ตอนที่ 621 ร่องรอยประวัติศาสตร์
การต่อสู้ของถังเทียนสั่นสะเทือนเมืองทรายขาวไปทั้งเมือง
ทุกคนที่อยู่ตามท้องถนนกำลังคุยเรื่องการต่อสู้ หน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวหรือไม่ก็ความเคารพ แม้ว่าหลายคนจะไม่รู้ความจริงที่แฝงอยู่เบื้องหลังการต่อสู้แต่แค่เพียงพึ่งพาเมฆเพลิงก็เพียงพอให้จินตนาการของพวกเขาเตลิดเปิดเปิงได้
กงเฉินตาย แต่เทียบกับการต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึงแล้ว ดูเหมือนไม่มีใครสนใจเขา ทุกคนคุยแต่เรื่องเบื้องหลังที่ลึกลับของเหมิ่งหนานและเมฆเพลิงที่ขยายตัวจนคลุมทั่วท้องฟ้า ถ้ามันตกลงสู่ภาคพื้น จะเกิดอะไรขึ้น? เมฆเพลิงสามารถขยายตัวได้เอง วิทยายุทธลึกลับนั่นคืออะไรกันแน่?
ในพื้นที่รอบๆลานบ้านตระกูลหลิงหน่วยสอดแนม และผู้หาข้อมูลทั้งหมดหายไปในคืนเดียว ไม่แต่เพียงเท่านั้น แม้แต่พลเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่นั้นกลัวจัดจนถึงกับย้ายหนี
จากศูนย์กลางลานบ้านตระกูลหลิงภายในรัศมี 3 กิโลเมตรไม่มีใครเลย
ในตลาดการกล่าวโทษถังเทียนทั้งหมดหายไปหมดไม่มีผู้ใดกล้าตอแยปีศาจผู้นั้น ใช่แล้วในสายตาของเจ้าหน้าที่ทางการเมืองทรายขาว เหมิ่งหนานถูกระบุว่าเป็นปีศาจซึ่งโหดร้ายและกดขี่ข่มเหง แค่เพียงทะเลาะกันเล็กน้อยเขาก็ฆ่าอีกฝ่ายเสียแล้ว ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าครองทวีป เขาไม่สนใจคำขอร้องของเจ้าครองทวีปและฆ่ากงเฉินอย่างเหี้ยมโหดจนแม้แต่เจ้าครองทวีปไม่กล้าพูดอะไร ถ้าเขาไม่ใช่ปีศาจ แล้วเขาเป็นตัวอะไร?
ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวก็คือคนที่แม้แต่ท่านหญิงโหรวหรือท่านเหออิงยังจะกล้าพูดอะไรได้ เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนในเมืองทรายขาวกลัวเพื่อตัวพวกเขาเอง
แม้แต่คนที่อ้างว่าพวกเขาจะสั่งสอนเหมิ่งหนาน พวกเขายังพากันถอยทันที เพราะสหายสนิทและครอบครัวด่าว่าและขัดขวางปีศาจนั่นคือคนที่ไม่ควรเข้าไปตอแยด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาสามารถทำลายล้างเมืองทรายขาวด้วยเมฆเพลิงของเขาได้
เทียนฉีกวงแห่งสำนักความมั่นคงก็กลัวจนคิดอะไรไม่ออก เขาทำการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในเงามืดและหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ การรักษาความปลอดภัยของเมืองทรายขาวทำงานอีกครั้งตามเป้าหมาย
ใครจะรู้กันว่าคุณชายใหญ่และคนอื่นๆที่อยากจะเป็นพันธมิตรกับถังเทียน จริงๆแล้วไม่กล้าทำอย่างนั้นโดยไม่คิดอะไร พวกเขาไม่รู้ว่าการเข้าร่วมกับถังเทียนจะเป็นเรื่องดีหรือแย่
แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญต่อถังเทียน
เขาพักอยู่ในลานบ้านตระกูลหลิงตลอดทั้งวัน หมกมุ่นอยู่กับการรู้แจ้งความรู้ใหม่
พลังของทะเลหิ่งห้อยเกินกว่าที่เขาคาดไปมาก แม้แต่ถังเทียนเองก็ยังประหลาดใจมาก ทำให้เขาตระหนักได้ อีกเรื่องหนึ่งที่เขาได้รับรู้แจ้งก็คือด้วยพลังโจมตีตอบโต้สุดท้ายของกงเฉินนั้นใช้การผลาญพลังงาน
พลังงานแปลง!
หิ่งห้อยของถังเทียนมีร่องรอยของการแปลงพลังงานอยู่แล้ว แต่ก็ยังห่างจากการแปลงพลังที่แท้จริง การเผาผลาญพลังสุดท้ายของกงเฉินทำให้เขาต้องไตร่ตรอง ถ้าเขาสามารถเข้าใจมันได้ชัดเจนและรู้แจ้งการแปลงพลังงานอย่างสิ้นเชิง พลังความแข็งแกร่งของเขาก็จะเข้าถึงระดับใหม่อย่างมิต้องสงสัย
ความคาดหมายสำหรับทะเลหิ่งห้อยซึ่งเป็นการแปลงพลังงานได้สมบูรณ์ทำให้ถังเทียนตื่นเต้น
ขณะเดียวกันหนุ่มชาวฟ้าก็ย่อมจะ ทรงพลังมากอย่างแน่นอน
หากจุดสำคัญสำหรับเปลี่ยนแปลงทะเลหิ่งห้อยก็คือการแปลงรูปพลังงาน อย่างนั้นเพลิงสุญญตาก็นับเป็นของขวัญตามธรรมชาติของนักสู้ระยะประชิด แม้ว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะเป็นร่างเนื้อที่ทรงพลัง แต่เมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่นของสวรรค์วิถีแล้วความสามารถที่แสดงออกมาก็ยังนับว่าไม่โดดเด่น นั่นทำให้ถังเทียนไม่สามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในการสู้ระยะประชิดออกมาได้ แต่ตอนนี้เพลิงสุญญตาเกิดขึ้นจากการกระตุ้นร่างพลังกายเป็นศูนย์ได้เพิ่มขีดความสามารถในการสู้ระยะประชิดของเขา
เพลิงสุญญตาคืออาวุธที่ดีที่สุดสำหรับนักสู้ระยะประชิด
เป็นแต่เพียงว่าเพลิงสุญญตาในปัจจุบันนี้ขยายขนาดได้เพียงรอบมือของถังเทียนเท่านั้น ยังห่างไกลกับการหุ้มร่างของเขาให้ได้ทั้งหมด เส้นทางของถังเทียนในฐานะยอดฝีมือต่อสู้ระยะประชิดเป็นไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก
บุรุษหนุ่มไม่คิดอะไรมาก แม้ด้วยเพลิงสุญญตาจะใช้ได้แค่ครอบคลุมหมัดของเขาแต่ทะเลหิ่งห้อยไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อผ่านการแปลงพลังงานแล้วทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวกระโดด ที่สำคัญยิ่งกว่า ในเส้นทางยอดฝีมือของเขานั้น มีความชัดเจนมากขึ้น
มีการขยายตัวออกไปแทบทุกทิศทาง และมีอยู่เรื่องเดียวที่เขากังวลก็คือเชียนฮุ่ย
ทั้งสองคนกำหนดวันไว้แล้วว่าจะคุยกันทุกเดือน แต่ทุกครั้งที่ถังเทียนเปิดทำงานประตูดวงดาวก็ไม่มีคำตอบ จึงทำให้เขากังวลมาก
**********************
“สถานที่พังๆ นี่มันอะไรกัน?” อาซิ่นพึมพำกับตนเอง
เป็นดินแดนที่แห้งแล้งไม่มีหญ้าเลยสักต้นเดียวไม่ว่าเขาจะมองไปไกลแค่ไหน พวกเขาเดินมาเป็นเวลาสองสามเดือนแล้ว ท้องฟ้ายามราตรีไม่เคยเปลี่ยน โชคดีที่ยังมีแสงดวงดาวในท้องฟ้า แสงเลือนรางทำให้แผ่นดินที่แห้งแล้งนี้ไม่ถึงกับมืดมิด
พวกเขาเข้ามาในแผ่นดินที่แห้งแล้งจากประตูดวงดาว และหลังจากผ่านไปสองสามวัน พวกเขาก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเมื่อพวกเขาเดินย้อนกลับไป ประตูดวงดาวก็หายไปแล้ว
เสี่ยวหลานแบกดาบยักษ์และคอยปกป้องเชียนฮุ่ยที่อยู่ข้างนางอย่างระมัดระวัง หน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย “ตื่นตัวเข้าไว้ ที่นี่ประหลาดมาก”
หลังจากเดินหน้าไปอีก100 กิโลเมตร เชียนฮุ่ยกล่าว “พักกันสักเดี๋ยวเถอะ”
“ทราบแล้ว!” เสี่ยวหลานและอาซิ่นรับคำและจัดการตั้งค่ายส่งทหารตระเวนไปตรวจดูจนลับตา งานของเขาคือตรวจสอบสืบดูรอบๆ ว่ามีอะไรน่าสงสัยบ้าง
เชียนฮุ่ยพยายามเปิดการทำงานประตูดวงดาวบรอนซ์ แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร นางรู้สึกผิดหวัง แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า
“ยังใช้ไม่ได้อีกหรือ?” เสี่ยวหลานถามอย่างกังวล
“ใช่แล้ว” เชียนฮุ่ยทำเสียงให้มั่นคง “อย่าห่วงไปเลย ดาวดวงนี้ไม่ใหญ่ เราจะพบได้ในไม่ช้านี้”
เสี่ยวหลานพยักหน้า ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในดวงดาวนี้ พวกเขาตระหนักว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาด ดวงดาวมีพลังงานที่แปลกและลึกลับซึ่งตัดการเชื่อมโยงประตูดวงดาวบรอนซ์ได้ ดังนั้นเชียนฮุ่ยและถังเทียนจึงขาดการติดต่อ
โชคดีที่ดวงดาวนี้ไม่ถือว่าใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงมองหาประตูดวงดาวเพื่อออกไปและแหล่งพลังงานลึกลับ แต่ขณะนั้นเองพวกเขาไม่ทันตระหนักว่าดวงดาวนี้เป็นดาวธรรมดามาก เยือกเย็นและกันดารแห้งแล้งและว่างเปล่า ปราศจากสัญญาณสิ่งมีชีวิต
อาซิ่นอยู่ข้างๆเสี่ยวหลานและพยายามลอบดูอกมหึมาและดูยั่วยวนใจของเสี่ยวหลานและอดหน้าแดงไม่ได้
เสี่ยวหลานยืดหลังของนาง ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้ตาของอาซิ่นเบิกกว้าง อาซิ่นยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวนิ้วทั้งสิบงอลงช้าๆ
ปัง!
เสี่ยวหลานใช้ด้านแบนของดาบใหญ่ฟาดหน้าอาซิ่น อาซิ่นกระดอนออกไปราวกับลูกบอล
“เจ้าลามก!”
เสี่ยวหลานแค่นเสียง นางปักดาบใหญ่ลงกับพื้นและแสดงท่าทีเหยียดหยาม
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาเสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้นมองดูหน่วยรักษาการณ์ที่วิ่งเข้ามา
“รายงานนายท่าน เราพบปราสาทข้างหน้าหลังหนึ่ง!”
เชียนฮุ่ยยืนขึ้น “เตรียมทัพ”
เสี่ยวหลานตื่นตัวขึ้นและยกดาบใหญ่ของนางและก้าวขึ้นหลังม้า หลังจากค้นหามาหลายวัน พวกเขาไม่พบเห็นอะไร นางจึงกลายเป็นคนรีบร้อนและเครียดมากนางไม่กลัวศัตรูหรือการต่อสู้ แต่กลัวว่าจะหาอะไรไม่เจอมากกว่า
อาซิ่นดิ้นรนลุกจากพื้นและไอ “ทำไมยายสัตว์ประหลาดนี่ถึงหุ่นดีอย่างนี้!”
เสี่ยวหลานแค่นเสียง นางเชิดหน้าเดินผ่านอาซิ่น แต่ในใจรู้สึกยินดี ‘โอว.. งั้นหุ่นข้าก็คงดีจริงๆ’
กองทัพเคลื่อนขบวน
หลังจากเดินหน้าไปราว10 กิโลเมตร ในที่สุดเชียนฮุ่ยก็เห็นปราสาทที่กองทหาร (ผี) พูดถึง
ปราสาทตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่บนยอดเขา ตัวปราสาทสีดำสนิทตั้งอยู่บนยอดเขาที่รกร้างและเงียบสงัด ถ้าไม่มีแสงต่อให้เป็นคนที่มีพลังสายตาดีก็คงยากจะหาปราสาทเจอ
ทุกคนเพ่งมองทันที
นั่นคือสัญญาณแรกของชีวิตที่พวกเขาตรวจสอบได้หลังจากผ่านไปหลายวัน
กองทหารทั้งหมดเร่งความเร็วและมุ่งหน้าสู่ปราสาท เมื่อเข้าไปใกล้ปราสาทพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าสภาพของปราสาทดูแปลกประหลาด
“มันดูไม่เหมือนกับปราสาท” อาซิ่นขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น
ความจริงมันดูไม่เหมือนปราสาท ไม่มียอดแหลม ไม่มีโครงสร้างที่น่าเกรงขามมีแต่เพียงอาคารสูง แต่อาคารเหล่านั้นสามารถบอกได้เลยว่าเป็นซากโบราณและไม่มีคนอยู่ข้างในมาเป็นเวลานานแล้ว หน้าต่างและผนังพังทลาย
เสี่ยวหลานมองดูเขา เมื่อจอมลามกนี่อยู่ในสภาพเอาจริงเขาค่อยดูมีราศี นางถาม “อย่างนั้นมันดูเหมือนอะไร?”
“ก็เหมือนกับอาคารสูง” คนที่พูดก็คือเชียนฮุ่ย ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของนางมองจ้องไปที่สิ่งก่อสร้าง “นั่นคือตึกสูง”
ด้วยการคาดเดานั้นแม้แต่เสี่ยวหลานก็รู้ว่าเป็นตึกอาคารสูง แต่นางไม่เข้าใจ “ใครมาสร้างอาคารสูงไว้ที่นี่?”
“เราจะรู้ตอนที่เราขึ้นไป” เชียนฮุ่ยรั้งสายตากลับและพูดอย่างเฉยเมย
ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาก็ขึ้นไปถึงยอดเขา เป็นตึกที่เด่นและทันสมัยสูงถึง 13ชั้นไม่มีการประดับประดาอะไร อาคารอย่างนั้นอาจมองดูว่าเป็นสถาบันศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทุกคนสงสัยไม่มีใครรู้ว่ามีอันตรายอะไรรออยู่ในตึก อาซิ่นและเสี่ยวหลานขนาบซ้ายขวาเชียนฮุ่ยเพื่อปกป้องนาง
ขณะที่เดินไปที่หน้าตึก ฝุ่นสีเทาและประตูใหญ่รอต้อนรับพวกเขา
เสี่ยวหลานไม่ได้พูดอะไร นางสะพายดาบเดินไปที่ประตูทันใดนั้นนางสังเกตว่ามีอักษรเขียนไว้ที่ประตู นางยื่นมือไปปาดฝุ่นที่ประตูออก และโลหะเป็นมันประกายปรากฏให้เห็น มีคำพูดอยู่แถวหนึ่ง
“ขอต้อนรับไฮน์เนอร์ วินเซนท์”
เสี่ยวหลานพึมพำและหันมาถาม “คุณหนู, ใครคือไฮน์เนอร์ วินเซนท์?”
“ไฮน์เนอร์ วินเซนท์?” เชียนฮุ่ยคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นส่ายศีรษะ “ไม่เคยได้ยินเลย”
เสี่ยวหลานมองดูอาซิ่นที่กำลังโบกมือ “ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญ”
สีหน้าเหลาะแหละของอาซิ่นทำให้เสี่ยวหลานหงุดหงิด นางใช้ดาบของนางจิ้มลงในโคลนข้างๆ นาง ประตูโลหะไม่มีกลไกสำหรับเปิดแต่อย่างใด ดังนั้นนางทาบมือทั้งสองกับประตูย่อเอวและตวาดใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดผลักออกไป
แก๊ก แก๊ก แก๊ก!
เสียงเสียดสีดังน่ากลัวฝุ่นร่วงลงมาจากประตูใหญ่ เผยให้เห็นผิวโลหะเป็นประกาย แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่ประตูก็ไม่มีร่องรอยสึกหรอ
อาซิ่นลูบคาง “เป็นไปตามที่แม่จอมพลังนี่ว่า ประตูนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากโลหะอย่างดี ใครจะรู้ว่าดีหรือไม่ เมื่อเราไปแล้ว เราต้องเอาไปด้วยแน่นอน จะได้ไม่สูญเสียเปล่าๆ....”
ประตูโลหะถูกผลักเปิดออกโดยเสี่ยวหลานและมีฝุ่นปกคลุมไปหมด เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานานแล้ว
ขุนพลวิญญาณสองสามตนชูแท่งผลึกและเข้าไปในอาคาร แสงไฟจากแท่งผลึกส่องสะท้อนมองเห็นสภาพภายในอาคาร
ไม่มีสิ่งมีชีวิต
ทุกคนผิดหวังบ้างแต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ภายในอาคารมีฝุ่นสะสมเป็นชั้นหนาเห็นได้ชัดว่าอาคารผ่านกาลเวลามานานแล้ว และไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเขามาในตึก
เสี่ยวหลานไม่กล้าประมาทนางสั่งขุนพลวิญญาณสองสามตนให้ตรวจสอบสถานที่ หลังจากนั้นชั่วขณะ พวกเขามายืนยันว่าพื้นที่ปลอดภัย
เชียนฮุ่ยสูดหายใจลึก นางมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นี้คงซ่อนความลับพิเศษอยู่เป็นแน่