพลังหรือ? เจ้าเผาผลาญพลังชีวิตของเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับความรุ่งเรืองชั่วคราวหรือ? ข้าไม่รู้เลยว่าจะพูดกับเจ้าต่อไปยังไง! เราคิดว่าเจ้าสามารถเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เจ้าไม่มีค่าพอจะเป็นตัวตลกได้ด้วยซ้ำ และเจ้า เซี่ยเชียนเริ่นเจ้าก็ยังเป็นตัวบัดซบคนหนึ่ง” องค์ชายเทียนหลัวปกติจะเป็นคนสุภาพและใจเย็น อย่างไรก็ตามวันนี้กลับยกเว้น
เมื่อเขาเห็นร่างที่อยู่ต่อหน้าเขา เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้ต่อไป
เขาต้องการจะระบายความโกรธและด่าว่าฝ่ายตรงข้าม
ร่างที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาซึ่งกลายเป็นร่างปีศาจคือประมุขน้อยนิกายเขาหมอกไป๋หวินเฟย
ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของไป๋หวินเฟยก็คือคู่แข่งความรักของสหายที่น่าสงสารเซี่ยเชียนเริ่นและอีกคนที่เกือบจะจำไม่ได้ ได้แต่อนุมานจากลักษณะจากเซี่ยเชียนเริ่น เย่คงสามารถจำได้ว่าเขาคือเจ้าบัดซบเซี่ยเชียนชิว
เซี่ยเชียนชิวถูกทำร้ายจนพิการก่อนนั้น แต่เขาดูเหมือนจะยินดีในตอนนี้ นี่ต้องเป็นเพราะมีคนใช้วิธีการลับรักษาเขาและยังช่วยให้เขาเข้าถึงระดับปราณก่อกำเนิดอีกด้วย
หรือบางที่จะเป็นนักสู้ปราณดินระดับสอง
กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดโดยไม่มีคัมภีร์อัญเชิญมนุษย์ปราณก่อกำเนิดดัดแปลงผู้ไม่ได้เข้าถึงขอบเขตปราณก่อกำเนิดโดยใช้พลังตนเองและการปรากฏตัวของเขาจะคล้ายกับสัตว์ประหลาดระดับปราณดินในแดนสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะมีพลังมาก แต่ขอบเขตการรู้แจ้งของเขายังต่ำ เซี่ยเชียนชิวกลายเป็นนักสู้ปราณดินระดับสองและคล้ายๆ กัน เซี่ยเชียนเริ่นก็เป็นนักสู้ปราณดินระดับสองชั้นสูง ขณะที่ไป๋หวินเฟยเป็นนักสู้ปราณดินระดับสาม พวกเขามีพลังยิ่งใหญ่ แต่ปัญหาก็คือคัมภีร์อัญเชิญของพวกเขากาลายเป็นของประดับเท่านั้น
คัมภีร์อัญเชิญไม่สามารถยอมรับพลังของพวกเขาที่ได้รับมาโดยผ่านพิธีกรรมลับ
สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อแลกศักยภาพของพวกเขาเพื่อให้ได้พลังที่แท้จริงแต่ช่วงเวลารุ่งเรืองจะไม่คงอยู่ตลอดไป
“ฟงชิซา, เหยียนพั่วจวิน,เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัว พวกเจ้าทุกคนไม่มีสิทธิ์มาหัวเราะเยาะข้า พวกเจ้าทุกคนได้พลังมาโดยผ่านการรู้แจ้งพลังธรรมชาติหรือ? ไม่เลยทั้งหมดได้มาจากเจ้าระยำคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ไม่มีเขา พวกเจ้าทุกคนจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้หรือ?” ไป๋หวินเฟยยังคงเงียบขณะที่เซี่ยเชียนเริ่นกับปีกขนาดใหญ่และหางสิงโตได้ตะโกน “พวกเจ้าทุกคนโชคดีที่มีคุณชายสามตระกูลเย่ว์ช่วยพวกเจ้า ส่วนเรามีใครช่วย? ไม่ยุติธรรมเลย พวกเจ้าคิดว่าเราจะยอมอ่อนแอและยอมรับชีวิตที่อ่อนแอหรือ? ไม่เลย, เราไม่มีทางอ่อนแอกว่าเจ้า สิ่งเดียวที่เราขาดก็คือโชคเล็กน้อย! ความจริงนี้จะพิสูจน์ว่าถ้าเราได้รับโอกาสเหมือนกันเราอาจเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ได้!”
“เหลวไหล! พวกเจ้าน่ะหรือนักสู้ปราณก่อกำเนิด?” เสวี่ยทันหลางไม่สนใจแม้แต่จะมอง
“เสวี่ยทันหลาง ไม่ว่าเจ้าจะดูแคลนข้ามากเพียงไหนแต่ตอนนี้ข้าก็อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า อาจจะแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าด้วยซ้ำ! ใช่เลย,เจ้าสามารถเสแสร้งพูดว่าเจ้าเข้าใจวิถีของนักสู้ปราณก่อกำเนิด ขณะที่เราต้องใช้การฉีดเลือดปีศาจเข้าไป แล้วไงเล่า? ตราบใดที่เจ้าเชื่อว่าโลกนี้ปกครองโดยอำนาจพลัง คนที่มีพลังจะเป็นผู้ชนะ!” เซี่ยเชียนเริ่นไม่อาจยืนเฉยทนให้เสวี่ยทันหลางดูถูก เขาตะโกนลั่นด้วยความโกรธ
“เจ้าทุกคนคิดว่าพลังแบบนี้คือทุกอย่างหรือ?” ฟงชิซาถอนหายใจเบาๆ
“ไป๋หวินเฟย, เชียนเริ่น, กลับตัวกลับใจเสียเถอะ!” เหยียนพั่วจวินก้าวออกมายื่นมือกล่าว “ข้าก็เคยตกต่ำเดินทางผิดเหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ แต่โชคดี ข้ายังสามารถกลับสู่วิถีที่ถูกต้องได้ ข้านึกถึงช่วงเวลาแบบนั้นแล้วรู้สึกหนาวสะท้านทุกครา พวกเจ้าจงกลับใจซะเถอะ พลังเหล่านี้เป็นแค่ภาพลวงตา มันไม่ใช่ของจริง!”
“พวกเจ้าหน้าซื่อใจคดแสดงคุณธรรมจอมปลอม เหยียนพั่วจวิน! ข้ามองเห็นความคิดของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครเจ้ารู้แต่จะพึ่งพาตระกูลของเจ้ายินดีให้คุณชายสามตระกูลเย่ว์จูงเจ้ามาถึงจุดนี้ เจ้ากล้าสอนข้าได้ยังไง? ละอายตัวเองบ้างไหม? ดูตัวเจ้าเองเสียบ้างเป็นแค่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่ง ระดับที่ต่ำที่สุด ขณะที่ข้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับที่สองแล้ว นี่ไงที่เจ้าดูถูก ภาพลวงตาอะไรกัน? ข้า,เซี่ยเชียนชิวจะฆ่าพวกเจ้าและฝังเจ้าไว้ที่นี่ บันไดสวรรค์ชั้นที่หนึ่งแห่งนี้ ข้าจะดับความหวังความฝันของตระกูลเหยียน นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าเรียกว่าภาพลวงตา ฝ่าบาทเจ้าปีศาจสามารถให้ชีวิตนิรันดร์กับข้าได้ ตราบใดที่ข้ามีส่วนร่วมข้าจะได้รับพลังมากขึ้น ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกปรือ ในอนาคตอย่าว่าแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสองเลยข้าอาจเป็นสุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสองด้วยซ้ำ ขณะที่พวกเจ้าทุกคนจะเหลือแต่กระดูกถูกฝังถูกเยาะเย้ยอยู่ในดินแดนรกร้างแห่งนี้ร่างของเซี่ยเชียนชิวเต็มไปด้วยหนอนและหนวดสัตว์ที่มีลูกตางอกขึ้นบนผิวของเขา ลักษณะที่เห็นนั้นน่ารังเกียจอย่างแท้จริง
“........” เหยียนพั่วจวินได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจและถอยหลังออกมา
“แปะแปะ แปะ แปะ!” เย่คงปรบมือเสียงดังเห็นด้วยกับเซี่ยเชียนชิวและยกย่องเขา
“มีคำกล่าวว่าความโง่เยียวยาไม่ได้! ตอนนี้ข้าเข้าใจความหมายของคำนี้ดีแล้ว นี่ไงเล่าที่มันเป็นไป!” เจ้าอ้วนไห่พยักหน้าเห็นด้วย “เนื่องจากเราเป็นศัตรูกัน ไม่อะไรต้องพูดต่อไปอีกแล้ว มาสู้กันเลย! นี่ไม่ใช่การต่อสู้ภายในทวีปมังกรทะยาน เป็นการสู้ของคนธรรมดากับคนสมองกลวง”
พี่น้องตระกูลหลี่เชื่อมโยงจิตใจกัน
พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่วิ่งออกไปสู้คนที่พวกเขาต้องการจัดการก็คือเซี่ยเซียนชิวที่ไม่เพียงแต่หัวเราะเท่านั้นแต่ยังเยาะเย้ยพวกเขาด้วย
ไป๋หวินเฟยยกมือทั้งสองขึ้นและสร้างคลื่นกระแทก คลื่นกระแทกพุ่งออกมาปะทะใส่พี่น้องตระกูลหลี่ถอยกลับไปยังมุมของพวกเขา
เขาชี้นิ้วมาที่เสวี่ยทันหลาง “ภายในทวีปมังกรทะยาน นอกจากคุณชายสามตระกูลเย่ว์แล้วเจ้ามีพรสวรรค์และพลังมากที่สุด ระหว่างประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน ข้าพลาดโอกาสจะสู้กับเจ้า วันนี้เจ้าไม่ตายก็เป็นข้าสิ้น ในโลกนี้ผู้ชนะจะได้ทุกอย่างและคนชนะเลิศจะได้รับพลังเต็ม ใครก็ตามคือผู้ชนะวันนี้ก็จะได้เป็นที่รู้จักว่าคืออัจฉริยะของทวีปมังกรทะยาน!”
เสวี่ยทันหลางเดินขึ้นมาข้างหน้าด้วยท่าทีภาคภูมิและพูดเสียงเยือกเย็น “อัจฉริยะผู้มีชื่อเสียง? ชีวิตผู้ชนะ? อาจจะไม่ใช่ข้าก็ได้ แต่คงไม่ใช่เจ้าแน่นอน!”
ทั้งสองฝ่ายกำลังกระตุ้นความโกรธและเกลียดกัน
ด้วยการตะโกนใส่กันกับอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างพบคู่ต่อสู้กันและการสู้ของพวกเขาเป็นการสู้ตาย..
อีกทางด้านหนึ่ง เย่ว์หยางยังคงมุ่งหน้าไปที่ผนึกด้านขวากับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเสี่ยวอู๋เสีย ขณะนั้นเองเขาหยุดเคลื่อนไหว
คนที่ยืนอยู่หน้าพวกเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งสวมหมวกฟาง
ร่างนั้นยืนอยู่ตามลำพังเหมือนกับภูตพราย
ในทางกลับกันดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเย่ว์หยางจะมาทางด้านนี้ เขากำลังรออย่างสงบ แค่รอเขาอย่างอดทนและเงียบงัน ก็เหมือนเมื่อเขารอราชาเฮยอวี้ เขาหันหลังให้เย่ว์หยางตามปกติด้วยเชื่อว่าเย่ว์หยางเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง ที่จะไม่มีการลอบโจมตี เขายืนมือไพล่หลังขณะที่ยืนอยู่บนเสาหักต้นหนึ่ง
เย่ว์หยาง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเสวี่ยอู๋เสียและเจ้าเมืองโล่วฮัวไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน
แต่จากรูปลักษณ์อย่างเดียวทำให้พวกเขาเข้าใจว่าคนผู้นี้เป็นใคร
วันนี้ นี่คือร่างสิงของวิญญาณเจ้าปีศาจดึกดำบรรพ์...
“คุณชายสามตระกูลเย่ว์, เจ้าทราบไหมว่าข้าเป็นใคร?” ร่างเงาที่ทอดขวางนั้นถามอย่างไม่เกรงกลัว“ประหลาดใจหรือ? ความจริงข้าไม่ต้องการออกมาพบเจ้าเร็วนักหรอก เจ้าเป็นแค่ของเล่นสนุกที่ข้าต้องการเล่นด้วย กับเจ้านั้นทำให้ชีวิตของข้าตื่นเต้นมากขึ้นคล้ายๆ กับช่วงเวลาที่จักรพรรดิอวี้ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเขาปรากฏตัวบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็เพิ่มเข้ามาในชีวิตข้า เจ้ายังไม่ใช่ระดับเขา จักรพรรดิอวี้คือของเล่นสง่างามที่ข้าเล่นด้วย ข้าชื่นชมเขา ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้านะคุณชายสามตระกูลเย่ว์ ของเล่นชิ้นแรกที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ในหลายพันปีมานี้... เพราะอย่างนั้นข้าจึงตัดสินใจออกมาพบเจ้า มอบเป้าหมายที่แท้จริงให้เจ้า เจ้าก็รู้ว่าถ้าเจ้าไม่พยายามให้หนักพอ เจ้าจะตายอย่างสยดสยอง”
“เจ้าเพี้ยนไปเพราะหลงยุคหรือเปล่า?” เย่ว์หยางจ้องมองเขาเหมือนกับว่าเขาเพิ่งพบคนป่วยโรคจิต
“ไม่เลย, ข้ารับรองเจ้าได้ว่าข้าไม่มีปัญหาสภาพจิตใจ เจ้าพูดแบบนี้ก็เพราะเจ้ากลัว เจ้ากลัวข้า!”เงาร่างในหมวกฟางนั้นเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าเป็นแค่ร่างสิงของจ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์ไม่ใช่หรือ ยังมีอะไรน่ากลัว? เจ้าขู่ได้แต่เด็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับเรา แค่นี้ยังไม่เพียงพอ” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนชักดาบเทพจักรพรรดิอวี้จากฝักที่ด้านหลังนางออกมาถือไว้ ขณะเดียวกันนางก็เร่งเร้าพลังพยายามเรียกพลังของดาบเทพและปณิธานของจักรพรรดิอวี้ ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกเหมือนกับว่ามีดาบเทพลอยอยู่ในอากาศและดาบนี้สามารถตัดแบ่งโลกและสวรรค์ได้ ดาบกดดันทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่
“เจ้าทุกคนต้องการฆ่าข้างั้นหรือ? ยังเร็วเกินไป!” เงาร่างที่ถูกพลังดาบเทพกดดันยังสามารถพูดได้ตามปกติ “ข้าไม่โง่เหมือนกับเฮยอวี้แน่ ถ้าข้าเห็นอันตรายด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ออกมาพบกับเจ้าด้วยตัวเองแน่”
“เจ้าต้องการพูดอะไร?” เจ้าเมืองโล่วฮัวก้าวออกมาและจับมือเย่ว์หยางเพื่อประคองเขาไม่ให้เขาสูญเสียความคิดและบุ่มบ่ามใจร้อน
“ข้าเพียงแต่ออกมาทักทาย” ร่างเงานั้นถอนหายใจ “ความจริงข้าอยากจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนในตอนนี้จริงๆ แต่ข้ายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“อย่างนั้นก็ไปซะ!” เย่ว์หยางถูกยั่วให้ใช้พลังรหัสโบราณเพื่อทำลายคนผู้นี้ แต่เขาคาดว่าถ้าเขาฆ่าร่างเงานี้ไป ทั้งหมดที่เขาทำลายก็คือหนึ่งในหลายร่างสิงของวิญญาณจ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์ และไม่มีผลอะไรต่อวิญญาณของเขาแม้แต่น้อย ทั้งหมดที่จ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์ต้องทำก็คือแค่หาร่างใหม่อีกคนหนึ่ง จากนั้นก็มาก่อเรื่องยุ่งยากให้เขา เขาไม่มีทางฆ่าได้หมดสิ้น เขาจำเป็นต้องได้จุดอ่อนของจ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์
เป็นไปได้ว่าร่างสิงนี้มาที่นี่เพื่อทดสอบเขา
เขาต้องการทดสอบและทำความเข้าใจพลังของเย่ว์หยาง
ใช้ร่างสิงเพื่อแลกความรู้พลังที่แท้จริงของเย่ว์หยาง...แผนการนี้คือเป้าหมายที่แท้จริงของจ้าวปีศาจดึกดำบรรพ์
เย่ว์หยางจะไม่หลงกลเขายกมือขวาและเรียกดาบเทาเถี้ยเตรียมเข้าสู้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เสวี่ยอู๋เสียผู้สังเกตการณ์และเจ้าเมืองโล่วฮัวที่คอยให้กำลังใจวางตัวอย่างเหมาะสม
เมื่อเงาร่างรู้สึกว่าเย่ว์หยางไม่หลงกล เขาโบกมือ มิติแตกออกเป็นร่องแสงสีเงิน
มันหายไป
เขาไม่ต้องการสู้กับเย่ว์หยางในวันนี้จริงๆ
เขาเกรงว่าความลับของเขาจะถูกเปิดเผยและเย่ว์หยางจะสามารถมองเห็นเขาได้!