บทที่ 20 ฟังดนตรีและฆ่าฟัน!
โรงละครแห่งนี้ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองหลินเฟิง ผนังถูกประดับด้วยลวดลายโบราณ ไม่เพียงแต่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามอีกด้วย ประตูสีชาดตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นพร้อมกับแผ่นโลหะสีดำ
แผ่นโลหะถูกสลักไว้ด้วยสามคำสั้นๆ: [ ศาลาชมจันทร์ ]
เมื่อคนรับใช้ที่หน้าประตูเห็นหลี่หราน เขาก็รีบเดินเข้ามา
“นายน้อย ท่านมาที่นี่เพื่อฟังดนตรีหรือชมการแสดงขอรับ?” เขาได้เห็นผู้คนมานับไม่ถ้วนและมีสายตาที่เฉียบแหลม จากเครื่องแต่งกายและบรรยากาศของหลี่หราน เขาสามารถบอกได้ว่าหลี่หรานเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างแน่นอน
หลี่หรานหยิบตั๋วสองใบออกมาแล้วยื่นให้เขา
คนรับใช้มองไปที่ตั๋วด้วยดวงตาที่สว่างขึ้น “กลายเป็นว่าท่านคือแขกผู้มีเกียรติ!”
ทัศนคติของเขากลายเป็นเคารพมากขึ้น เขาป้องมือให้และนำหลี่หรานเข้าไปด้านใน
“นี่คือตั๋วสำหรับสองคน ท่านน่าจะมีคนมาด้วยใช่หรือไม่ขอรับ?” คนรับใช้ถาม
หลี่หรานมองเหลิงอู่เหยียนที่ด้านข้างของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นางจะมาที่นี่ในไม่ช้า พาข้าขึ้นไปด้านบนก่อน”
(TL: ในบทที่ 19 เหลิงอู่เหยียนมีความสามารถที่ทำให้คนอื่นไม่เห็นนาง ดังนั้นคนรับใช้จึงเห็นเพียงหลี่หราน)
“ได้ขอรับ”
“เชิญแขกผู้มีเกียรติ!” คนรับใช้ตะโกนและนำหลี่หรานเข้าไปในห้องส่วนตัวสุดหรูที่อยู่ตรงกลาง
การตกแต่งในห้องนั้นงดงามราวกับพระราชวัง และกลิ่นหอมของเครื่องเรือนที่ทำจากไม้จิตวิญญาณก็อบอวลไปทุกหนทุกแห่ง
แม้แต่ใบชาและผลไม้ที่นี่ก็ยังใช้ของแพงกว่าในห้องโถง
จะเห็นได้ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้เข้าใจความคิดของคนร่ำรวยเป็นอย่างดี
หลี่หรานและเหลิงอู่เหยียนนั่งลงในที่นั่งของพวกเขา
มีเพียงสองคนในห้องส่วนตัว พวกเขาสามารถมองเห็นเวทีทั้งหมดได้จากด้านบน แต่แขกในห้องโถงไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนตัว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เหลิงอู่เหยียนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
หลี่หรานยื่นถ้วยชาร้อนให้นาง “ท่านอาจารย์ เชิญดื่มชา”
“อื้ม”
นางหยิบถ้วยน้ำชาและถามว่า “วันนี้เรามาฟังดนตรีแบบไหนกัน?”
หลี่หรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีทั้งหมดห้าเพลง เพลงแรกดูเหมือนจะชื่อว่า ชุนถิงชิวเยว่”
(TL: ชุนถิงชิวเยว่(春廷秋月) ลานในฤดูใบไม้ผลิและจันทราในฤดูใบไม้ร่วง)
“ฟังดูดี”
ทั้งสองมาถึงก่อนเวลาและต้องรอครู่หนึ่งก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น
หญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับพิณในอ้อมแขนและนั่งบนเก้าอี้สูงตรงกลาง
ทันทีที่เพลงเริ่มขึ้น ทั้งห้องโถงก็เงียบลง
เสียงพิณอันไพเราะและโศกเศร้าดังกึกก้องไปทั่วโรงละคร
ราวกับว่าหญิงสาวกำลังยืนอยู่ในลานบ้าน นางคร่ำครวญถึงใบไม้ที่เหี่ยวเฉา ข้างนางมีเพียงดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงที่คอยอยู่เคียงข้าง
ท่อนนี้ถ่ายทอดความโดดเดี่ยวของความรักได้อย่างไร้ที่ติ นักดนตรีมีฝีมือมากและถ่ายทอดส่วนสำคัญของเพลงให้กับผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้แต่ดวงตาของเหลิงอู่เหยียนก็กลายเป็นว่างเปล่า นางนึกถึงวันที่นางอยู่คนเดียว นางเติบโตอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงหล่น... นางบ่มเพาะเพียงลำพังท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย...
เห็นได้ชัดว่าวันวานเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง แต่นางไม่มีความประทับใจกับมันมากนัก และประสบการณ์เหล่านั้นช่างเรือนราง
ตรงกันข้าม ในสองวันหลังจากที่หลี่หรานสารภาพรัก นางจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและทุกบทสนทนาได้อย่างชัดเจน
ตอนที่นางยังคงอยู่คนเดียว เหลิงอู่เหยียนคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีความรัก นางก็พบว่าวันเหล่านั้นมันว่างเปล่าแค่ไหน นางรู้สึกว่านางไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเช่นนั้นได้อีกแล้ว
เหลิงอู่เหยียนลอบมองหลี่หราน นางเห็นใบหน้าที่คมชัดและความสมจริงที่สัมผัสได้
“ในเมื่อกลับไปไม่ได้ก็แค่ลืมมันไป”
“ที่จริงแล้ว ความรู้สึกนี้... ก็ดีมากเช่นกัน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง
ในตอนท้ายของเพลง ผู้ชมยังคงดื่มด่ำกับอารมณ์ พวกเขาไม่สามารถฟื้นตัวได้เป็นเวลานานและรอบข้างต่างเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น
“นักดนตรีคนนี้ยอดเยี่ยมมาก ทักษะและอารมณ์ของนางสามารถกระตุ้นหัวใจของผู้คนได้” หลี่หรานชื่นชม
“ใช่ นางเก่งจริงๆ” เหลิงอู่เหยียนเห็นด้วยกับเขา
ท่ามกลางการชื่นชม เสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องส่วนตัวข้างๆ
เสียงนั้นดังลั่นออกมา “นี่คือโรงละครที่ดีที่สุดในเมืองหลินเฟิง? ข้าคิดว่ามันก็งั้นๆ”
คนอื่นๆในนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นอย่างที่นายน้อยหวังพูดจริงๆ มันก็แค่พอดูได้”
นายน้อยหวังกล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าต้องการบรรเลงดนตรี ก็ควรเล่นเพลงที่รื่นเริงกว่านี้ เช่น จื่อเย่เกอ โม่ฉัวเยว่ หรืออะไรทำนองนั้น การเล่นเพลงที่น่าสังเวชเช่นนี้มันเหมือนโสภณีที่ไม่มีใครต้องการ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายน้อยหวังพูดถูก!”
‘จื่อเย่เกอ’ และ ‘โม่ฉัวเยว่’ เป็นเพลงดั้งเดิมที่รู้จักกันดี ท่วงทำนองและเนื้อเพลงของมันมีชีวิตชีวาและสามารถได้ยินในย่านโคมแดงเท่านั้น
(TL: ย่านโคมแดง ความหมายสั้นๆคือเป็นย่านที่หนุ่มๆสามารถใช้เงินซื้อความสุขทางกามารมณ์)
หลี่หรานและเหลิงอู่เหยียนมองหน้ากัน พร้อมกับส่ายหัวและยิ้ม
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่ขาดแคลนคนประเภทนี้
เห็นได้ชัดว่านายน้อยหวังดื่มสุราไปไม่น้อยและพูดอย่างมึนเมาว่า “พูดถึงสตรีที่น่าสังเวช มีคนหนึ่งที่อยู่บนเทือกเขาซวนหลิงใช่ไหม? หญิงชรานางนั้นเหมาะที่จะฟังเพลงนี้”
“นายน้อยหวังกำลังกล่าวถึงใคร?”
“นอกจากสตรีปีศาจนั่นจะเป็นใครไปได้อีก” นายน้อยหวังพูดล้อเล่น “ข้าได้ยินมาว่าหญิงชรานั่นไม่เป็นที่ต้องการมาหลายร้อยปีแล้ว และนางไม่ยอมให้ศิษย์ของนางมีความรักด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่านางกำลังป่วยทางจิตหรือไง?”
“ชู่วว! นายน้อยหวัง อย่าพูดเรื่องไร้สาระ! บุคคลนั้นเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิ ท่านจะพูดถึงนางพล่อยๆเช่นนี้ได้อย่างไร? ศีรษะของท่านอาจจะหลุดจากบ่าเอาได้!” คนอื่นรีบหยุดเขา
“ดูความขี้ขลาดของเจ้าสิ! มีคนพูดถึงนางมากมายทั่วโลก นางสามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดได้หรือไง? ข้าเดาว่านางคงแก่และน่าเกลียด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงเป็นโสดมาหลายร้อยปี ฮ่าฮ่าฮ่า!” นายน้อยหวังยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“นายน้อยหวัง หยุดเถิด...”
“มาชนแก้วกันเถอะ!”
—
‘หุบปาก’
ครู่ต่อมา หลี่หรานยืนขึ้นอย่างเงียบๆและเดินไปที่ประตู
“หรานเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร?” เหลิงอู่เหยียนถามเสียงดัง
ดวงตาของหลี่หรานเย็นชาราวกับเหล็กกล้า
“ฆ่า!”
//////////