ตอนที่ 30 สถานที่ตั้งและหินอัพเกรดรูนิก
ตอนที่ 30 สถานที่ตั้งและหินอัพเกรดรูนิก
ทุกคนขึ้นไปหลังรถกันหมด เรน หลินและแม็คน่าอยู่ช่วงติดกับด้านหน้าของท้ายรถ ส่วนเมฆนั้นนั่งอยู่คนเดียวที่ท้ายรถ
ตำรวจเต้กำลังจะขึ้นไปขับรถ ตอนนั้นเองผู้กองเชนก็พูดขึ้นมา “ฉันขับเอง นายวิ่งไปเปิดประตูที่หน้าค่าย”
ผู้กองเชนเป็นคนขับ ขับรถออกไปจากค่ายจอดรับตำรวจเต้ที่ไปเปิดประตูค่ายขึ้นมาก ก่อนที่รถจะขับออกไป
“ผู้กองเชนเชื่อคำพูดของหมอนั่นเหรอ” เต้ถามขึ้นมา
“แล้วถ้าไม่เชื่อนายจะให้ฉันทำยังไง” ผู้กองเชนถามกลับมา
“เออ...” ตำรวจเต้นิ่งเงียบไป
“นายคิดว่าจ่าวัฒน์เป็นคนยังไง” ผู้กองเชนถามขึ้นมา
“เออ เขาก็นิสัยดีทำตามคำสั่งของผู้กองอย่างเคร่งครัด” ตำรวจเต้ตอบแบบรักษาน้ำใจ ชายหนุ่มรู้ว่าผู้กองเชนคงรู้เรื่องที่จ่าวัฒน์ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ แต่จะให้พูดไปตามตรงก็ไม่ได้
“หึ!” ผู้กองเชนพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ออกมาครั้งเดียวและไม่พูดอะไรอีก
ตำรวจเต้รู้สึกว่าเขาน่าจะไปนั่งข้างหลัง มันคงไม่กดดันแบบนี้
รถเคลื่อนตัวลงไปตามทางบนภูเขา ไม่นานก็มาถึงถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านมันเป็นถนนเส้นตรงที่ไม่มีทางโค้งหักซอก ดังนั้นผู้กองเชนจึงเหยียบคันเร่งได้อย่างเต็มที่
เสียงรถบรรทุกวิ่งเข้ามาในหมู่บ้านได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับผู้ติดเชื้อทั้งหมด พวกมันพากันออกมาหวังจะจับคนที่เข้ามากิน
แต่รถบรรทุกมาเร็วเกินไป พวกมันจึงไล่ไม่ทัน แน่นอนว่ามีตัวที่โผล่มาดังหน้าด้วย แต่มันโดนชนจนกระเด็นกระดอนอย่างไม่ไยดี
รถบรรทุกรักษาระดับความเร็วไว้ได้อย่างมั่นคงในที่สุดรถก็จับออกมาจากหมู่บ้าน ส่วนพวกผู้ติดเชื้อทำได้เพียงวิ่งตามหลังกินได้เพียงฝุ่นเท่านั้น
...
หลังจากกลับมาถึงที่สถานีตำรวจวอริกที่ 8
รถบรรทุกทหารก็ขับเข้าไปด้านใน สิ่งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กลับผู้รอดชีวิตที่สถานีตำรวจมาก รถบรรทุกมีขนาดใหญ่เกินไปจึงไม่เหมาะที่จะจอดที่โรงจอดรถใต้ดิน
พวกเขาจึงจอดมันอยู่ข้าง ๆ สถานีตำรวจแทน
คนแรกที่ลงจากรถคือเมฆ สีหน้าและท่าทางของเขานั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคืองเป็นอย่างมาก เขาลงจากรถและไม่พูดอะไรสักอย่าง
พอไปถึงที่หน้าประตูที่ดาบอินและตำรวจใหม่ที่ชื่อลีเปิดประตูรออยู่แล้วก็เดินผ่านไปในทันที
“ผู้กองเกิดอะไรขึ้น ทำไมไอ้หมอนั่นมันดูหงุดหงิดมาก” ดาบอินถามด้วยความสงสัย
“จ่าวัฒน์กับเดฟตายแล้ว” ผู้กองเชนตอบไป
“หมายความว่ายังไง!”
ทั้งดาบอินและตำรวจลีต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมาก
“เข้าไปด้านในก่อน รายละเอียดค่อยคุยกันทีหลัง” ผู้กองเชนกล่าว ก่อนจะขึ้นไปด้านบนชั้นสามกัน
ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเมฆ นอกนั้นคนอื่น ๆ ก็รวมกันอยู่ที่นี่
“ผู้กองนี่มันเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ บ้าจริงสองคนนั้นตายไปแล้วและเรายังไม่ได้รับอะไรกลับมาอีก” ดาบอินพูดด้วยสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“ผู้กองเชนครับ” ตำรวจลียกมือขึ้นเพื่อถาม
“ว่าไง”
“ผมอยากรู้ว่าแล้วเราจะทำยังไงกันต่อไป”
คำถามของตำรวจลีเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้มาก เพราะว่าจากแผนเดิมคือพวกเขาจะไปเอาอาหารและอาวุธกันที่ค่าย แต่ที่ค่ายไม่มีอะไรสักอย่างที่พวกเขาหวัง ตอนนี้แผนทั้งหมดจึงล้มเหลวไปแล้ว
“ทำแบบที่ทำมา ดูแลทุกคนให้ดีแล้วก็ประหยัดอาหารมากขึ้น” ผู้กองเชนตอบกลับ นี่คือสิ่งที่พอจะทำได้
“ผมเข้าใจแล้ว” ตำรวจลีผงกหัว
“เรนนายจะถามหรือให้ผมเป็นคนถาม” ผู้กองเชนพูดขึ้นมา
“ฉันถามเอง” เรนหันไปมองแม็คทหารหนุ่มที่กำลังชงกาแฟกินอยู่อย่างใจเย็น
“มีอะไร!” แม็คพูดขึ้นขณะที่ดื่มกาแฟอยู่
“นายคือทหารที่เหลืออยู่ที่นั่นคนสุดท้าย นายพอจะรู้ใหม่ว่าค่ายลี้ภัยรัฐบาลจัดตั้งไว้ที่ไหน” เรนถามขึ้นมา
“ค่ายลี้ภัย หมายความว่ายังไงรัฐบาลไม่ได้ประกาศออกมาเหรอ เอ๊ะเดี๋ยวก่อนนายหมายถึงค่ายลี้ภัยที่เป็นแผนฉุกเฉินระดับสูงหรือเปล่า” แม็คถามกลับไป
“แผนลี้ภัยฉุกเฉินระดับสูง มันคืออะไรอธิบายหน่อย”
“มันก็คือแผนที่จะอพยพเฉพาะคนระดับสูงและผู้ที่อยู่ในรายชื่อเช่นนักวิจัย วิศวกร แพทย์และคนที่มีประโยชน์ในการสร้างสังคมมนุษย์ขึ้นมาใหม่”
“นั้นนะแหละนายรู้ไหมว่ามันคือที่ไหน” เรนและทุกคนต่างก็ตื่นเต้น
“ถ้าที่ใกล้ที่สุดของเขต 39 มันตั้งอยู่ที่เมืองหินเหล็ก” แม็คบอกด้วยท่าทางนิ่ง แต่ฉันก็เคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดหรอกนะ
“ไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อมาก่อน” ผู้กองเชนพึมพำ
คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกเขาพากันขมวดคิ้ว ถ้ามีแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วจะไปได้ยังไง
“เมืองที่มีเหมืองเยอะ ๆ นะเหรอ”
ตอนนั้นเองหลินก็พูดขึ้นมา ทุกคนต่างหันมามองที่เธอเป็นสายตาเดียวกัน
“อาจารย์รู้ที่ตั้งมันอย่างนั้นเหรอ” เรนถามออกมา
“อืม แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่เดียวกันไหม หินเหล็กจะเรียกว่าเป็นเมืองก็ไม่ค่อยถูก เพราะตามจริงสถานที่นี้คือแหล่งที่ตั้งของอุตสาหกรรมหนัก ผลิตเหล็กและโลหะมีค่าอื่น ๆ มันมีทางรถไฟและทางน้ำที่ใช้เดินทางขนส่งของไปยังเมืองต่าง ๆ ซึ่งในเมืองนี้ก็มีผู้อยู่อาศัยเป็นคนงานของโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้” อาจารย์หลินพูดอธิบาย
“อาจารย์รู้เรื่องของเมืองหินเหล็กได้ยังไง” เรนถามอย่างประหลาดใจเพราะข้อมูลของอาจารย์หลินนั้นค่อนข้างเยอะราวกับเธอเคยไปมาก่อน
“ก็สมัยที่เป็นนักศึกษาทางคณะบริหารธุรกิจเคยพาไปดูงานที่นั่นมาก่อน ไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ในตอนนี้ด้วย” อาจารย์หลินยิ้มออกมา
“ความรู้อาจารย์มีประโยชน์มากครับ” เรนกล่าวชมหญิงสาวและหันไปถามแม็ค
“มันใช่ที่นั่นหรือเปล่า”
“ดูเหมือนจะใช่ มีทั้งวัสดุอุปกรณ์ โรงงานและเส้นทางรถไฟ ซึ่งน่าจะเป็นที่เดียวกัน” ทหารหนุ่มตอบไป ก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาดื่มต่อ
หลังจากนั้นผู้กองเชนก็เอาแผนที่ออกมาให้อาจารย์หลินระบุตำแหน่ง ซึ่งมันก็มีชื่อในแผนที่ของเขต 39 จริง ๆ แต่จากทิศทางแล้วอยู่ไกลจากที่นี่ถึง 300 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ถ้าเป็นก่อนวันสิ้นโลก ระยะทางแค่นี้ขับรถประมาณวันเดียวก็ถึง แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นระยะทางที่ไกลมาก
“เราจะขับรถไปกัน” เรนพูดขึ้นมา แม้จะไกล แต่ถ้าขับรถยังไงก็น่าจะถึง
“นายโง่หรือเปล่า รู้ไหมว่าพวกทหารพากลุ่มคนที่มีในรายชื่ออพยพไปได้ยังไง” แม็คยิงคามใส่เรน
“พวกเขามีเส้นทางอื่นเหรอ หรือจะไปทางรถไฟ” เรนตอบกลับไป
“ตามมาตรการแล้วพวกเขาจะใช้เฮลิคอปเตอร์บินไป นี่คือเหตุผลที่ว่าพวกเขาถึงไม่กลัวว่าเส้นทางจะไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าคนที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์มารับจะต้องไม่ใช่คนระดับธรรมดาแน่นอน และถึงไม่ได้ไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ก็ยังมีทหารและรถหุ้มเกราะพาพวกเขาไป ส่วนรถไฟที่นายพูดถึงน่าจะเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะที่สถานีมันมีผู้คนจำนวนมากยากต่อการปกปิดในการอพยพแบบเป็นความลับแบบนี้ นายคิดว่าด้วยรถและปืนในสถานี้แห่งนี้จะรอดจากผู้ติดเชื้อจำนวนมหาศาลด้านนอกได้อย่างนั้นเหรอ” แม็คพูดออกมาไม่หยุด ซึ่งทำให้ทุกคนในสถานที่นี้ต่างก็พากันมีสีหน้าหนักใจต่อสิ่งที่ได้ยิน
“นายคิดจะอยู่ที่นี่ก่อนไหม อย่างน้อยก็ยังปลอดภัย” ผู้กองเชนถาม เพราะคิดว่าเรนอาจจะเปลี่ยนใจ
“ผมขอไปปรึกษากับคนอื่น ๆ ก่อน อาจจะพักอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันเพื่อเตรียมตัว” เรนบอกความคิดของเขาออกไป
ระยะทางมันไกลจริง ๆ 300 กิโลเมตร ถ้าจะเดินทางพวกเขาต้องเตรียมตัวและหารถกันก่อน
หลังจากรู้ถึงที่ตั้งค่ายอพยพ เรนก็ไม่ได้อยู่เพื่อพูดคุยกับผู้กองเชนต่อ เขาออกมาและไปหากลุ่มของตนเอง ตอนนี้ธันวา ไอราและรินดารู้เรื่องที่พวกเรนกลับมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปหาเพราะเรนไปคุยกับผู้กองเชนที่ชั้นบน
พอลงมาที่ชั้นสองก็พบกับทั้งสามยืนรออยู่แล้ว เรนพาพวกเขาลงไปที่ชั้นล่างในมุมเงียบ ๆ เพื่อบอกข่าวเรื่องค่ายอพยพและให้พวกเขาตัดสินใจกัน
“ฉันอยากไปที่ค่ายนั้น” ธันวาพูดขึ้นมา
“ฉันด้วย” ไอราเห็นด้วย ส่วนรินดานั้นยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะพยักหน้าด้วย
“ฉันไปอยู่แล้ว” อาจารย์หลินกล่าว
“เอาเป็นว่าทุกคนจะไปที่ค่ายลี้ภัย ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้พวกเราไปหารถและน้ำมันกันก่อนจะออกเดินทาง” เรนบอกเป้าหมายกับทุกคน
ที่พวกเขาไม่ไปเตรียมตัวในวันนี้ เพราะตอนนี้ข้างนอกนั้นมืดแล้ว
...
ตกเย็นเรนก็กินอาหารของตนเองตามปกติ ก่อนจะเริ่มจัดการกับสิ่งที่ได้มาอย่างเงียบ ๆ อย่างแรกเลยคือเหรียญทองระบบจำนวนของเหรียญทองระดับที่เรนได้มานั้นมีมากถึง 500 เหรียญทอง
ซึ่งเพียงพอให้เรนอัพเกรดรูนิกของเขาแล้ว
ตามความตั้งใจเดิม เรนคิดจะอัพเกรดรูนิกลูกศร แต่เรนเปลี่ยนใจแล้ว
“เริ่มจากเจ้านี่ก่อน”
รูนิกที่เรนเลือกนั้นคือ รูนิกหมีดำภูเขา (1) : ระดับ 1 ขั้นไม่มี
รูนิกหมีดำภูเขา + หินอัพเกรดระดับ 1 หนึ่งชิ้น + เหรียญทองระบบ 100 เหรียญ
หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไม่นาน เงินของเรนก็โดนหักออกไป 1 ร้อยเหรียญและหินอัพเกรดระดับ 1 ที่พึ่งได้มาจากฐานวิจัยจำนวน 4 ชิ้นก็หายไปเช่นกัน
“รูนิกหมีดำภูเขา (1) : ระดับ 1 ขั้นต้น”
***เปลี่ยนจากขั้นต่ำเป็นขั้นต้นนะ
รูนิกหมีดำภูเขาของเรนเปลี่ยนเป็นขั้นต้นแล้ว เรนทารกตรวจสอบมันในทันที
“รูนิกหมีดำภูเขา (1) : ระดับ 1 ขั้นต้น พลังงานที่ใช้ 2 หน่วยต่อชั่วโมง สภาวะแรก ‘จำลองพลัง’ ใช้พลังงาน 10 หน่วย สภาวะที่สอง ‘ผสานร่าง’ ใช้พลังงาน 20 หน่วย สภาวะที่สามหลอมรวมสมบูรณ์ใช้พลังงาน 30 หน่วย”
อย่างอื่นยังเหมือนเดิมหมด ยกเว้นพลังงานที่ใช้เปลี่ยนจาก 1 หน่วยเป็น 2 หน่วย
“ถ้าเพิ่มขึ้นไปอีกมันก็จะเพิ่มพลังงานที่ใช้ แต่ก็ยังยอมรับได้” เรนเลือกจะเพิ่มขึ้นรูนิกหมีดำภูเขาต่อ เพราะรู้ว่ายิ่งขั้นสูงก็หมายถึงยิ่งแข็งแกร่ง
รูนิกหมีดำภูเขา + หินอัพเกรดระดับ 1 หนึ่งชิ้น + เหรียญทองระบบ 100 เหรียญ
“รูนิกหมีดำภูเขา (1) : ระดับ 1 ขั้นกลาง พลังงานที่ใช้ 3 หน่วยต่อชั่วโมง สภาวะแรก ‘จำลองพลัง’ ใช้พลังงาน 10 หน่วย สภาวะที่สอง ‘ผสานร่าง’ ใช้พลังงาน 20 หน่วย สภาวะที่สามหลอมรวมสมบูรณ์ใช้พลังงาน 30 หน่วย”
ครั้งนี้หลังจากที่รูนิกหมีดำภูเขาเป็นระดับ 1 ขั้นกลาง พลังงานที่ใช้ก็เพิ่มมาเป็น 3 หน่วยเช่นกัน
เรนอยากจะอัพเกรดให้เป็นขั้นสูงต่อในทันที แต่ว่าเหรียญทองระบบของเรนนั้นเหลือไม่พอ เนื่องจากขั้นสูงต้องใช้ 300 เหรียญทองระบบ
“เหลือแค่ 200 เหรียญ รวมกับของที่เก็บไว้และได้มาเพิ่มจากการฆ่าผู้ติดเชื้ออีก 70 เหรียญทองเท่านั้น อาจารย์หลินเองก็คงมีเหรียญทองไม่มากนัก” เรนตัดสินใจไม่อัพเกรดรูนิกหมีต่อ แต่เขาทำการอัพเกรดรูนิกอื่นแทน
รูนิกปืนลูกซองได้รับการอัพเกรดเป็น
“รูนิกปืนลูกซองมอสเบิร์ก มาวาริส 88 (2) : ระดับ 1 ขั้นต้น ใช้พลังงาน 2 หน่วยต่อชั่วโมง พลังงานสร้างลูกกระสุน 1 นัดต่อ 0.5 พลังงาน”
พอเห็นผลลัพธ์เรนก็ถอนหายใจอย่างโล่ง เพราะเขากลัวว่าพลังงานในการสร้างกระสุนจะเพิ่มตาม
ขณะที่เรนกำลังจะหันไปอัพเกรดสิ่งอื่นต่อเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองนั้นยังมีหินอีกชนิดหนึ่งอยู่
“หินธาตุ” เรนสนใจและอยากจะทดลองใช้งานมันดู