ตอนที่ 619 การรู้แจ้งวิชาหิ่งห้อยจ้าวปีศาจ
บอลแสงลูกแล้วลูกเล่ายิงออกมาจากฐานอย่างน่าประหลาดใจเสียงหวีดหวิวที่เกิดจากการยิงเข้าใส่กองทัพที่กำลังมาถึงเหมือนกับดาวตก
กองทัพของปู้จื้อเฟยเป็นพวกมือดีล้วนๆไม่มีความตื่นเต้นแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นฝูงผึ้งปราดเปรียว พวกเขาบินรอบฐานและยังคงโจมตีม่านพลังป้องกันของฐานอย่างต่อเนื่อง
บอลแสงยากจะยิงถูกศัตรูที่ปราดเปรียว แต่การโจมตีจากพวกเขาสำหรับป้อมปราการมหึมาเป็นเหมือนแค่ทำให้คันเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องผลิตระหว่างม่านพลังงานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
“พลังรุกของเราไม่มากพอ พลังป้องกันของศัตรูไม่มีจุดอ่อน คนที่สร้างป้อมปราการนี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเราตีป้อมได้ เราต้องศึกษาให้ดี”
ผู้ช่วยแม่ทัพขมวดคิ้ว ฉากภาพข้างหน้าเขาแสดงว่าเป็นปัญหาที่หนักกว่า
นี่เป็นการระดมโจมตีครั้งที่ห้าแล้ว สี่ครั้งแรกที่ตรวจสอบไปไม่ประสบผลสำเร็จเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่มกำลัง
ด้วยกำลังพล300 นาย พวกเขาก็ยังไม่สามารถเขย่าป้อมปราการได้
“ฮึ่ม..เราจำเป็นต้องลองใช้วิธีการที่แตกต่างและดูว่าวิชาต่อสู้แบบไหนจะได้ผลดีที่สุด” ปู้จื้อเฟยพูดด้วยสีหน้าใจเย็น เขาไม่เห็นว่าแปลก สามารถเอาชนะซุนเจี๋ยได้ฝ่ายตรงข้ามจะอ่อนแอได้ยัไง?
แต่กลุ่มป้อมที่ดูแปลกประหลาดสร้างความประหลาดใจให้เขา เขาเคยเห็นป้อมปราการมาก่อนมากมายนัก แต่สำหรับป้อมนี้ ดูเหมือนไม่เคยพบมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกของเขา
เขาถาม “กองเรือมาถึงนานเท่าใดแล้ว?”
“สองวัน” ผู้ช่วยแม่ทัพตอบทันที
อาวุธที่เหมาะที่สุดในการยึดป้อมปราการก็คือเรือรบ เนื่องจากพลังของอาวุธบนเรือมีพลังมหาศาล แต่เนื่องจากปากอ่าวในทวีปซางโจวเล็กเกินไป เรือรบของพวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนซุนเจี๋ยพลาดท่าในสนามรบ แต่เขาไม่เคยคาดว่าตนเองจะต้องมาล้อมตีป้อมค่าย เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ขอเรือเพื่อมาล้อมป้อมปราการหลังจากนั้น
เรือที่จะใช้ล้อมนั้นเป็นเรือโจมตีเร็วซึ่งมีมาหลายขนาด รองรับอาวุธที่จำเป็น ต้องมีบุคคลหรือหน่วยอื่นควบคุม มันมีพลังที่โดดเด่นและมีพลังป้องกันทั่วไปเป็นดาวข่มของป้อมปราการ
ปู้จื้อเฟยใจเย็นลงได้ แต่ขณะนั้นเอง เสียงหวีดหวิวดังมาจากอากาศ เขาเงยหน้าขึ้นมองและสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
จากป้อมปราการที่เห็นมีบอลแสงขนาดใหญ่ลอยสูงขึ้น มีขนาดใหญ่กว่าครั้งก่อนถึงสามเท่า
บึ้ม!
เสียงระเบิดก้องต่ำเหมือนกับค้อนที่หวดกระหน่ำใส่หัวใจพวกเขา
บอลแสงที่ลอยขึ้นฟ้าระเบิดพร้อมกัน บอลแสงทั้งหมดระเบิดกลายเป็นประกายเข็มแสง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเข็มแสงและในทันทีนั้นก็ล้อมคลุมรอบป้อมปราการ
ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป และกลุ่มที่บินอยู่รอบๆและใกล้เคียงไม่สามารถป้องกันได้ทันทีและถูกล้อมไปด้วยเข็มแสงเต็มท้องฟ้า
ม่านพลังรอบๆกลุ่มทั้งหมดเป็นแนวตรง แต่สามารถคงอยู่ได้เพียงหนึ่งวินาทีก่อนที่จะสลายออกไป
ชี่ ชี่ ชี่!
เข็มแสงที่แหลมคมแทงเข้าไปในร่างของทหาร และในท้องฟ้าเริ่มปรากฏรอยดอกไม้โลหิตผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
สมาชิกเพียงไม่กี่คนที่โชคดีกว่าอยู่ห่างจากป้อมปราการและหลบหลีกอันตรายได้ แต่ฉากภาพข้างหน้าก็ทำให้พวกเขาตกใจ
ตาของปู้จื้อเฟยแดงทันที เขาตวาดลั่น “ถอย!”
แต่สายเกินไปแล้ว เหมือนกับพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นเร็วและหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีต่อมา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงก็สลายไป และในขณะเดียวกันทหารของปู้จื้อเฟย
กองพลที่เจ็ดตายอย่างเงียบงัน ทุกคนตกตะลึง
หน้าของปู้จื้อเฟยซีดขาว เขากัดริมฝีปากจนเลือดออก แต่เขาไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
‘เราติดกับ’
‘ศัตรูเหมือนกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์พวกมันเผชิญการตรวจสอบของเราอย่างต่อเนื่อง พวกมันรอจนเรามั่นใจเต็มที่และพอถึงเวลานั้น พวกมันก็ลงมือ’ เป็นแรงกระทบที่หนักหน่วง ปู้จื้อเฟยเจ็บช้ำอยู่ในใจ กำลังพลของเขาตายไป 200 นาย และนับเป็นการปราชัยครั้งใหญ่ที่สุดที่ทำให้กองพลที่เจ็ดเสียหายหนัก
ผู้รอดชีวิตทุกคนกลับมาเข้าขบวนอย่างไม่มีแก่จิตแก่ใจ กำลังใจของพวกเขาตกอย่างหนัก
************
ทุกคนที่อยู่ภายในป้อมไพรกระบี่ดีใจกันหมด การโจมตีสร้างความเสียหายหนักหน่วงให้กับศัตรูและเพิ่มพูนกำลังใจเป็นอย่างมาก กองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านไป๋กวงเป็นทหารระดับต่ำที่สุด และตอนเริ่มแรกพวกเขายังสั่นด้วยความกลัว หลังจากผ่านมาช่วงสองสามวันมานี้ได้ ในที่สุดพวกเขาก็ปรับตัวเองให้เข้ากับจังหวะในการสู้รบได้
สามคนที่มองดูการต่อสู้ถอนหายใจโล่งออกเช่นกัน
“เจ้าคนไม่น่าไว้ใจ” หลิงซิ่วพูด เขาตัดสินใจรักษาระยะห่างจากลุงหน้าไพ่ที่รู้ว่าเมื่อใดเขาจะขายความเชื่อมั่นตนเองออกไปเพราะได้รับอิทธิพลจากปิง
อาเฮ่อยกย่อง “รอรับรางวัลได้เลยจริงๆ”
จิ่งหาวก็ยังชื่นชมเต็มที่ “แบกชื่อเสียงขุนพลกล้าได้นับว่าโดดเด่นจริงๆ การควบคุมรังสีโจมตีของเขายอดเยี่ยมและสูงล้ำจริงๆ”
เมื่อเห็นทหารดีใจปิงยังไม่เร่งเตือนขัดคอพวกเขาก่อน ชัยชนะช่วงเวลาสั้นๆช่วยพวกมือสมัครเล่นได้มาก แต่เขารู้ว่าสงครามเพิ่งเริ่ม และการรบครั้งต่อไปจะต้องโหดร้ายมากขึ้นและจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก
‘การผสานพลังของเหล่ามือใหม่ที่น่าสมเพช...’
‘ถ้าไม่อย่างนั้น เราคงสามารถกวาดทหารที่เหลืออีก 100 คนได้แล้วน่าเสียดาย...’
เป็นเรื่องของโชคที่แม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามเป็นคนมากระแวงดังนั้นปิงจึงดีใจ ตอนแรกพลังที่กองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านไป๋กวงแสดงออกมาน้อยนิดน่าห่วงระดับการผสานพลังเพียง 30%ครึ่งหนึ่งของการฝึกทั่วไป โชคดีสำหรับพวกเขา หลังจากฝึกฝีมือต่อเนื่อง พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับการสู้รบมากขึ้น และการผสานพลังเริ่มมีระดับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การผสานพลังตอนนี้อยู่ในระดับ60% ซึ่งเป็นระดับขั้นต่ำของการใช้งาน
‘เรายังโชคดี’ ปิงพ่นควันเป็นวงและมองดูศัตรูที่อยู่นอกกำแพงเมือง ‘พวกเขาคงหยุดไปได้สักสองวัน’
“ให้เวลาพักครึ่งวัน”
คำสั่งทำให้มีเสียงฉลองกันดังขึ้น
ปิงที่อยู่ด้านหลังม่านควันแค่นเสียงในใจ ‘มือสมัครเล่นเอ๋ย, ชุดใหญ่จะมาถึงในอีกไม่ช้าหรอก’
จากนั้นเขาคิดถึงกลุ่มมือสมัครเล่นอีกกลุ่มหนึ่ง กองพลจักรกล พวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง? เมื่อคิดถึงพวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของถังโฉ่ว เขายิ่งรู้สึกยินดีมากขึ้น
จากนั้นเขาคิดถึงเรื่องอาซิ่น‘ข้าสงสัยจริงว่า ตอนนี้อาซิ่นอยู่ที่ไหนเจ้างี่เง่านั่นยังคงเป็นเหมือนครั้งล่าสุดอีกหรือ เป็นไปไม่ได้’ จากนั้นเขาคิดถึงลั่วซือและตัดสินใจว่าหลังจากรบเสร็จแล้ว เขาจะกลับไปเมืองสามวิญญาณเพื่อตรวจสอบการค้นคว้าวิจัย, การฟื้นฟูลั่วซือขึ้นอยู่กับพวกเขา
“มันวุ่นวายเสียจริงและไม่มีทางคลายกังวลได้เลย” ปิงพึมพำเขาดีดบุหรี่ของเขาทิ้ง และเดินออกไปเงียบๆ
*********************
ในท้องฟ้าเหนือทะเลสาบเสียงระเบิดดังแน่นหนาและจุดไฟกระพริบต่อเนื่องก็ปรากฏขึ้น พวกมันคือหิ่งห้อยและหนอนปะทะกันและทุกครั้งที่พวกมันปะทะกัน ก็จะเกิดประกายแสงแปลบปลาบกระจายออก ประกอบยามราตรีและความสวยงามของทะเลสาบประกายไฟนับพันที่ร่วงลงเป็นเม็ดฝน ก่อให้เกิดภาพสวยงามสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชม
ร่างทั้งสองยังกระพริบวูบวาบอยู่ในท่ามกลางกลุ่มแสง ด้วยความเร็วที่น่าทึ่งพวกเขายังคงไล่กวดและต่อสู้กัน เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงจนคนแทบลืมหายใจ
กงเฉินจ้องมองเหมิ่งหนาน ใบหน้าที่หล่อของเขาแสดงให้เห็นเจตนาฆ่าที่น่ากลัวอย่างมิอาจอธิบายได้
ความรู้สึกถึงอันตรายเริ่มก่อเกิดขึ้นจากในใจของเขา
‘พลังความแข็งแกร่งของคนผู้นี้มากกว่าที่รายงานไว้เสียอีก!’
แม้ว่าเหมิ่งหนานจะสลายพลังกระบี่โจมตีของเฉียวอี้อันได้ แต่เขาก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ กงเฉินและเฉียวอี้อันได้ลอบพูดคุยกันถึงพลังของเหมิ่งหนานและสรุปออกมาว่าเขาห่างจากระดับเซียนเงินครึ่งก้าว ข้อสรุปของเฉียวอี้อันได้รับการยอมรับจากพวกที่เหลือ วิชาต่อสู้ของเซียนเงินอาจจะงดงาม แต่เขาไม่ได้รู้แจ้งเรื่องการแปลงพลังแต่อย่างใด ดังนั้นพวกเขาจึงพิจารณาว่าเขายังห่างจากระดับเซียนเงินครึ่งก้าว
กงเฉินเต็มไปด้วยความมั่นใจห่างจากเซียนเงินครึ่งก้าวและเซียนเงินเป็นสองคำที่แตกต่างกัน แต่พลังราวกับฟ้ากับดิน
ในเวลาอันรวดเร็ว การตัดสินของเฉียวอี้อันก็ได้รับการรับรอง
‘ถูกแล้ว, บุรุษผู้นี้ห่างจากระดับเซียนเงินครึ่งก้าวจริงๆ หิ่งห้อยในท้องฟ้าก็คือกลุ่มพลังงานที่ระเบิดได้และพลังงานระเบิดเหล่านี้ก็ใกล้เคียงกับการแปลงพลัง แต่พวกมันยังอ่อนด้อยกว่า’
‘เขายังห่างระดับเซียนเงินครึ่งก้าว’
กงเฉินต้องยอมรับว่าทักษะการต่อสู้ของเหมิ่งหนานนั้นโดดเด่นจริงๆ สามารถสร้างวิทยายุทธที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นได้ทั้งที่ห่างจากระดับเซียนเงินครึ่งก้าวนับว่าเป็นประวัติการณ์ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะพลังที่ต่างกันด้วยวิทยายุทธนั้น นั่นเป็นความฝันของคนโง่ๆ
แต่ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ตรรกะและเหตุผลของกงเฉินถูกล้มล้างอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากหิ่งห้อยเหล่านั้น ศัตรูของเขาไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลย!
‘การเคลื่อนที่บีบอัดสุญญากาศต้องใช้พลังกายที่น่าอัศจรรย์ เขามาจากทวีปคนเถื่อนหรือยังไง?’
กงเฉินจ้องดูหมัดของถังเทียน เพลิงสีเทาครอบคลุมอยู่รอบหมัด เปลวเพลิงแปลกคือสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในทวีปคนเถื่อน
ตราบใดที่พลังงานใดๆสัมผัสกับเปลวเพลิง ก็จะสลายตัวไปหมด
โธ่เว้ย!!
‘เดี๋ยวก่อน’ กงเฉินสั่นทันที ตาของเขามองดูรอบตัวของถังเทียนและหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เขาตระหนักได้ทันทีว่ายิ่งเวลาผ่านไป หิ่งห้อยในท้องฟ้าก็ยิ่งเพิ่มจำนวน และพวกมันเริ่มขยายออกมา
เป็นไปไม่ได้!
หน้าของกงเฉินเริ่มปราศจากสีเลือดทันที
ถังเทียนมองดูกงเฉินอย่างเย็นชา และเพลิงสุญญตาที่เงียบสงบพลันขยายผ่านข้อมือและลามมาที่แขนราวๆสามนิ้ว เนื่องจากการฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน เขาจึงซึมซับทองดำเข้าไปในพลังสายเลือด ดังนั้นเพลิงสุญญตาจึงแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
คู่ต่อสู้งงงัน ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไปมันกระโจนเข้าหาถังเทียนอย่างโปรดปราน
หิ่งห้อยจ้าวปีศาจไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์การแปลงพลังงานไม่สามารถทำลายหนอนของคู่ต่อสู้ได้เด็ดขาด แม้ว่าจะมีหนอนปริมาณที่น้อยกว่า แต่หนอนก็ยังได้เปรียบ
แต่ถังเทียนมีเวลามากน้อยแค่ไหนในการใช้หิ่งห้อยจ้าวปีศาจ?
ในระยะแรกของวิชากรงเล็บเพลิงภูตพราย เขาได้ระเบิดพลังงานในอากาศซึ่งจากนั้นก็ทำให้เขาพบว่าการระเบิดพลังงานในร่างกายจะสร้างหิ่งห้อยจ้าวปีศาจออกมาได้ และหลังจากได้ร่างมีพลังกายเป็นศูนย์ หิ่งห้อยจ้าวปีศาจก็กลับมาระเบิดพลังงานในอากาศอีกครั้ง
และวันนี้ถังเทียนนำเอาการเผาผลาญในระดับใหม่กลับมา
พลังงานในอากาศเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ไม่สิ้นสุดหิ่งห้อยเพลิงยังคงระเบิดตัวต่อเนื่อง
หิ่งห้อยเพลิงจ้าวปีศาจขยายและแพร่กระจาย
นั่นคือการรู้แจ้งที่แท้จริง!
ปริมาณของหิ่งห้อยเพลิงจ้าวปีศาจแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องเงียบๆครอบคลุมทั่วทะเลสาบ สิ่งที่คนกลัวมากขึ้นก็คือหิ่งห้อยเพลิงนั้นยังคงสว่างขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เหมือนกับสัตว์ป่าที่เติบโตอย่างบ้าคลั่ง
ภาพสะท้อนของหิ่งห้อยเหนือทะเลสาบทำให้มองดูเหมือนดวงดาว และเนื่องจากจำนวนของหิ่งห้อยเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในอากาศก็สูงขึ้นไปด้วย คลื่นความร้อนทำให้ทะเลสาบเริ่มกลายเป็นไอ
ต้นหญ้าต้นไม้และดอกไม้ในอุทยานเริ่มเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว
ทุกคนไม่สามารถเห็นถังเทียนและกงเฉินได้ชัดเจนอีกต่อไป หิ่งห้อยในท้องฟ้าไม่สวยงามสำหรับพวกเขาอีกแล้ว แต่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวและสำลัก
เหมือนกับกลุ่มควันไฟที่ขยับตัวอย่างช้าๆ
แสงของหิ่งห้อยไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่สามารถส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้าที่มืดมิด ทำให้หน้าของผู้ชมทุกคนซีดขาว
ไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่น้อย