บทที่ 17 ความน่าเกรงขามของเหลิงอู่เหยียน!
“ท่านเซิงจื่อ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นในความมืดมิด
อาฉินกำลังทำหน้าที่ในตอนเช้าตามปกติ
หลี่หรานขยี้ตาที่ง่วงงุนของเขา นับตั้งแต่เขาได้รับเทคนิคการบ่มเพาะพิชิตสวรรค์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำสมาธิ ดังนั้นเขาจึงพักผ่อนตลอดคืน
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านเซิงจื่อ”
“อรุณสวัสดิ์” หลี่หรานลุกขึ้น
ขณะที่อาฉินช่วยเขาสวมเสื้อผ้า นางก็พูดว่า “วันนี้ข้าทำซุปใบบัวที่ท่านโปรดปราน รวมทั้งซุปบัวหยกเขียวและขนมปังเกล็ดหิมะเจ้าค่ะ”
“เจ้าทำงานหนักจริงๆ” หลี่หรานลูบศีรษะของนาง
“ไม่เลยเจ้าค่ะ” อาฉินยิ้ม นัยน์ตาของนางหรี่ลงราวกับลูกแมวตัวน้อย
ตั้งแต่เมื่อวาน ท่าทางของนางก็เปลี่ยนไป ด้วยความรู้สึกของการเป็นทาสที่น้อยลงเล็กน้อย รอยยิ้มของนางจึงสดใสขึ้น และร่างกายของนางก็เปล่งรัศมีแห่งความอ่อนเยาว์ออกมา ยิ่งกว่านั้น การจ้องมองไปที่หลี่หรานของนางก็ดูหลงใหลมากยิ่งขึ้น
“หืม? เจ้าเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณแล้ว?” หลี่หรานรู้สึกได้ว่านางมีบรรยากาศที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“เจ้าค่ะ” อาฉินตอบ “ตามที่พระสูตรแสงเร้นลับบอก อาฉินควรจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นของขอบเขตหลอมรวมลมปราณ”
หลี่หรานรู้สึกประหลาดใจ ร่างวิญญาณพรหมจารีย์นั้นคู่ควรกับการเป็นร่างสวรรค์อย่างแท้จริง นอกเหนือจาก ‘ความสามารถในการบ่มเพาะคู่’ ระดับสุดยอดแล้ว ฐานการบ่มเพาะยังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากอีกด้วย
เมื่อรวมกับพระสูตรแสงเร้นลับที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง มันให้ผลที่น่าอัศจรรย์จนนางเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน
หลี่หรานคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างและขมวดคิ้ว “เจ้าบ่มเพาะทั้งคืนเลยหรือ?”
อาฉินพยักหน้าด้วยความลำบากใจ “เจ้าค่ะ...”
จากนั้นนางก็เสริมว่า “แต่อาฉินไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ร่างกายของอาฉินกลับเต็มไปด้วยพลัง!”
หลี่หรานส่ายหัว “เป็นความจริงที่การดูดซับพลังปราณจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายของคนๆหนึ่ง แต่มันไม่สามารถป้องกันความอ่อนล้าทางจิตใจได้ หากเจ้าไม่สามารถเพ่งสมาธิไปที่การบ่มเพาะ เจ้าอาจตกอยู่ในสภาวะพลังปราณคลุ้มคลั่งได้”
“โอ้...” อาฉินดีดนิ้ว
หลี่หรานพูดอย่างหมดหนทางว่า “นอนลงและพักผ่อน นอนที่นี่เลย เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นจนกว่าจะนอนครบสองชั่วยาม”
“แต่อาฉินอยากบ่มเพาะ...”
“นี่เป็นคำสั่ง!”
“เจ้าค่ะ” อาฉินเดินไปที่เตียงและล้มตัวลงนอนอย่างเชื่อฟัง
เมื่อนางได้กลิ่นกายของหลี่หรานบนเตียง หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้น ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ
ดวงตาของนางเปิดกว้างโดยไม่มีร่องรอยของความง่วงงุน
“ท่านเซิงจื่อ อาฉินนอนไม่หลับ...”
“......” หลี่หรานแตะหน้าผากของนางและโคจรพลังปราณของเขาเข้าสู่ร่างกายของนาง และจากนั้นอาฉินก็ผล็อยหลับไปทั้งที่ยังมึนงง
“ข้าไม่คิดว่านางจะหมั่นเพียรขนาดนี้ เมื่อรวมกับการสนับสนุนของร่างสวรรค์และเทคนิคการบ่มเพาะของนางแล้ว อนาคตของนางนั้นไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง” หลี่หรานพยักหน้า
“อย่างไรก็ตาม ข้าสงสัยว่าท่านอาจารย์สงบลงแล้วหรือยัง...” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
“เอ่อ... ข้าควรเป็นฝ่ายเริ่มขอโทษนางและขอผ่อนปรนเสียดีกว่า”
—
ยอดเขาปีศาจ
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ เหลิงอู่เหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ฟีนิกซ์สีทองทมิฬพร้อมกับจ้องมองไปที่สตรีสูงวัยตรงหน้า
มันเป็นสตรีสูงวัยที่มีผมยาวเป็นประกาย ร่างกายของนางถูกซ่อนไว้ภายใต้ชุดคลุมสีดำบริสุทธิ์ ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใส ไม่แสดงออกถึงความชราใดๆ
“ผู้อาวุโสซุน ทำไมท่านถึงมาที่นี่? ท่านต้องการอะไรจากข้าหรือไม่?” เหลิงอู่เหยียนถาม
ซุนเว่ยเป็นผู้อาวุโสคนแรกของวิหารโหยวหลัว และยังรับใช้ภายใต้ผู้นำนิกายมาสามชั่วอายุคน แม้ว่าพื้นฐานการบ่มเพาะของนางจะด้อยกว่าเหลิงอู่เหยียนมาก แต่ตำแหน่งของนางในนิกายยังเป็นที่เคารพอย่างสูง
แม้ว่าเหลิงอู่เหยียนจะเป็นผู้นำนิกาย แต่นางก็ต้องไว้หน้า และซุนเว่ยก็เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพ
ซุนเว่ยวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกายได้อ่านรายงานจากทวีปหลักเมื่อวานนี้หรือไม่?”
“นี่...” เหลิงอู่เหยียนรู้สึกอับอายเล็กน้อย
เพราะหลี่หรานทำให้หัวใจของนางปั่นป่วน นางจะมีอารมณ์อ่านรายงานได้อย่างไร?
“เมื่อเร็วๆนี้ข้าได้รับการหยั่งรู้บางอย่างในการบ่มเพาะ ข้ายังไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะตรวจสอบรายงาน”
“โอ้” ซุนเว่ยไม่สงสัยเลย นางพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนว่าการบ่มเพาะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่ท่านเป็นผู้นำนิกายของเรา ท่านไม่สามารถละเลยเรื่องของนิกายได้”
“ใช่ ผู้อาวุโสซุนกล่าวถูกแล้ว” เหลิงอู่เหยียนยอมรับด้วยความรู้สึกผิด
ซุนเว่ยกล่าวต่อว่า “ช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวของนิกายฝ่ายธรรมะบ่อยครั้ง และหลายนิกายปีศาจก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยไป นิกายเหอหวนซานและนิกายเซิงอวี่เป็นผู้นำในการจัดตั้งพันธมิตรต่อต้านและป้องกันของฝ่ายปีศาจ พวกเขาต้องการเชิญวิหารโหยวหลัวของเราเข้าร่วม”
[นิกายอัลบิเซียน ไม่รู้ตจะแป]
“พันธมิตรต่อต้านและป้องกัน?” เหลิงอู่เหยียนเยาะเย้ย “นิกายปีศาจเหล่านั้นเรียนรู้กลอุบายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ข้าคิดว่าพวกเขาถูกนิกายฝ่ายธรรมะกดดันจนไม่อาจนิ่งเฉยได้” ผู้อาวุโสซุนวิเคราะห์
“นิกายปีศาจทั้งสองได้ออกอาละวาดเมื่อเร็วๆนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกมันไปแตะขอบล่างของราชอาณาจักรและนิกายฝ่ายธรรมะ ตอนนี้พวกมันกำลังตกเป็นเป้าหมาย และพวกมันวางแผนที่จะดึงคนอื่นลงไปในวังวนนี้ด้วย? พวกมันคิดว่าข้าโง่หรือไง?” เหลิงอู่เหยียนเย้ยหยันอย่างเย็นชา
“ท่านผู้นำนิกายคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” ผู้อาวุโสซุนถาม
“ข้าไม่สนใจเศษขยะเหล่านั้น!”
น้ำเสียงของเหลิงอู่เหยียนเย็นเยียบ “ข้าไม่สนใจในสิ่งที่พวกมันทำ แต่จะดีกว่าถ้าพวกมันไม่ยั่วโมโหเรา ไม่เช่นนั้นข้าจะกวาดล้างพวกมันทั้งหมด!”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา ดวงตาของนางก็กลายเป็นลึกล้ำและเรือนผมสีดำของนางก็ปลิวไสว กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางราวกับนรกอเวจี นางดูน่าหวาดกลัวราวกับเทพแห่งควายตาย!
//////////