ตอนที่ 9 ไม่จริง
ตอนที่ 9 ไม่จริง
"168!"
แสงสว่างจ้าพุ่งออกมาจากดวงตาของลู่เซิง ผลลัพธ์นี้แม้แต่ตัวเขาเอง
“พลังยุทธ์ 168 ซึ่งเกินมาตรฐานพลังยุทธ์ของจอมยุทธ์ระดับ 1 ทั่วไปแล้ว หรือก็คือหากฉันมีค่าปราณโลหิตเพียงพอฉันสามารถเข้ารับการประเมินจอมยุทธ์ระดับ 1 ได้!”
ลู่เซิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป้าหมายที่ไม่กล้าฝันถึงตอนนี้เพียงสัปดาห์เดียวก็จะเป็นจริงแล้ว
ความรู้สึกนี้ค่อนข้างแปลก
“ช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างพลังยุทธ์และค่าปราณโลหิตนั้น สามารถทำได้เฉพาะอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กเท่านั้น ดังนั้นฉันตอนนี้คงถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว...”
ลู่เซิงยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดว่าครูและเพื่อนร่วมชั้นกับครอบครัวจะตกใจแค่ไหนหากรู้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา
"ฉันควรลองแช่อ่างยาสูตรลับของสำนักยุทธ์หงฉวนที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยเพิ่มค่าปราณโลหิตได้..."
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ทางเดินนอกประตู
ลู่เซิงรีบล้างข้อมูลในเครื่องทดสอบท้้งหมดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปที่ประตู
เมื่อเขาใกล้จะถึงประตู ลู่เซิงเห็นสาวงามเดินนำหน้าเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกับเขาผ่านเขาไป
"นักเรียนที่มาเช่าเครื่องทดสอบหรอ คงจะมาจากโรงเรียนมัธยมใกล้ๆ...”
หนี่ซวงมองไปที่ลู่เซิงซึ่งกำลังเดินออกจากประตูและพูดกับเด็กหนุ่มข้างๆตนอย่างไม่ใส่ใจ
“นักเรียนประเภทนี้ที่ครอบครัวไม่สามารถส่งเสริมได้ คงจะได้เกรดไม่ดีนัก...”
เด็กหนุ่มที่เดินตามหลังหนี่ซวงพูดด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มคนนี้มีผิวขาวและดูหล่อเล็กน้อย เสื้อผ้าของเขาประณีตกว่าเสื้อผ้าของครอบครัวธรรมดามาก ดังนั้น เขาจึงพูดด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า
"คงงั้น" หนี่ซวงพยักหน้า
แม้ว่าน้ำเสียงของเด็กหนุ่มจะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ผิด
การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ทรัพยากรเป็นปัจจัยส่วนใหญ่ที่สำคัญ
เด็กจากครอบครัวที่ร่ำรวยกินยาเสริมต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก และก่อนที่จะเริ่มฝึกฝน ค่าปราณโลหิตของพวกเขาก็สูงกว่าคนอื่นๆ แล้วยังมีที่ว่างให้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ต่างๆ อีกมากในอนาคต ดังนั้น ช่องว่างระหว่างพวกเขากับคนรุ่นเดียวกันจะค่อยๆกว้างขึ้น
และเด็กที่มาจากครอบครัวธรรมดาแม้แต่ข้าวมื้อหนึ่งก็ยังกินไม่อิ่ม แล้วจะหายาเสริมต่างๆ กินได้ที่ไหน ฉะนั้นพวกเขาจะไปแข่งขันกับเด็กจากครอบครัวที่ร่ำรวยเหล่านั้นได้อย่างไร
และเด็กที่เพิ่งเดินออกมานั้นซูบผอมมากเหมือนคนอดอาหารมาเป็นเวลานาน
“ไปทดสอบกันก่อน”
หนี่ซวงสั่งให้เด็กหนุ่มข้างๆเริ่มการทดสอบ
ไม่นานผลทดสอบก็ออกมา
“ค่าปราณโลหิต 1.253 พลังยุทธ์ 130!”
เด็กหนุ่มพูดอย่างมีความสุข “ค่าปราณโลหิตเพิ่มขึ้น 0.03 จากครึ่งเดือนก่อน พี่สาวหนี่ การแช่อ่างยามีประโยชน์จริงๆ ดีกว่ายาเสริมร่างกายที่ฉันกินมาก”
หนี่ซวงอธิบายด้วยรอยยิ้ม "เพราะนายใช้ยาเสริมร่างกายมากเกินไป ผลของยาที่ยังไม่ย่อยเต็มที่จึงสะสมอยู่ในร่างกาย การแช่อ่างยาของตระกูลหนี่ของเราคือการกระตุ้นผลของยาที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ครั้งแรกมีประโยชน์มาก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆ อ่อนลง ดังนั้น นายยังต้องกินยาเสริมร่างกายต่างๆ ต่อไป"
"ครอบครัวของฉันมียาเสริมร่างกายเยอะมาก แต่ประเด็นคือผลของมัน.."
เด็กหนุ่มโบกมืออย่างเฉยเมย ค่าปราณโลหิตที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาตื่นเต้นเกินไป ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ขยับไปมา เขารีบเดินไปที่เครื่องทดสอบที่ลู่เซิงใช้และพูดกับหนี่ซวง "พี่สาวหนี่ เราดูผลทดสอบของเด็กคนนั้นได้ไหม ฉันอยากรู้ว่าเก่งกว่าคนอื่นแค่ไหนแล้ว... "
"สิ่งที่นายเปรียบเทียบควรเป็นอัจฉริยะไม่ใช่คนธรรมดาเช่นนี้..."
“ฉันเข้าใจๆ ฉันแค่ต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง พี่สาวหนี่ ขอร้องล่ะ…”
หนี่ซวงไม่สามารถทนฟังคำอ้อนวอนของเด็กหนุ่มได้ ดังนั้นเธอจึงเดินไปที่เครื่องทดสอบอย่างช่วยไม่ได้ และนึกถึงผลการทดสอบครั้งก่อน
“เจ้านั่นผอมอย่างกับไม้ไผ่ ค่าปราณโลหิตคงไม่ถึง 1 ด้วยซ้ำ แต่เขาน่าจะแก่กว่าฉันนิดหน่อยหึหึ...”
ขณะที่เด็กหนุ่มพึมพำ ความอวดดีก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
แต่เมื่อข้อมูลออกมา เด็กหนุ่มก็ตกใจจนหยุดนิ่งอยู่กับที่และมองไปที่ข้อมูลบนหน้าจอราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ค่าปราณโลหิต 1.324 พลังยุทธ์ 168!”
“มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง!”
เด็กหนุ่มกรีดร้องและตะโกนอย่างเหลือเชื่อ “เขา... คนเมื่อกี้... มีค่าปราณโลหิตสูงกว่าฉันขนาดนี้เลยหรอ?!”
หนี่ซวงก็ตกใจเช่นกัน
ค่าปราณโลหิต 1.324 ในเมืองไป๋เหอไม่ว่าจะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนม.ปลายไหนก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จมาก
แต่สิ่งที่เกินจริงยิ่งกว่าคือพลังยุทธ์ 168 ซึ่งเกินมาตรฐานค่าปราณโลหิตกว่า 30 สิ่งนี้พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายยังมีทักษะต่อสู้อีกด้วย
ตอนเธอมีปราณโลหิต 1.3 พลังยุทธ์ยังไม่มากเท่านี้
คนที่เด็กหนุ่มคิดว่ามาจากครอบครัวยากจนเป็นอัจฉริยะจริงหรอ?!
“พี่สาวหนี่ ข้อมูลมันผิดหรือไม่? มันไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์...ทำไมเจ้านั่นถึง...”
เด็กหนุ่มเดินไปมารอบเครื่องทดสอบและกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
เดิมทีเขาอยากได้ความรู้สึกเหนือกว่าจากลู่เซิง แต่เขาถูกตอกหน้ากลับอย่างแรง ตอนนี้เขารู้สึกหดหู่ใจมาก
“พอเถอะไม่ต้องดิ้นรนแบบนั้น ยิ่งพอถึงช่วงสอบเข้ามหาลียยังต้องมีอัจฉริยะแบบนี้อีกเยอะ...”
หนี่ซวงพูดปลอบใจเด็กหนุ่มและแอบนึกถึงลู่เซิงที่เธอเพิ่งเห็นก่อนหน้านี้