ตอนที่ 31 ตีบวกรูนิกและบุกยามกลางคืน
ตอนที่ 31 ตีบวกรูนิกและบุกยามกลางคืน
หินธาตุ มีลักษณะเป็นผลึกที่มีรูปทรงไม่ตายตัว จะแบ่งตามสีของธาตุเสริมพลังความสามารถที่แตกต่างกันออกไป
อย่างเช่นหินธาตุดินจะมีสีน้ำตาล มีความสามารถในการสนับสนุนด้านน้ำหนักและแรงให้กับรูนิก
ซึ่งเป็นการตีบวกให้กับรูนิก ระดับของรูนิกจะรองรับการตีบวกได้จำกัด โดย 1 ระดับทำได้ 4 ครั้งหรือก็คือ ระดับ 1 มี 4 ขั้นย่อย ทุก ๆ 1 ขั้นย่อยจะทำการตีบวกได้ 1 ครั้ง ไม่สามารถทำได้เกิน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม จะเสียจำนวนครั้งไปในทันที
ตอนนี้เรนมีหินธาตุดิน หินธาตุโลหะ หินธาตุไฟอย่างละหนึ่ง ธาตุดินเกี่ยวกับการน้ำหนักและแรงและธาตุโลหะเกี่ยวกับความแข็งและทนทาน ส่วนธาตุไฟนั้นไม่เหมาะ เพราะรูนิกหมีดำภูเขาไม่มีความสามารถเกี่ยวกับไฟ
ตัวเลือกของเรนจึงเหลือสองตัวคือหินธาตุหินกับหินธาตุโลหะ สุดท้ายเรนเลือกหินธาตุดิน เพราะว่ามันมีประโยชน์มากที่สุด สิ่งนี่เพิ่มพลังและแรงในการโจมตีให้กับรูนิกหมีดำภูเขาของเรนได้
ส่วนหินธาตุโลหะมันยังไม่จำเป็น เพราะเรนไม่ต้องกลัวโดนกัดเพราะเขามีภูมิต้านทานตามธรรมชาติอยู่
“ไว้หลังรวบรวมเหรียญทองได้อีก 200 ค่อยตีบวกหินธาตุโลหะ”
เรนทำการตีบวกหินธาตุดินให้กับรูนิกหมีดำภูเขาทันที
“รูนิกหมีดำภูเขา + หินธาตุดิน + เหรียญทองระบบ 100 เหรียญ”
ใช้เวลาไม่นานรูนิกหมีดำภูเขาก็ตีบวกธาตุเสร็จเรียบร้อย เรนรีบตรวจสอบมันดูในทันที
“รูนิกหมีดำภูเขา (1) : ระดับ 1 ขั้นกลาง (+1ธาตุดิน) พลังงานที่ใช้ 3 หน่วยต่อชั่วโมง สภาวะแรก ‘จำลองพลัง’ ใช้พลังงาน 10 หน่วย สภาวะที่สอง ‘ผสานร่าง’ ใช้พลังงาน 20 หน่วย สภาวะที่สามหลอมรวมสมบูรณ์ใช้พลังงาน 30 หน่วย”
ในข้อมูลมีการเพิ่ม (+1 ธาตุดิน) เข้ามา หมายความว่าเรนทำสำเร็จแล้ว
‘ไว้มีโอกาสค่อยทดลองใช้มันดูและต้องหาอีก 30 เหรียญทองเพื่อตีบวกธาตุโลหะให้กับรูนิกหมีดำภูเขา’ เรนบอกกับตัวเองในใจ
เขาเหลือเหรียญทองอีก 170 เหรียญเท่านั้น
หลังจัดการเรื่องของตนเองเสร็จเรนก็เอาหินอัพเกรด (1) จำนวน 2 ชิ้นไปให้กับอาจารย์หลิน หลังจากนั้นหลินก็เริ่มอัพเกรดรูนิกปืนพกฯ
“รูนิกปืนพกฯ + หินอัพเกรด + เหรียญทองระดับ 100 เหรียญ”
ใช้เวลาไม่นานรูนิกปืนพกก็ได้รับการอัพเกรดเป็น ระดับ 1 ขั้นต้น เหรียญทองหลินเหลือเพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น เธอจึงไม่ได้อัพเกรดต่อ
เรนเองก็ไม่ได้ยุ่งกับเงินส่วนนั้นของหลิน เพราะเขารู้ว่าเหรียญทองระบบนั้นสำคัญ อาจารย์หลินจำเป็นต้องใช้พวกมันไม่ต่างจากเขา
...
ตกกลางคืนวันนี้สภาพอากาศนั้นหนาวเย็นกว่าปกติ คนที่ออกมาเฝ้ายามในวันนี้คือ ตำรวจเต้ เขาถือปืนและเล็งลงมาจากดาดฟ้า
รอบ ๆ สถานีตำรวจมีการตั้งถังเหล็กและก่อกองไฟไว้เพื่อให้เป็นแสงสว่างรอบ ๆ ที่ต้องใช้การก่อกองไฟ เพราะไฟฟ้าจากสายไฟนั้นดับไปแล้ว ส่วนไฟฟ้าที่ได้มาจากเครื่องปั่นไฟสำรองพวกเขาจำเป็นต้องประหยัด ดังนั้นทางออกคือเชื้อเพลิงที่หาได้ทั่วไปอย่างต้นไม้รอบ ๆ สถานีตำรวจ
บนดาดฟ้าของสถานีเต้กำลังนั่งหาวด้วยความเบื่อหน่าย เขารู้สึกหนาวมากในกลางคืนแบบนี้ นอกจากตำรวจเต้แล้วข้าง ๆ ยังมีผู้รอดชีวิตชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อาสามาช่วยเฝ้ายาม เนื่องจากการตายของจ่าวัฒน์และเดฟทำให้คนไม่พอ
ทั้งสองไม่มีปืน เพราะผู้กองเชนยังระวังในเรื่องนี้ ตำรวจคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยที่จะไม่ให้ประชาชนทั่วไปถือปืน ส่วนกรณีของเรนและพวกเป็นการยกเว้น แม้จะผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ จะรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาอยากท้วงเรื่องนี้ แต่พอทราบเหตุผลว่าทั้งกลุ่มแค่พักชั่วคราวและจะจากไปในอีกหนึ่งถึงสองวันนี้ ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ จึงไม่ทักท้วงเรื่องปืนกันอีก
แต่ว่าพวกเขายังขอพกพวกอาวุธมีด อย่างน้อยก็เพื่อความอุ่นใจว่ามีอาวุธไว้ป้องกันตัวเองบ้าง ผู้กองเชนก็ไม่ได้ขัดอะไร
“คุณตำรวจ คุณพูดจริง ๆ ใช่ไหมเรื่องที่เกิดขึ้นที่ฐานวิจัยลับใต้ดินของรัฐบาล” ชายหนุ่มที่มาช่วยเฝ้ายามถาม หญิงสาวอีกคนก็ฟังอย่างตั้งใจ
ทั้งสองมีท่าทางเคารพตำรวจเต้มาก เพราะในตอนนี้หลังจากการตายของสองตำรวจ อำนาจของเต้จึงมากขึ้นด้วย ทำให้ผู้รอดชีวิตทั้งสองอยากเข้ามาตีสนิท
“แน่นอนสิ ที่นั่นเลวร้ายมาก แต่ว่าฉันก็ยังสามารถสังหรณ์ผู้ติดเชื้อพวกนั้นด้วยมีดเพียงเล่มเดียว ต่อมาพวกเราก็ย้อนกลับมาที่ลิฟต์และพาคนอื่น ๆ ออกมา ที่นั่นยังมีพวกผู้ติดเชื้อสุดบ้าคลั่งอีกมาก มันน่าขนลุกจริง ๆ”
“พี่ชาย ถ้าพวกมันมาพี่ชายช่วยปกป้องฉันด้วยได้ไหม” หญิงสาวขยับมาใกล้กับตำรวจเต้และจงใจก้มตัวลงเล็งนี้เพื่อให้เห็นหน้าอกของเธอ
“เออได้สิ” เต้ตอบโดยไม่มองหน้า เพราะสายตาเขาโดนความขาวดึงความสนใจไปหมด
“ลูกพี่ผมจะติดตามลูกพี่ด้วย” ชายหนุ่มคนนั้นแม้ไม่มีสิ่งรอตาล่อใจ แต่เขาก็มีความสามารถในการเลียแข้งเลียขา
“ฮ่า ๆ แน่นอน ไว้รอฉันได้พลังสุดยอดมาก็จะไม่ลืมพวกคุณแน่นอน” ตำรวจเต้หัวเราะออกมาและถือโอกาสสัมผัสตัวหญิงสาวเล็กน้อย
หญิงสาวยิ้มอย่างมั่นใจและส่งสายตาหยอกเย้าใส่ตำรวจเต้
ชายหนุ่มที่อยู่ด้วยแม้จะอิจฉา แต่ก็เข้าใจบรรยากาศ เขาลุกขึ้นทำท่าเดินออกไปตรวจดูมุมอื่น ชายหนุ่มมองออกไปด้านนอก ซึ่งทางนั้นเป็นด้านหน้าของสถานีตำรวจวอริก ที่ 8 มันมีถังที่ใส่ฝืนอยู่สองถังตั้งซ้ายขวาของประตู ทำให้มรแสงสว่างค่อนข้างเยอะกว่าจุดอื่น ๆ
“คอยดูเถอะ ถ้าฉันมีปืนบ้างสาว ๆ ที่นี่จะต้องมาหาฉันแน่นอน” ชายหนุ่มแอบมองตำรวจเต้และหญิงสาวสวยคนนั้นหยอกเย้ากันไปมา
แต่พอชายหนุ่มดึกสายตากลับ ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นว่าที่ประตูมีใครร่างคนยืนอยู่
ชายหนุ่มรู้สึกตกใจและคิดว่าตัวเองตาฝาดไป เพราะด้านนอกลมแรงพอสมควร เปลวไฟจึงวูบไหวไปมา แต่เมื่อเขาจ้องมองให้ดีก็พบว่ามันมีร่างคนปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันพากันเดินเข้ามาและชนเข้ากับประตูกรงเหล็ก
เสียงประตูกรงเหล็กโดนกระแทกไปมาทำให้ดึงดูดความสนใจของเต้และหญิงสาว
ตำรวจเต้และหญิงสาวรีบลุกขึ้นและรีบเดินไปดู ก็เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นตกใจจนหน้าซีดและยืนแข็งทื่อค้างอยู่แบบนั้น
“เกิดอะไรขึ้น!” ตำรวจเต้มองออกไปที่ประตูเข้าก็ตกใจในสิ่งที่เห็นเช่นกัน เขาก้าวถอยหลัง ก่อนจะรีบลงจากดาดฟ้า
ผู้กองเชนในตอนนี้กำลังจับแหวนในนิ้วของตัวเองและมองดูแหวนอีกวงที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากศึกษาข้อมูลจากแหวนมาแล้ว ผู้กองเชนจึงเข้าใจมากขึ้น ถึงข้อมูลบางส่วนที่เรนปกปิดเขาไว้
แต่ว่าผู้กองเช่นก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอะไร เนื่องจากตอนนี้เขานั้นได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการมาแล้ว
ปัง!
ประตูถูกเปิดเข้าไปอย่างแรง
“ผู้กอง! เกิดเรื่องใหญ่แล้วมี...มีผู้ติดเชื้ออยู่ที่นี่หน้าประตูด้านหน้า” ตำรวจเต้ตะโกนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้กองเงยหน้าถาม เพราะได้ยินไม่ชัด
“มีผู้ติดเชื้อกำลังบุกมาที่นี่” ตำรวจเต้พูดพร้อมกับวิ่งไปเปิดหน้าต่าง
ผู้กองรีบวิ่งมาดูด้านนอกมีแสงจากกองไฟกระทบใบหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นมีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่แน่ชัด แต่เมื่อกะจากสายตาพวกมันมีกันนับร้อย ๆ ตัวและนี่ยังเป็นเพียงผู้ติดเชื้อที่เห็น
ยังมีผู้ติดเชื้อในเงามืดที่พยายามดันผู้ติดเชื้อด้านหน้าเข้ามาอีกมาก
พวกผู้ติดเชื้อพูดไม่ได้ก็คำรามไม่หยุด ส่วนตัวที่พูดได้และแข็งแรงกว่าก็เริ่มทำตามสัญชาตญาณมันเขย่ารั้วเหล็ก ภายใต้แรงของผู้ติดเชื้อหลายร้อยคนที่ช่วยกันเขย่ารัวสุดท้ายรั้วเหล็กก็พังลง
ผู้ติดเชื้อเข้ามากด้านในอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของพวกมันชัดเจนมาก คือการเข้ามาในสถานีตำรวจที่มีกลุ่มมนุษย์อาศัยอยู่จำนวนมาก
กลิ่นของมนุษย์ที่มีชีวิตกระตุ้นความกระหายของผู้ติดเชื้อ
“ไปรวมคนมาช่วยยิงพวกมัน” ผู้กองพูดออกมาขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่ผู้ติดเชื้อที่เข้ามา ซึ่งน่าจะเพิ่มเป็นสองสามร้อยแล้วและยังหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
ผู้กองหันไปข้าง ๆ ก็เห็นว่าตำรวจเต้ยังยืนอึ้งอยู่จึงตะโกนเพื่อเรียกสติ “ไปสิ!”
ตำรวจเต้สะดุ้งตกใจก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป ผู้กองเองก็คว้าเอาปืน AR15 และวิ่งออกไปจากห้องลงไปที่ชั้นสองระหว่างนั้นเขาวิ่งสวนกลับดาบอินพอดี
“ผู้กอง! เกิดอะไรขึ้น” ดาบอินที่พึ่งตื่นถามด้วยท่าทีงัวเงีย เขามาพร้อมกับปืนคู่กายของตนเอง
“ไปที่ชั้นสองยิงพวกผู้ติดเชื้อเร็ว” ผู้กองเช่นพูดด้วยความรีบร้อน ก่อนจะลงไปทางบันได
ดาบอินที่ได้ยินคำว่าผู้ติดเชื้อก็หายง่วงในทันที เขาวิ่งตามผู้กองไป ทั้งสองเริ่มยิงถล่มใส่ผู้ติดเชื้อ เมฆ เต้ ลีทั้งสามก็รีบไปช่วยกันยิงผู้ติดเชื้อที่บุกมาถล่มสถานีตำรวจ
...
เรนและกลุ่มที่หลับอยู่ พอพวกเขาได้ยินเสียงที่ผิดปกติก็พากันสะดุ้งตื่นในทันที
“เสียงมาจากด้านนอก” เรนรีบลุกขึ้นและวิ่งไปดูที่หน้าต่าง
ไม่ใช่แค่กลุ่มของเรนที่ลุกไปดู ผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ก็ด้วย พวกเขาพากันไปดูที่หน้าต่างก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนมากพังประตูเข้ามาและมุ่งหน้ามาหาพวกเขา
กรีด...
หญิงสาวบางคนตื่นกลัวกรีดร้องโวยวายกันทำให้ผู้ติดเชื้อมุ่งหน้าตามเสียงมาทันที
“หุบปากซะ อยากให้มันมากินพวกเราหรือยังไง” ในกลุ่มของผู้ติดเชื้อมีคนตะโกนใส่หญิงสาวที่กรีดออกมา
“ทำยังไงกันดี”
“นั้นพวกตำรวจยิงพวกมันแล้ว เรารอดแล้ว”
ผู้รอดชีวิตมองไปที่ตำรวจที่ยิงใส่พวกมันจากห้องที่เก็บอาหาร เสียงดังวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อจำนวนมากล้มลง แต่เพราะมันมีมากเกินไปจึงมีตัวที่มาถึงชั้นล่าง มันก็พากันทุบและทำลายหน้าต่าง เพื่อหาทางเข้ามาด้านในอาคาร
ยังดีที่อาคารของสถานีตำรวจจะมีกรงเหล็กติดตั้งไว้ ทำให้พวกมันยังไม่สามารถพังลูกกรงเหล็กที่ติดตามหน้าต่างหรือประตูเข้ามาได้
“เอายังไงกันดี เราลงมือยิงด้วยไหม” ธันวาถามเรน เขายกปืนเล็งไปที่ผู้ติดเชื้อ
ในมือของเรนปรากฏรูนิกคันธนูขึ้นมาพร้อมกับรูนิกลูกศร
“ลุยกันเลย”