ตอนที่แล้วตอนที่ 620 กองทัพมาถึงแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 622 ข้าชื่อเซี่ยอวี่อัน!

ตอนที่ 621 ร่องรอยประวัติศาสตร์


การต่อสู้ของถังเทียนสั่นสะเทือนเมืองทรายขาวไปทั้งเมือง

ทุกคนที่อยู่ตามท้องถนนกำลังคุยเรื่องการต่อสู้ หน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวหรือไม่ก็ความเคารพ  แม้ว่าหลายคนจะไม่รู้ความจริงที่แฝงอยู่เบื้องหลังการต่อสู้แต่แค่เพียงพึ่งพาเมฆเพลิงก็เพียงพอให้จินตนาการของพวกเขาเตลิดเปิดเปิงได้

กงเฉินตาย  แต่เทียบกับการต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึงแล้ว  ดูเหมือนไม่มีใครสนใจเขา ทุกคนคุยแต่เรื่องเบื้องหลังที่ลึกลับของเหมิ่งหนานและเมฆเพลิงที่ขยายตัวจนคลุมทั่วท้องฟ้า  ถ้ามันตกลงสู่ภาคพื้น  จะเกิดอะไรขึ้น?   เมฆเพลิงสามารถขยายตัวได้เอง  วิทยายุทธลึกลับนั่นคืออะไรกันแน่?

ในพื้นที่รอบๆลานบ้านตระกูลหลิงหน่วยสอดแนม และผู้หาข้อมูลทั้งหมดหายไปในคืนเดียว  ไม่แต่เพียงเท่านั้น แม้แต่พลเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่นั้นกลัวจัดจนถึงกับย้ายหนี

จากศูนย์กลางลานบ้านตระกูลหลิงภายในรัศมี 3 กิโลเมตรไม่มีใครเลย

ในตลาดการกล่าวโทษถังเทียนทั้งหมดหายไปหมดไม่มีผู้ใดกล้าตอแยปีศาจผู้นั้น ใช่แล้วในสายตาของเจ้าหน้าที่ทางการเมืองทรายขาว เหมิ่งหนานถูกระบุว่าเป็นปีศาจซึ่งโหดร้ายและกดขี่ข่มเหง  แค่เพียงทะเลาะกันเล็กน้อยเขาก็ฆ่าอีกฝ่ายเสียแล้ว ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจ้าครองทวีป เขาไม่สนใจคำขอร้องของเจ้าครองทวีปและฆ่ากงเฉินอย่างเหี้ยมโหดจนแม้แต่เจ้าครองทวีปไม่กล้าพูดอะไร  ถ้าเขาไม่ใช่ปีศาจ แล้วเขาเป็นตัวอะไร?

ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวก็คือคนที่แม้แต่ท่านหญิงโหรวหรือท่านเหออิงยังจะกล้าพูดอะไรได้  เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนในเมืองทรายขาวกลัวเพื่อตัวพวกเขาเอง

แม้แต่คนที่อ้างว่าพวกเขาจะสั่งสอนเหมิ่งหนาน  พวกเขายังพากันถอยทันที เพราะสหายสนิทและครอบครัวด่าว่าและขัดขวางปีศาจนั่นคือคนที่ไม่ควรเข้าไปตอแยด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาสามารถทำลายล้างเมืองทรายขาวด้วยเมฆเพลิงของเขาได้

เทียนฉีกวงแห่งสำนักความมั่นคงก็กลัวจนคิดอะไรไม่ออก  เขาทำการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในเงามืดและหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ การรักษาความปลอดภัยของเมืองทรายขาวทำงานอีกครั้งตามเป้าหมาย

ใครจะรู้กันว่าคุณชายใหญ่และคนอื่นๆที่อยากจะเป็นพันธมิตรกับถังเทียน  จริงๆแล้วไม่กล้าทำอย่างนั้นโดยไม่คิดอะไร พวกเขาไม่รู้ว่าการเข้าร่วมกับถังเทียนจะเป็นเรื่องดีหรือแย่

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญต่อถังเทียน

เขาพักอยู่ในลานบ้านตระกูลหลิงตลอดทั้งวัน  หมกมุ่นอยู่กับการรู้แจ้งความรู้ใหม่

พลังของทะเลหิ่งห้อยเกินกว่าที่เขาคาดไปมาก  แม้แต่ถังเทียนเองก็ยังประหลาดใจมาก  ทำให้เขาตระหนักได้ อีกเรื่องหนึ่งที่เขาได้รับรู้แจ้งก็คือด้วยพลังโจมตีตอบโต้สุดท้ายของกงเฉินนั้นใช้การผลาญพลังงาน

พลังงานแปลง!

หิ่งห้อยของถังเทียนมีร่องรอยของการแปลงพลังงานอยู่แล้ว  แต่ก็ยังห่างจากการแปลงพลังที่แท้จริง   การเผาผลาญพลังสุดท้ายของกงเฉินทำให้เขาต้องไตร่ตรอง ถ้าเขาสามารถเข้าใจมันได้ชัดเจนและรู้แจ้งการแปลงพลังงานอย่างสิ้นเชิง พลังความแข็งแกร่งของเขาก็จะเข้าถึงระดับใหม่อย่างมิต้องสงสัย

ความคาดหมายสำหรับทะเลหิ่งห้อยซึ่งเป็นการแปลงพลังงานได้สมบูรณ์ทำให้ถังเทียนตื่นเต้น

ขณะเดียวกันหนุ่มชาวฟ้าก็ย่อมจะ ทรงพลังมากอย่างแน่นอน

หากจุดสำคัญสำหรับเปลี่ยนแปลงทะเลหิ่งห้อยก็คือการแปลงรูปพลังงาน อย่างนั้นเพลิงสุญญตาก็นับเป็นของขวัญตามธรรมชาติของนักสู้ระยะประชิด แม้ว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะเป็นร่างเนื้อที่ทรงพลัง  แต่เมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่นของสวรรค์วิถีแล้วความสามารถที่แสดงออกมาก็ยังนับว่าไม่โดดเด่น นั่นทำให้ถังเทียนไม่สามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในการสู้ระยะประชิดออกมาได้ แต่ตอนนี้เพลิงสุญญตาเกิดขึ้นจากการกระตุ้นร่างพลังกายเป็นศูนย์ได้เพิ่มขีดความสามารถในการสู้ระยะประชิดของเขา

เพลิงสุญญตาคืออาวุธที่ดีที่สุดสำหรับนักสู้ระยะประชิด

เป็นแต่เพียงว่าเพลิงสุญญตาในปัจจุบันนี้ขยายขนาดได้เพียงรอบมือของถังเทียนเท่านั้น ยังห่างไกลกับการหุ้มร่างของเขาให้ได้ทั้งหมด เส้นทางของถังเทียนในฐานะยอดฝีมือต่อสู้ระยะประชิดเป็นไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก

บุรุษหนุ่มไม่คิดอะไรมาก แม้ด้วยเพลิงสุญญตาจะใช้ได้แค่ครอบคลุมหมัดของเขาแต่ทะเลหิ่งห้อยไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อผ่านการแปลงพลังงานแล้วทำให้ความแข็งแกร่งของเขาก้าวกระโดด  ที่สำคัญยิ่งกว่า  ในเส้นทางยอดฝีมือของเขานั้น มีความชัดเจนมากขึ้น

มีการขยายตัวออกไปแทบทุกทิศทาง  และมีอยู่เรื่องเดียวที่เขากังวลก็คือเชียนฮุ่ย

ทั้งสองคนกำหนดวันไว้แล้วว่าจะคุยกันทุกเดือน  แต่ทุกครั้งที่ถังเทียนเปิดทำงานประตูดวงดาวก็ไม่มีคำตอบ จึงทำให้เขากังวลมาก

**********************

“สถานที่พังๆ นี่มันอะไรกัน?”  อาซิ่นพึมพำกับตนเอง

เป็นดินแดนที่แห้งแล้งไม่มีหญ้าเลยสักต้นเดียวไม่ว่าเขาจะมองไปไกลแค่ไหน  พวกเขาเดินมาเป็นเวลาสองสามเดือนแล้ว  ท้องฟ้ายามราตรีไม่เคยเปลี่ยน  โชคดีที่ยังมีแสงดวงดาวในท้องฟ้า แสงเลือนรางทำให้แผ่นดินที่แห้งแล้งนี้ไม่ถึงกับมืดมิด

พวกเขาเข้ามาในแผ่นดินที่แห้งแล้งจากประตูดวงดาว  และหลังจากผ่านไปสองสามวัน  พวกเขาก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ  และเมื่อพวกเขาเดินย้อนกลับไป  ประตูดวงดาวก็หายไปแล้ว

เสี่ยวหลานแบกดาบยักษ์และคอยปกป้องเชียนฮุ่ยที่อยู่ข้างนางอย่างระมัดระวัง  หน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย  “ตื่นตัวเข้าไว้  ที่นี่ประหลาดมาก”

หลังจากเดินหน้าไปอีก100 กิโลเมตร เชียนฮุ่ยกล่าว “พักกันสักเดี๋ยวเถอะ”

“ทราบแล้ว!”  เสี่ยวหลานและอาซิ่นรับคำและจัดการตั้งค่ายส่งทหารตระเวนไปตรวจดูจนลับตา งานของเขาคือตรวจสอบสืบดูรอบๆ ว่ามีอะไรน่าสงสัยบ้าง

เชียนฮุ่ยพยายามเปิดการทำงานประตูดวงดาวบรอนซ์  แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร  นางรู้สึกผิดหวัง  แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า

“ยังใช้ไม่ได้อีกหรือ?”  เสี่ยวหลานถามอย่างกังวล

“ใช่แล้ว” เชียนฮุ่ยทำเสียงให้มั่นคง “อย่าห่วงไปเลย ดาวดวงนี้ไม่ใหญ่ เราจะพบได้ในไม่ช้านี้”

เสี่ยวหลานพยักหน้า  ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในดวงดาวนี้  พวกเขาตระหนักว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาด ดวงดาวมีพลังงานที่แปลกและลึกลับซึ่งตัดการเชื่อมโยงประตูดวงดาวบรอนซ์ได้  ดังนั้นเชียนฮุ่ยและถังเทียนจึงขาดการติดต่อ

โชคดีที่ดวงดาวนี้ไม่ถือว่าใหญ่  ดังนั้นพวกเขาจึงมองหาประตูดวงดาวเพื่อออกไปและแหล่งพลังงานลึกลับ  แต่ขณะนั้นเองพวกเขาไม่ทันตระหนักว่าดวงดาวนี้เป็นดาวธรรมดามาก เยือกเย็นและกันดารแห้งแล้งและว่างเปล่า ปราศจากสัญญาณสิ่งมีชีวิต

อาซิ่นอยู่ข้างๆเสี่ยวหลานและพยายามลอบดูอกมหึมาและดูยั่วยวนใจของเสี่ยวหลานและอดหน้าแดงไม่ได้

เสี่ยวหลานยืดหลังของนาง ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้ตาของอาซิ่นเบิกกว้าง  อาซิ่นยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวนิ้วทั้งสิบงอลงช้าๆ

ปัง!

เสี่ยวหลานใช้ด้านแบนของดาบใหญ่ฟาดหน้าอาซิ่น  อาซิ่นกระดอนออกไปราวกับลูกบอล

“เจ้าลามก!”

เสี่ยวหลานแค่นเสียง  นางปักดาบใหญ่ลงกับพื้นและแสดงท่าทีเหยียดหยาม

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาเสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้นมองดูหน่วยรักษาการณ์ที่วิ่งเข้ามา

“รายงานนายท่าน เราพบปราสาทข้างหน้าหลังหนึ่ง!”

เชียนฮุ่ยยืนขึ้น  “เตรียมทัพ”

เสี่ยวหลานตื่นตัวขึ้นและยกดาบใหญ่ของนางและก้าวขึ้นหลังม้า  หลังจากค้นหามาหลายวัน  พวกเขาไม่พบเห็นอะไร  นางจึงกลายเป็นคนรีบร้อนและเครียดมากนางไม่กลัวศัตรูหรือการต่อสู้ แต่กลัวว่าจะหาอะไรไม่เจอมากกว่า

อาซิ่นดิ้นรนลุกจากพื้นและไอ  “ทำไมยายสัตว์ประหลาดนี่ถึงหุ่นดีอย่างนี้!”

เสี่ยวหลานแค่นเสียง  นางเชิดหน้าเดินผ่านอาซิ่น แต่ในใจรู้สึกยินดี ‘โอว.. งั้นหุ่นข้าก็คงดีจริงๆ’

กองทัพเคลื่อนขบวน

หลังจากเดินหน้าไปราว10 กิโลเมตร ในที่สุดเชียนฮุ่ยก็เห็นปราสาทที่กองทหาร (ผี) พูดถึง

ปราสาทตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่บนยอดเขา ตัวปราสาทสีดำสนิทตั้งอยู่บนยอดเขาที่รกร้างและเงียบสงัด  ถ้าไม่มีแสงต่อให้เป็นคนที่มีพลังสายตาดีก็คงยากจะหาปราสาทเจอ

ทุกคนเพ่งมองทันที

นั่นคือสัญญาณแรกของชีวิตที่พวกเขาตรวจสอบได้หลังจากผ่านไปหลายวัน

กองทหารทั้งหมดเร่งความเร็วและมุ่งหน้าสู่ปราสาท  เมื่อเข้าไปใกล้ปราสาทพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าสภาพของปราสาทดูแปลกประหลาด

“มันดูไม่เหมือนกับปราสาท”  อาซิ่นขมวดคิ้ว  สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น

ความจริงมันดูไม่เหมือนปราสาท  ไม่มียอดแหลม ไม่มีโครงสร้างที่น่าเกรงขามมีแต่เพียงอาคารสูง แต่อาคารเหล่านั้นสามารถบอกได้เลยว่าเป็นซากโบราณและไม่มีคนอยู่ข้างในมาเป็นเวลานานแล้ว หน้าต่างและผนังพังทลาย

เสี่ยวหลานมองดูเขา  เมื่อจอมลามกนี่อยู่ในสภาพเอาจริงเขาค่อยดูมีราศี  นางถาม  “อย่างนั้นมันดูเหมือนอะไร?”

“ก็เหมือนกับอาคารสูง”  คนที่พูดก็คือเชียนฮุ่ย ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของนางมองจ้องไปที่สิ่งก่อสร้าง  “นั่นคือตึกสูง”

ด้วยการคาดเดานั้นแม้แต่เสี่ยวหลานก็รู้ว่าเป็นตึกอาคารสูง แต่นางไม่เข้าใจ “ใครมาสร้างอาคารสูงไว้ที่นี่?”

“เราจะรู้ตอนที่เราขึ้นไป”  เชียนฮุ่ยรั้งสายตากลับและพูดอย่างเฉยเมย

ในเวลาอันรวดเร็ว  พวกเขาก็ขึ้นไปถึงยอดเขา  เป็นตึกที่เด่นและทันสมัยสูงถึง 13ชั้นไม่มีการประดับประดาอะไร อาคารอย่างนั้นอาจมองดูว่าเป็นสถาบันศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่ง

ทุกคนสงสัยไม่มีใครรู้ว่ามีอันตรายอะไรรออยู่ในตึก อาซิ่นและเสี่ยวหลานขนาบซ้ายขวาเชียนฮุ่ยเพื่อปกป้องนาง

ขณะที่เดินไปที่หน้าตึก  ฝุ่นสีเทาและประตูใหญ่รอต้อนรับพวกเขา

เสี่ยวหลานไม่ได้พูดอะไร  นางสะพายดาบเดินไปที่ประตูทันใดนั้นนางสังเกตว่ามีอักษรเขียนไว้ที่ประตู นางยื่นมือไปปาดฝุ่นที่ประตูออก และโลหะเป็นมันประกายปรากฏให้เห็น มีคำพูดอยู่แถวหนึ่ง

“ขอต้อนรับไฮน์เนอร์ วินเซนท์”

เสี่ยวหลานพึมพำและหันมาถาม “คุณหนู, ใครคือไฮน์เนอร์ วินเซนท์?”

“ไฮน์เนอร์ วินเซนท์?”  เชียนฮุ่ยคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นส่ายศีรษะ  “ไม่เคยได้ยินเลย”

เสี่ยวหลานมองดูอาซิ่นที่กำลังโบกมือ  “ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญ”

สีหน้าเหลาะแหละของอาซิ่นทำให้เสี่ยวหลานหงุดหงิด  นางใช้ดาบของนางจิ้มลงในโคลนข้างๆ นาง  ประตูโลหะไม่มีกลไกสำหรับเปิดแต่อย่างใด ดังนั้นนางทาบมือทั้งสองกับประตูย่อเอวและตวาดใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดผลักออกไป

แก๊ก  แก๊ก แก๊ก!

เสียงเสียดสีดังน่ากลัวฝุ่นร่วงลงมาจากประตูใหญ่ เผยให้เห็นผิวโลหะเป็นประกาย แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่ประตูก็ไม่มีร่องรอยสึกหรอ

อาซิ่นลูบคาง  “เป็นไปตามที่แม่จอมพลังนี่ว่า ประตูนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากโลหะอย่างดี  ใครจะรู้ว่าดีหรือไม่  เมื่อเราไปแล้ว เราต้องเอาไปด้วยแน่นอน  จะได้ไม่สูญเสียเปล่าๆ....”

ประตูโลหะถูกผลักเปิดออกโดยเสี่ยวหลานและมีฝุ่นปกคลุมไปหมด เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานานแล้ว

ขุนพลวิญญาณสองสามตนชูแท่งผลึกและเข้าไปในอาคาร แสงไฟจากแท่งผลึกส่องสะท้อนมองเห็นสภาพภายในอาคาร

ไม่มีสิ่งมีชีวิต

ทุกคนผิดหวังบ้างแต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ภายในอาคารมีฝุ่นสะสมเป็นชั้นหนาเห็นได้ชัดว่าอาคารผ่านกาลเวลามานานแล้ว และไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเขามาในตึก

เสี่ยวหลานไม่กล้าประมาทนางสั่งขุนพลวิญญาณสองสามตนให้ตรวจสอบสถานที่ หลังจากนั้นชั่วขณะ พวกเขามายืนยันว่าพื้นที่ปลอดภัย

เชียนฮุ่ยสูดหายใจลึก  นางมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นี้คงซ่อนความลับพิเศษอยู่เป็นแน่

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด