ตอนที่ 25 ค่ายทหารในหุบเขา
ตอนที่ 25 ค่ายทหารในหุบเขา
ทุกคนรีบตามกันไปในทันทีและพบว่าประตูโรงนาเหมือนจะโดนรถไถชนจนพังลงมา ซึ่งทางเข้าก็มีรอยรถไถอยู่ เรนเดาว่าคงเป็นหนึ่งในพวกที่รอดชีวิตพยายามขับรถไถหนีจากผู้ติดเชื้อไป
“ไม่มีประตู ทำยังไงดี” เต้พูดขึ้นมา
“ไปที่ชั้นสอง” เรนบอกกับพวกเขา
“ไปที่ชั้นสองตามที่เขาบอก” ผู้กองเชนบอกกับคนของตนเอง
ทั้งกลุ่มปีนขึ้นไปที่ชั้นสองของโรงนามันเป็นชั้นลอย พวกเขายังช่วยกันยกบันไดขึ้นด้วย
หลังจากซ่อนตัวในโรงนาทุกคนก็อยู่ให้นิ่งที่สุด เสียงผู้ติดจำนวนมากวิ่งไปทั่วทั้งบริเวณ มีบางส่วนวิ่งผ่านโรงนาไปด้วย ทำให้กลุ่มพวกเขาเห็นจำนวนของผู้ติดเชื้อเหล่านี้
ตอนนั้นเองก็มีผู้ติดเชื้อ 10 กว่าตัวได้มาหยุดอยู่หน้าโรงนาและทำท่าสูดดมกลิ่น ก่อนจะจากไปเมื่อไม่ได้กลิ่นพวกเขา เนื่องจากในโรงนามีแต่กลิ่นมูลสัตว์และกลิ่นอื่น ๆ จำนวนมากจึงกลบกลิ่นของเรนและกลุ่มไปจนหมด
ผู้ติดเชื้อเหล่านั้นเริ่มกระจายกันออกไปบริเวณโดยรอบ แต่ก็มีตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาในโรงนา ทุกคนพากันกลั้นหายใจและมองดูผู้ติดเชื้อตัวนั้น สภาพของมันต่างจากตัวอื่น ๆ เพราะดูเหมือนดวงตาของมันจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นไปแล้ว มันใช้จมูกดมกลิ่นและเอียงคอฟังเสียง
เรนขมวดคิ้วในทันที มันยืนอยู่นานมากประมาณครึ่งชั่วโมงไม่ไปไหน ทำให้พวกเขากดดันกันเป็นอย่างมาก
เรนและพวกต่างก็นอนรออย่างนิ่งเงียบ เพราะด้านนอกโรงนายังคงมีพวกผู้ติดเชื้อเดินไปมาอีกหลายตัว จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยง
ผู้กองเชนเริ่มอดทนไม่ไหวแล้ว
หลินที่มองพวกผู้ติดเชื้อด้านนอกผ่านช่องกำแพงไม้ เธอพบว่าพวกผู้ติดเชื้อเริ่มจะเดินออกไปจากบริเวณนี้ หญิงสาวสะกิดเรนในทันที
‘แสงแดด’ เรนคิดในใจแดดที่ร้อนทำให้พวกมันไม่ชอบ
เรนหันไปสะกิดบอกผู้กองเชนและคนอื่น ๆ พวกเขาก็มองตามเรนจึงเห็นว่าผู้ติดเชื้อที่เคยกระจายอยู่บริเวณนี้พากันจากไปแล้ว
แต่ว่าผู้ติดเชื้อที่อยู่ในโรงนาตัวนี้มันกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมจากไปไหน
‘หรือเพราะว่ามันไม่โดนแดดด้านนอก จึงไม่สนใจจะจากไป’ เรนจ้องไปที่ ก่อนจะตัดสินใจ
ชายหนุ่มเรียกรูนิกคันธนูออกมาและรูนิกลูกศรจากนั้นก็เตรียมจะสังหารมัน
คนอื่น ๆ มองการกระทำของเรนและก็เตรียมตัวลงมือ เผื่อมีอะไรผิดพลาด
ฟริ้ว!
ตุบ!
รูนิกลูกศรยิงเข้ากลางหัวของผู้ติดเชื้อตัวนั้น มันหงายหลังล้มลงในทันที
พวกเขายังไม่รีบออกไป แต่เฝ้ามองรอบ ๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีผู้ติดเชื้อตัวไหนมาอีก พวกเขาก็พากันออกมาจากที่ซ่อน
เรนเดินไปที่ศพของผู้ติดเชื้อที่ตายตัวนั้น เขาเรียกรูนิกลูกศรกลับมาและคว้าเอาหินพลังงานมา
“นายยิงได้เฉียบคมมาก เป็นนักกีฬายิงธนูอย่างนั้นเหรอ” จ่าวัฒน์เข้ามาถามเรน
“ประมาณนั้น” เรนตอบสั้น ๆ
“หินในมือนายคืออะไร” ผู้กองเชนถาม
“หินพลังงาน” เรนตอบเสร็จก็ถือมันไว้ในมือและดูดซับพลังงานของหินทันที จากการต่อสู้เขาเสียพลังงานไปพอสมควร หินก้อนนี้ถือเป็นผลตอบแทนของเขา
หลินเองก็เริ่มทำตามเรนเช่นกัน
ผู้กองเชนและตำรวจนายอื่น ๆ มองทั้งสองอย่างเงียบ ๆ พวกเขาสนใจการกระทำของเรนและหลิน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพลังวิเศษพวกนี้
ไม่นานหินพลังงานก็สลายหายไป เรนและหลินก็เตรียมพร้อมเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้ว” ผู้กองเชนถาม
“อืม” เรนพยักหน้าตอบ
“ถ้าอย่างนั้นไปกันต่อ ตอนนี้เราเสียเวลามากเกินไปแล้ว” ผู้กองเชนตอบ
พวกเขาเคลื่อนไหวกันต่อ ตอนที่ออกจากโรงนาก็ระวังเต็มที่และโชคดีที่ไม่มีผู้ติดเชื้ออยู่แถวนี้อีก พวกเขาออกมาจากหมู่บ้านได้ก็เจอเข้ากับทางคอนกรีตที่ทหารสร้างไว้ยาวขึ้นไปบนเขา
ทั้งกลุ่มเริ่มออกเดินทางกันต่อในทันที ระหว่างทางก็มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากที่เติบโตอยู่ เงาของต้นไม้ที่พลาดผ่านทำให้พวกเขาไม่รู้สึกร้อนมากนัก
ขณะเดินอยู่ตอนนั้นเองเรนก็หยุดฝีเท้าลงและมองดูขอบของถนนที่ติดกับต้นไม้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” หลินเอ่ยปากถามเขาและก็มองไปยังจุดที่เรนมอง ขอบของถนนโดนรากของต้นไม้แทรกตัวจนเกิดรอยแตกเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติมากของถนนติดป่า ทำให้เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรนถึงสนใจ
“เปล่าหรอก” เรนตอบเธอ ก่อนจะเดินไปต่อ
ทั้งกลุ่มเดินขึ้นไปตามถนน พวกเขาเกินกันอยู่ 1 ชั่วโมงเต็มในที่สุดก็มาถึงค่ายทหารแล้ว ที่นี่เหมือนถูกปรับปรุงใหม่ ทั้งหินและดินโดนดันออกไปจนเป็นที่ราบขนาดใหญ่บนเขา มีการสร้างรั้วทหารและหอคอยสังเกตการณ์หลายจุด
ผู้กองเชนสั่งให้เมฆปีนข้ามไปเปิดประตูให้คนอื่น ๆ หลังจากเข้ามาได้แล้ว ตำรวจเต้ก็โดนสั่งให้ขึ้นไปที่หอคอยเพื่อส่องจากมุมสูง เพื่อเป็นการลงโทษ
“ผู้กองไม่พบใครเลย” หลังจากส่องอยู่นาน ตำรวจเต้ก็ไม่พบการเคลื่อนไหวใด ๆ ในค่ายเขาจึงปืนลงมารายงานผู้กองเชน
“ลองไปดูด้านในกัน” ผู้กองเชนกล่าว
ทุกคนถืออาวุธเดินเข้าไปในค่าย
เรนและหลินทั้งสองเอารูนิกคันธนูออกมา เตรียมพร้อมจัดการกับผู้ติดเชื้อที่พบในค่ายทหาร แต่ยิ่งทั้งกลุ่มเดินเข้าไปสำรวจค่ายทหารมากเท่าไหร่ พวกเขาก็พบว่าในค่ายทหารนั้นไม่มีผู้ติดเชื้อหรือใครอยู่เลย
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมมันเหมือนว่าจะเป็นค่ายร้าง” ผู้กองเชนพูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขามั่นใจว่ามันต้องมีทหารอยู่แน่นอน แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้าม
“แยกกันสำรวจ” ผู้กองเชนกล่าวสั่งทุกคน
พวกเขาเริ่มแยกกันหา ก่อนจะพบกับรถบรรทุกทหารสองคันจอดอยู่ในโกดังหลังหนึ่ง
“ผู้กองเจอแล้ว” จ่าวัฒน์ตะโกนเรียกผู้กองให้ไปดู
ผู้กองเชนรีบวิ่งไปที่รถบรรทุกทหารในทันที เขาเห็นรถทหารทั้งสองคันก็จดจำได้ว่าเป็นสองคันที่ตามหาและสั่งให้เดฟและเต้ช่วยกันเปิดท้ายรถบรรทุกทหาร แต่พอเปิดออกมามันกลับเป็นรถทหารที่ว่างเปล่าเท่านั้น
“เป็นไปได้ยังไง ลองเปิดคันนั้นดูด้วยสิ” ผู้กองเชนสั่ง
“ผู้กองไม่มีอะไรเหมือนกัน” เดฟขึ้นไปเปิดและหันไปตอบ
“พวกคุณรู้อยู่แล้วว่าจะพบรถทั้งสองคันนี้ พวกมันคือเป้าหมายที่เรามาที่นี่กันสินะ” เรนถามพวกตำรวจ
“ใช่ ฉันรู้เรื่องรถบรรทุกทหารทั้งสองคันนี้มาก่อน พวกทหารเคยให้ตำรวจช่วยเคลียร์เส้นทางให้กับรถทั้งสอง” ผู้กองเชนรับไปตรง ๆ
“ภายในมีอะไร” เรนถาม
“ไม่มีใครรู้ แต่เดาว่าคงเป็นอาวุธ แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว” ผู้กองเชนพูดด้วยท่าทีผิดหวัง
ตำรวจคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกเขาหวังว่าจะได้ของที่บรรทุกจากหลังรถคันนี้ แต่กลับเจอเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“บ้าเอ๊ย...” เมฆเองก็อดโมโหไม่ได้ มันทุบไปที่รถอย่างไม่พอใจ
เรนไม่สนใจท่าทีของตำรวจคนอื่น ๆ เขากลับสงสัยว่าคนพวกนี้ไปไหน เรนเดินไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับรอยแห้งรอยหนึ่งเขา เขามองตามรอยนั้นไปก็พบว่ารอยมันเข้าไปด้านในห้องด้านหลังโกดัง
“ดูนี่สิ” เรนบอกกับทุกคน
พวกเขามองตามรอยไป ผู้กองเชนที่เคยผ่านอะไรมามาก เขาก้มลงไปและใช้มือขูด ๆ ลอยดู
“เป็นรอยเลือดที่แห้งกรังไปแล้ว”
ทุกคนหันมามองหน้ากันในทันที
“ไปดูกัน”
พวกเขาเดินตามรอยเลือดที่แห้งเข้าไปด้านหลังโกดัง ก่อนจะพบว่าด้านในนั้นมันมืด
จ่าวัฒน์มองซ้ายขวาก็เจอเข้ากับสวิตช์ไฟที่อยู่ไม่ไกล พอลองเปิดดูก็ปรากฏว่ายังคงใช้งานได้ ไฟด้านในห้องสว่างขึ้นมา ห้องด้านในนั้นว่างเปล่า แต่ที่น่าสงสัยคือรอยเลือดกลับหายไปกลางห้อง เมื่อลองเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พวกเขาเห็นขอบรอยต่อของพื้นอยู่และพื้นที่อยู่ตรงกลางก็เป็นแผ่นเหล็กขนาดใหญ่
“ทางลัดลงไปใต้ดิน” เรนพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เขาลองเดินไปและเหยียบ ๆ มีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าด้านในมีช่องว่างจริง ๆ
เรนเดินไปโยกคันโยกที่อยู่ข้าง ๆ ทันทีที่เขาสับคันโยกไปอีกทางแผ่นเหล็กก็แยกออกจากกันทันที เผยให้เห็นลิฟต์แบบโบราณที่ยกตัวขึ้นมาด้านบน
“จะลงไหม” เรนถามความเห็นของผู้กองเชน
ผู้กองเชนมองไปที่ลิฟต์ การที่ทหารสร้างของแบบนี้แสดงว่าด้านล่างต้องเป็นห้องที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะซ่อนมันไว้ใต้ดินทำไม
บางทีอาจจะเป็นคลังอาวุธ
“เตรียมตัวลงไปด้านล่างกัน” ผู้กองเชนพูดขึ้นมา ก่อนจะเปิดประตูลิฟต์และเข้าไป เรนก็เข้าไปด้วย หลินกำลังจะเดินไป แต่เรนก็บอกกับเธอว่า “ฝากอาจารย์เฝ้าข้างบนด้วย”
“อืม” หลินพยักหน้าตกลง ก่อนจะถอยออกมา
“เมฆนายเฝ้าข้างบนไป” ผู้กองเชนสั่งเมฆ
เมฆที่กำลังจะก้าวเข้าไปก็หยุดชะงักในทันที ก่อนจะถอยออกมาอย่างไม่พอใจ
“ระวังตัวด้วย” เรนพูดกับหลินในทันที
“หึ” เมฆได้ยินแบบนั้นก็พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ ก่อนจะออกไปด้านนอกห้อง
ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิด ผู้กองก็กดไปที่ปุ่มลิฟต์ข้าง ๆ ลิฟต์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างช้า ๆ หลังจากลงมาลึกประมาณ 20 เมตร ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดลง
เต้เปิดประตูลิฟต์ในทันที
“ระวัง” เรนพูดขึ้นมาพร้อมกับเล็งธนูไปด้านหน้า
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ก้าวขาออกไปพวกเขาก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อสามคนวิ่งเข้ามาทางพวกเขาแล้ว เรนที่พร้อมอยู่แล้วก็จัดการยิงและสังหารไปหนึ่งตัว
ผู้กองเชนและตำรวจนายอื่น ๆ ก็ช่วยกันยิงเก็บอีกสองตัวไป
พวกเขาเดินเข้าไปดูก็พบว่าผู้ติดเชื้อพวกนี้ใสชุดทหาร
“พวกเขาเป็นทหาร” จ่าวัฒน์พูดขึ้นมา ก่อนจะหยิบบัตรประจำตัวทหารที่ติดอยู่ที่หน้าอกให้กับผู้กองเชนดู
“ดูเหมือนพวกเราจะพบกับฐานใต้ดินซะแล้ว” เรนบอกกับคนอื่น ๆ ที่กำลังสนใจศพของทหารทั้งสาม จุดที่พวกเขาได้ยินอยู่นั้นเป็นทางเดินทอดยาวและเหมือนจะกว้างมาก
นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เจอพวกทหารด้านบน เพราะพวกเขาลงมาอยู่ด้านล่างกัน