ตอนที่แล้วตอนที่ 17-63 เหตุการณ์พลิกผัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18-1 อาวุธแบบไหน?

ตอนที่ 17-64 มหากรุณา


“ประธานผู้อาวุโสออกไปที่เวทีประลองหรือ?” ลินลี่ย์ประหลาดใจมากเช่นกัน

เขาตามเบรุต ฟูโซ่และคนอื่นไปทันที พวกเขาบินออกไปจากหุบเขาใหญ่ทันที หลังจากบินออกจากหุบเขา กัซลีสันเหลือบมองม่านพลังธาตุที่คลุมเทือกเขาสกายไรท์ทั้งหมด จากนั้นตะโกนบอกนักรบลาดตระเวนที่อยู่เหนือถนนมังกร “ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ให้ถอนม่านพลังธาตุและยกเลิกการทำงานทั้งหมด!”

“เอ่อ...ขอรับ ท่านประมุข!”

นักรบลาดตระเวนเหล่านี้ค่อนข้างประหลาดใจ แต่จากนั้นพวกเขาค่อยรู้สึกตัวทันที

ลินลี่ย์จ้องมองม่านพลังธาตุที่ครอบคลุมไปทั้งเทือกเขาสกายไรท์ “นี่เป็นการดูถูก เป็นความอับอายของเผ่าตระกูล!” คนอื่นกำลังดูถูกพวกเขา แต่พวกเขาทุกคนทำได้แต่เพียงเอามืออุดหู ไม่กล้าตอบโต้? ถ้านี่ไม่ใช่ความอับอายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

เวทีประลองระหว่างเทือกเขาสกายไรท์และแปดตระกูลใหญ่ หลังจากสู้กันหลายครั้งแล้วมันเต็มไปด้วยรูและช่องนับไม่ถ้วน และเปื้อนเลือดสีแดงคล้ำมีให้เห็นทั่วเวทีประลอง

“อ๊าคคคคค”

เงากรงเล็บมังกรเจาะกะโหลกของศัตรู จากนั้นรั้งกลับมา ประธานผู้อาวุโสในร่างแปลงมังกรมองในที่ไกลอย่างเยือกเย็น “ฮึ่ม..คนต่อไป!” นี่เป็นคนที่สามที่นางสังหารบนเวทีประลอง

คนแรกที่นางฆ่าตายเป็นเทพชั้นสูงธรรมดาที่ชนะการต่อสู้ครั้งก่อน

คนที่สองที่นางฆ่าเป็นแค่อสูรหกดาว

แต่คนที่สามที่นางฆ่าเป็นยอดฝีมือระดับผู้อาวุโส

“ไกอา! ดูเหมือนว่าวันนี้เจ้ากำลังหาที่ตายนะ” ยอดฝีมือของแปดตระกูลใหญ่แค่นเสียงเช่นกัน

“หาที่ตาย? ข้าอยากเห็นว่าพวกเจ้าเหล่าสมาชิกแปดตระกูลใหญ่จะมีความสามารถพอฆ่าข้าได้ในวันนี้หรือเปล่า” สายตาเยือกเย็นของประธานผู้อาวุโสกวาดผ่านพวกเขา ไม่มีแววหวาดกลัวในสายตานางแม้แต่น้อย ผ่านไปหมื่นปีประธานผู้อาวุโสแบกรับความกดดันจนแทบเป็นบ้า

บิดาของนาตายทำให้ประธานผู้อาวุโสเศร้าใจไม่ลืมเลือน

เผ่าตระกูลไม่สามารถหลบหนีจากภัยพิบัตินี้ และขณะที่พวกเขาหนีและถูกไล่ล่า สามีของนางตาย

และตอนนี้ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ฟอร์ลันลูกคนเดียวของนางก็ตายเช่นกัน และนางเองถูกบังคับให้ต้องฆ่าเขาด้วยมือของนางเอง

ใครจะเข้าใจระดับความเศร้า ความเจ็บปวด ความสิ้นหวังในหัวใจของประธานผู้อาวุโส? อีกอย่างในหัวใจของนาง นางมักจดจำเผ่าตระกูลได้เสมอ และนางต้องแข็งแกร่งเพื่อตระกูล แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา...

แปดตระกูลใหญ่เหมือนกับยุงกวนใจ เยาะเย้ยถากถางดูหมิ่นตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่องจนถึงขนาดที่เผ่าตระกูลถูกบีบให้ต้องทำม่านพลังธาตุขนาดใหญ่ การกระทำแบบนี้ทำให้ประธานผู้อาวุโสรู้สึกอับอาย

นางไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป นางไม่ต้องการข่มอารมณ์ตัวนางเองอีกต่อไปเช่นกัน นางกลัวว่านางกำลังจะเป็นบ้า!

อย่างนั้นก็ต้องฆ่ากัน!

ฆ่าเพื่อความสาแก่ใจนาง! ขอเพียงฆ่านางจะได้ระบายความโกรธและความเศร้าในใจนาง

ประธานผู้อาวุโสยืนนิ่งอยู่บนเวทีประลองด้วยความถือดี หน้ากากเงินของนางมีรอยเลือดกระเซ็นใส่ “ใครจะมาสู้กับข้าอีก? ไม่ว่าใครมา ข้าไม่เกี่ยงทั้งนั้น” สายตาประธานผู้อาวุโสกวาดผ่านประมุขตระกูลทั้งแปดขณะที่นางแค่นเสียง

ประมุขตระกูลทั้งแปดรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องค่อนข้างอึดอัดใจ

สมาชิกรุ่นที่สองของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ทุกคนมีสมบัติมหาเทพ ยกตัวอย่างกัซลีสันมีสมบัติมหาเทพประเภทป้องกันวิญญาณ ขณะที่ประธานผู้อาวุโส ไกอานางมีสมบัติมหาเทพประเภทเกราะซึ่งหลอมรวมอยู่ในเกล็ดมังกรของนาง

แม้ว่าแปดตระกูลใหญ่จะไม่กลัวนาง แต่ประธานผู้อาวุโสยากจะรับมือได้ เนื่องจากนางมีสมบัติมหาเทพประเภทเกราะ

“ประมุขตระกูลบาร์บารี่ เจ้าจัดการนางน่าจะง่ายกว่า เจ้าไปเถอะ” ประมุขตระกูลโบลีนกล่าว

ประมุขตระกูลบาร์บารี่กวาดสายตามองมาที่นาง เขาพยักหน้าเล็กน้อยและร่างของเขากระพริบและบินขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง

“ข้ารู้ว่าอาจเป็นเจ้าหรือเวียนนาก็ได้ อีกหกคนไม่มีใครกล้าหรอก” ประธานผู้อาวุโสแค่นเสียงเยาะเย้ย สมบัติมหาเทพประเภทเกราะทำให้ประธานผู้อาวุโสไม่สนใจพลังโจมตีวัตถุของฝ่ายศัตรู ขณะที่นางสามารถใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งโจมตี

พลังป้องกันวิญญาณของประธานผู้อาวุโสนั้นแข็งแกร่งมากเช่นกัน นางมีแสงเรืองสีฟ้าเป็นทักษะเทพธรรมชาติของนาง เป็นที่รู้จักกันดีว่าเทียบเท่ากับสมบัติสำหรับป้องกันวิญญาณอย่างธรรมดา

แต่แน่นอน

แม้ว่านางจะทรงพลัง แต่ประมุขตระกูลของศัตรูก็ทรงพลังเช่นกัน

“ไกอา! วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า” เสียงทุ้มลึกดังขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะสั่นสะเทือนภายในอก ประมุขตระกูลบาร์บารีย์สูงมากกว่าสามเมตร เหยียดแขนขวา แส้ยาวสีฟ้าปรากฏขึ้นทันที แส้มีความยาวสิบเมตรเหมือนอสรพิษสีฟ้า

“ใครจะรู้ว่าเราคนไหนจะเป็นฝ่ายตาย!”

ประธานผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน และจากนั้นร่างของนางพุ่งไปข้างหน้าทันทีผ่านไปตามเวทีประลอง ประมุขบาร์บารีย์โน้มตัวมาข้างหน้าเช่นกัน แส้ยาวของเขาหวดออกก่อเป็นวงหลายชั้นวงล้อมประธานผู้อาวุโส

เมื่อถึงเวลา เบรุต ประมุขเผ่าและคนอื่นๆ มาถึงที่เชิงเขาสกายไรท์ ประธานผู้อาวุโสและประมุขตระกูลบาร์บารีย์สู้ติดพันกันอย่างดุเดือด ในการสู้ครั้งนี้ประธานผู้อาวุโสเสียเปรียบ

แส้ยาวนั้นมีพลังมากเช่นกัน

“นี่...นี่คือพลังของประธานผู้อาวุโสหรือนี่?” ลินลี่ย์จ้องมองฉากภาพที่อยู่ต่อหน้าเขาด้วยความทึ่ง ประธานผู้อาวุโสและประมุขตระกูลบาร์บารีย์เปลี่ยนเป็นบอลเงาสองลูกร่ายรำเข้าหากัน แต่เสียงกลับเหมือนกับค้อนหวด มิติระเบิดกระจายอย่างเห็นได้ชัดทุกที่ทำให้ลินลี่ย์จ้องมองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

เบรุตชำเลืองมองมาทางลินลี่ย์ จากนั้นหัวเราะอย่างใจเย็น “ไม่ต้องประหลาดใจลินลี่ย์, เกล็ดมังกรของไกอาหลอมรวมสมบัติมหาเทพประเภทเกราะไว้ในนั้น เป็นธรรมดาที่เวลานางต่อยและเตะจะมีความน่ากลัว สำหรับศัตรูของนาง แส้ยาวนั่นเป็นสมบัติมหาเทพประเภทอาวุธ สมบัติมหาเทพปทะกับสมบัติมหาเทพ..แรงปะทะกันย่อมทรงพลังเป็นธรรมดา

ลินลี่ย์มองและสูดหายใจลึก

“ลินลี่ย์, พลังของอาวุธเจ้ายังอ่อนด้อยไปนิด เจ้าอยากได้อาวุธที่ทรงพลังมากขึ้นบ้างไหม?” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น

ลินลี่ย์หันไปมองเบรุต ตาของเขาเต็มไปด้วยความทึ่ง ไม่ว่าเขาจะโง่เพียงไหน เขาสามารถบอกได้ว่าเบรุตดูเหมือนจะยื่นข้อเสนอให้อาวุธที่ทรงพลังแก่เขา อาวุธแบบไหนกัน? สิ่งแรกที่ลินลี่ย์คิดก็คือ...อาวุธประกายเทพ!

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะสร้างอาวุธประกายเทพได้” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น “ดังนั้นเจ้าต้องขยันให้มากเสียก่อน เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพชั้นสูง ข้าจะสร้างอาวุธให้เจ้าอย่างหนึ่ง”

หัวใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ด้วยอาวุธประกายเทพ เขาอย่างน้อยก็มีโอกาสต้านทานพลังโจมตีจากอาวุธมหาเทพที่ศัตรูใช้

“ฝึกให้ไนักและกลายเป็นเทพชั้นสูงเร็วๆ” เบรุตหัวเราะเบาๆ

ลินลี่ย์หันไปมองดูที่เวทีประลอง การต่อสู้ของประธานผู้อาวุโสกับประมุขตระกูลบาร์บารีย์ถึงจุดสูงสุดแล้ว และแส้ยาวนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเป็นงูใหญ่นับไม่ถ้วนรายล้อมเวทีประลองทั้งหมด

“มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?” ลินลี่ย์จ้องมองเวทีประหลาดด้วยความประหลาดใจ ยิ่งประมุขตระกูลบาร์บารีย์สู้นานขึ้น ดูเหมือนเขายิ่งผ่อนคลาย แส้ยาวถึงระดับที่ดูเหมือนแยกเป็นล้านสายและล้อมประธานผู้อาวุโสไว้

ยิ่งมองดู ลินลี่ย์ก็ยิ่งตระหนักว่าเคล็ดลึกลับไร้ขีดจำกัดเพียงไหน

“เขาฝึกฝนมาทางกฎธรรมชาติธาตุน้ำดีจริงๆ” เบรุตพูดชม

“เอ๋?” เบรุตเหลือบมองลินลี่ย์ที่ด้านข้าง “เจ้าเด็กนี่..ช่างซึมซับได้ง่ายจริงๆ” ในที่สุดเบรุตก็เริ่มเข้าใจเหตุผลที่ลินลี่ย์ฝึกฝนได้เร็วนัก

ขณะที่กลุ่มของเบรุตกำลังมองดูการประลอง ประมุขและผู้อาวุโสของแปดตระกูลใหญ่จ้องมองพวกเขาด้วยความตกใจ “เบรุตมา เขามาจริงๆ ด้วย!”

“เบรุตจะไม่เข้าแทรกแซงใช่ไหม?” แววตื่นเต้นวาบผ่านในดวงตาของประมุขตระกูลโบลีน

“เราไม่ได้ละเมิดคำสั่งเขา เขาคงไม่เข้าแทรกแซง”ประมุขตระกูลไรเนลพูดอย่างมั่นใจ แต่แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ในใจ

แปดตระกูลใหญ่รู้สึกถึงนัยในการมาของเบรุต

เมื่อคนถึงระดับเดียวกับประมุขเผ่าของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ ประมุขตระกูลทั้งแปด หรือระดับสุดยอดฝีมือ อาจกล่าวได้ว่าพลังของพวกเขาเทียบได้กับเทพอสูรในแดนนรก! แต่แม้พวกเขาจะทรงพลังมาก พวกเขาก็ไม่ได้ทรงพลังมากนัก

พลังป้องกันวิญญาณ พลังป้องกันการโจมตีวัตถุ...พวกเขาไม่มีจุดอ่อน

ระดับของพวกเขา พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวกันเลย สำหรับบางคนที่อยู่ที่ข้างหนึ่งเตรียมจะฆ่าพวกเขาเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับพวกเขาจะฆ่าคนในระดับเดียวกันเล่า? ก็ยังคงยากเช่นกัน! เหมือนอย่างตอนนี้ ประมุขตระกูลบาร์บารีย์และประธานผู้อาวุโสพบว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนี้!

แต่เบรุตแตกต่างออกไป!

สัตว์ประหลาดอย่างเบรุตและดันนิงเมื่อยืนอยู่ในระดับสุดยอดของเทพชั้นสูง พวกเขาสามารถฆ่าเทพอสูรของแดนนรกได้ พลังส่วนตัวเช่นนั้นนับว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่งน่ากลัว

ถ้าเบรุตต้องการให้นองเลือดจริงๆ เขาสามารถสังหารแปดตระกูลใหญ่ได้ ทุกคนสามารถคาดคิดได้ว่าเขาน่ากลัวเพียงไหน!

“ชีวิตวนเวียนไม่สุดสิ้นในวัฏจักรที่แน่นอน...ชีวิตวนเวียนไม่สุดสิ้นในวัฏจักรแน่นอน...” ลินลี่ย์พึมพำกับตนเอง เขาหลับตาจริงๆ และในใจของเขาปรากฏเงาเลือนรางของแส้นั้นและเคล็ดความรู้ลึกลับที่แฝงอยู่ภายใน...

เจ็ดกฎธาตุ สี่วิถี

แม้ว่าจะมีชื่อที่แตกต่าง แต่ทั้งหมดนั้นก็มีจุดเหมือนกันตามธรรมชาติบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ธาตุดินมีแก่นธาตุดิน ธาตุไฟมีแก่นธาตุไฟ คนที่เป็นวิญญาณกลายพันธุ์สามารถหลอมรวมและใช้เคล็ดลึกลับจากกฎธาตุที่แตกต่างพร้อมกันได้

ทำไมกฎเหล่านั้นหลอมรวมกันได้?

เพราะกฎธาตุเหล่านั้นมีความสากลทั่วไปและมีลักษณะร่วม!

กฎธาตุแตกต่างไม่ได้แยกกันอย่างสิ้นเชิง เคล็ดลึกลับของกฎธาตุต่างๆ นั้นล้วนเชื่อมโยงกันอยู่ภายในทั้งหมด กฎธรรมชาติธาตุน้ำมีร่องรอยของการเชื่อมโยงกับเคล็ดลึกลับชีวิตของกฎธรรมชาติธาตุดิน ขณะนี้เองลินลี่ย์เพิ่งเกาะกุมควมเชื่อมโยงนั้นได้...

ลินลี่ย์ซึมซับกับความผุดรู้นี้อย่างสิ้นเชิง แต่กัซลีสันและคนอื่นค่อนข้างจะตื่นเต้น “ท่านเจ้าแคว้น, สถานการณ์ของน้องสาวข้าแย่ลงทุกทีแล้ว โปรดหยุดการต่อสู้เถิด” กัซลีสันต้องการหยุดการต่อสู้ แต่เขายังไม่มีความสามารถเพียงพอ

สมบัติบัติมหาเทพปะทะกันเอง เขาไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง

“การต่อสู้แบบนี้ไร้ประโยชน์จริงๆ” เบรุตหัวเราะอย่างเยือกเย็น

“ควั่บ!”

เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ราวกับเขาเทเลพอร์ต

เบรุตพาตัวเองเข้าไปในกลางเวทีประลองทันที มีเสียงดังทึบ การต่อสู้บนเวทีก็หยุดชะงัก เบรุตคว้าปลายแส้ยาวด้วยมือข้างเดียว ขณะจับกรงเล็บมังกรของประธานผู้อาวุโสด้วยมืออีกข้างหนึ่ง

“ว้าววว...” บีบีตาเบิกกว้างจ้องมอง

“ทรงพลังเหลือเกิน” กัซลีสัน เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิง และประมุขเผ่าคนอื่น และประมุขตระกูลของแปดตระกูลใหญ่อดรู้สึกตึงเครียดในหัวใจมิได้ หมัดของประธานผู้อาวุโสเทียบได้กับพลังโจมตีของสมบัติมหาเทพ ขณะที่แส้ยาวก็เป็นสมบัติมหาเทพจริงๆ และมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้นับไม่ถ้วน

แต่เบรุตจับได้ด้วยมือข้างเดียวโดยไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด

เขากล้าคว้าสมบัติมหาเทพด้วยมือเปล่า....อำนาจและพลังของเบรุตทำให้กัซลีสันและคนอื่นตะลึงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเบรุตจะเป็นเทพอสูรของแดนนรกคนหนึ่ง.. แต่เขายิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพอสูรอื่นห่างไกลนัก

“พอได้แล้ว เลิกได้แล้ว เลิก เลิก” เบรุตพูดอย่างใจเย็น

ประธานผู้อาวุโสและประมุขตระกูลบาร์บารีย์ตะลึงทั้งคู่ ประธานผู้อาวุโสกลับไปเงียบๆ ขณะที่ประมุขตระกูลบาร์บารีย์อ้าปากเหมือนกับว่าต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่กล้า ในที่สุดทั้งหมดที่เขาพูดได้ก็คือ “ในเมื่อท่านเจ้าแคว้นขอ ข้าจะไว้ชีวิตนาง” หลังจากพูดเสร็จ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือบินกลับไป

แปดตระกูลใหญ่ยืนอยู่ทางด้านหนึ่ง ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกข้างหนึ่ง และระหว่างพวกเขาซึ่งยืนอยู่ในกลางเวทีรายล้อมไปด้วยยอดฝีมือทั้งหลายก็คือเบรุต

“ท่านเจ้าแคว้น, ทำไมท่านไม่บอกเราว่าท่านมาที่นี่?” ประมุขตระกูลโบลีนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีคล้ายจะเป็นมิตร มีหลายตระกูลที่ไม่กล้าล่วงเกินตัวประหลาดอย่างเบรุตหรือดันนิงตัน

แม้แต่เมื่อตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังมีอำนาจและความรุ่งเรือง มีมหาเทพทั้งสี่หนุนหลังพวกเขา ต่อให้ตระกูลพวกเขาไม่กลัวเทพชั้นสูงระดับพารากอน พวกเขาก็ไม่ต้องการล่วงเกินคนระดับนี้

“โอว..วันนี้ ข้ามาช่วยพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายคลี่คลายความบาดหมางของกันและกัน” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น

ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสของแปดตระกูลใหญ่ไม่อาจทนได้ พวกเขาหน้าบึ้งทันที

“ตอนนี้เป็นเวลามากกว่าหมื่นปีแล้ว พวกเจ้าสู้รบกันในแคว้นอินดิโกของข้ามาตลอดเวลานี้ และข้ามองเห็นทุกอย่าง ตอนนี้ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์สูญเสียเหล่าผู้อาวุโสมามากพอแล้ว และชื่อเสียงของพวกเขาก็เสียหายหนักเช่นกัน การลงโทษนี้เพียงพอแล้ว! เท่าที่ข้าเห็น, แปดตระกูลใหญ่ของพวกเจ้าควรจะกลับไปยังที่ซึ่งพวกเจ้าจากมา” เบรุตพูดกล่าวอย่างสง่าและอ่อนโยน

กลับไปยังที่พวกเขามา?

ประมุขตระกูลทั้งแปดโกรธจัด หน้าพวกเขาแดง พวกผู้อาวุโสของแปดตระกูลใหญ่โกรธแทบตาย

“ท่านเจ้าแคว้น” ประมุขตระกูลอีดริคไม่สามารถระงับความโกรธได้จึงพูดโพล่งออกมา “ในหลายปีมานี้แปดตระกูลใหญ่ของเราไม่เคยขัดขืนคำสั่งของท่าน เราไม่เคยบุกโจมตีเข้ามาในเทือกเขาสกายไรท์ ตอนนั้นท่านบอก..ว่าตราบใดที่เราไม่โจมตีเข้ามาในเทือกเขาสกายไรท์ท่านจะไม่แทรกแซง แล้วทำไมวันนี้ท่านถึงเข้ามาแทรกแซง?”

ประมุขแปดตระกูลรู้สึกเกลียด

เกลียดเพราะเบรุตไม่รักษาสัญญาของเขา พวกเขากลัวเบรุตก็จริง แต่ไม่ว่าเบรุตจะทรงพลังเพียงไหนเขาก็ไม่ควรละเลยสัญญาของเขา

เบรุตแค่หัวเราะอย่างใจเย็น เขาไม่พูดอะไรสักคำ

เสียงแหบแห้งของประมุขตระกูลโบลีนดังขึ้น “ท่านเจ้าแคว้น, เป็นความจริงที่ว่าสมาชิกหลายคนของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ต้องตายไป แต่หลายปีมานี้ แปดตระกูลใหญ่ของพวกเขาก็สูญเสียคนไปมากมายไม่ใช่หรือ? ยิ่งกว่านั้นเมื่อตอนที่มหาเทพทั้งสี่ยังมีชีวิต การกระทำของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ทิ้งหนี้เลือดเอาไว้ หลานชายของข้าเองถูกสมาชิกตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ฆ่าตาย และเหตุผลน่ะหรือ? คนผู้นั้นชิงภรรยาหลานชายข้าไป”

“ท่านเจ้าแคว้น” ประมุขเผ่าอสรพิษอเวจีพูดด้วยเสียงทุ้มเช่นกัน “ข้ามีหลานชายและลูกสาวเก้าคน แต่เดี๋ยวนี้เล่า? เหลืออยู่คนเดียว! อีกแปดคนตายหมด และทั้งหมดที่ตายล้วนตายอย่างไม่ยุติธรรม ต่อให้ตระกูลบาร์บารีย์ของเราไม่สนใจหนี้ที่เกิดขึ้น..แต่ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเราเกลียดพวกเขามาก ทำไมเราถึงยินดีที่จะสละผู้อาวุโสของเราด้วย ก็เพื่อขจัดพวกเขาให้สิ้นซากไม่ใช่หรือ?”

“เบรุต” ไรเนลพูดเสียงทุ้ม “เจ้ากับข้าเป็นทูตด้วยกันทั้งคู่ ภายใต้คำสั่งของมหาเทพบลัดริจ ข้าคิดว่าเจ้ารู้เรื่องของข้า... เจ้าบอกข้าที เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะยกเลิกความเป็นปฏิปักษ์ที่ข้ามีต่อพวกเขาได้หรือไม่?”

“ท่านเจ้าแคว้น...”

ประมุขตระกูลทั้งแปดพูดด้วยความโกรธ

พวกเขาฆ่าสมาชิกของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ไปมากมาย ใช่แล้ว..แต่มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาหรือไม่? ผู้อาวุโสของพวกเขาก็ตายคนแล้วคนเล่าเช่นกัน นอกจากนี้ พลังมหาเทพที่เก็บเอาไว้ของแปดตระกูลใหญ่ยังน้อยกว่าที่ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์มี ความจริงเพื่อให้ได้แก้แค้นตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ แปดตระกูลใหญ่สูญเสียผู้อาวุโสไปมากกว่าเล็กน้อย

เป็นแต่ว่าความสูญเสียเหล่านั้นกระจายตัวในหมู่ตระกูลทั้งแปดทำให้พวกเขาสามารถทนรับได้กับการสูญเสียเหล่านี้

ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาสูญเสียผู้อาวุโสไปราวๆ สองร้อยคน! ผู้อาวุโสของพวกเขาเป็นหลักของตระกูลพวกเขา และพวกเขาต้องการให้ผู้อาวุโสของพวกเขาตายอย่างนั้นหรือ? พวกเขาไม่ยินดีจะให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น... แต่ในช่วงหลายปีมานี้ ตั้งแต่โบราณจนถึงเวลานี้ ความเกลียดชังกันมากมายได้สั่งสมจนมากมายเกินไป!

พวกเขายินดีจะย้ายตระกูลทั้งหมดของพวกเขาและใช้ชีวิตของผู้อาวุโสของพวกเขาให้ออกไปสู้เสี่ยงชีวิต พวกเขายังยินดีจะใช้คำพูดเหยียดหยามเยาะเย้ย การกระทำเหล่านี้น่ารังเกียจมาก และพวกเขาก็ใส่ใจหน้าตาของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาต้องการจะทำเรื่องแบบนี้หรือ?

ไม่...แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก!

ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ถอนกำลังเข้าไปในภูเขาสกายไรท์ นี่เป็นเพียงวิธีบังคับให้พวกเขาออกมา!

“ข้ารู้ว่าแปดตระกูลใหญ่ของพวกเจ้าและตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์มีความเป็นปฏิปักษ์กันอย่างมาก แต่ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์สูญเสียผู้อาวุโสไปถึงเก้าในสิบแล้ว และชื่อเสียงของพวกเขาก็ได้รับความเสียหายอย่างมากมายเช่นกัน..ข้าคาดว่าทั่วทั้งแดนนรกจะได้รับบทเรียนเหล่านี้ ความรุ่งเรืองของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์จบลงแล้ว และผู้อาวุโสหลายคนของพวกเขาก็ตายไปแล้ว พอแค่นั้นเถอะ!”

เบรุตพูดอย่างใจเย็น “และที่ยิ่งกว่านั้น ในอดีตพวกเขาไม่ได้ฆ่าล้างตระกูลพวกเจ้า”

“ท่านเจ้าแคว้น เดิมทีท่านพูดว่าถ้าเราไม่โจมตีเข้าไปในเทือกเขาสกายไรท์ ท่านจะไม่เข้ามาแทรกแซง แต่วันนี้เล่า!” ประมุขตระกูลโบลีนอดพูดบ้างไม่ได้ ประมุขอีกเจ็ดตระกูลและผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ถลึงตามองเบรุตทุกคน

ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์กำลังมองดูเบรุตเช่นกัน

สมาชิกของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ถูกกดดันจนแทบจะเป็นบ้า แต่ละคนเต็มไปด้วยความทุกข์ใจสุดขีด ตอนนี้พวกเขามีความหวังว่า...ปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่ายจะยุติลงได้!

“ข้าได้พูดไว้เช่นนั้นจริงๆ!” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น “และเป็นความจริงที่พวกเจ้าไม่เคยโจมตีเทือกเขาสกายไรท์ อย่างไรก็ตาม...วันนี้ไม่ใช่ข้าหรอกนะที่เข้าแทรกแซงเรื่องนี้ แต่เป็นมหาเทพผู้ทรงอานุภาพ!”

เบรุตโบกมือและปรากฏแผ่นหนังแกะที่มีอักษรเวทรูนปรากฏอยู่บนนั้นแผ่นหนึ่ง

“แครก...” ทันใดนั้นหนังแกะเปล่งระลอกพลังงานแผ่ขยายออกไป

ประมุขแปดตระกูลใหญ่ตะลึง

“มหาเทพ?” พวกเขาไม่อยากเชื่อเรื่องนี้

แต่ขณะนี้เอง พลังงานที่มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใครปรากฏขึ้นในโลก พลังงานสีดำเริ่มรวมตัวกันอย่างรวดเร็วในท้องฟ้า พลังงานสีดำก็คือพลังมหาเทพวิถีทำลายล้าง พลังมหาเทพรวมกลุ่มอยู่ในกลางอากาศ...นี่เป็นความสามารถชนิดใด?

มวลพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างขนาดใหญ่ก่อตัวในกลางอากาศ กลายเป็นใบหน้าขนาดใหญ่สีดำสูงหลายสิบเมตร

รัศมีพลังที่น่ากลัวแผ่ขยายออก

“คารวะท่านมหาเทพ!” ไรเนลเป็นคนแรกที่คุกเข่าในทันใด เขาจำได้ทันทีว่า...นี่คือมหาเทพบลัดริจที่เขารับใช้

ใบหน้าใหญ่สีดำลอยนิ่งอยู่ในกลางอากาศจ้องมองลงมาที่ประมุขตระกูลต่างๆ และผู้อาวุโสรวมทั้งชาวเผ่าตระกูลเป็นล้านของทั้งสองฝ่าย ทุกคนคุกเข่าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง “พรึ่บ” คนนับไม่ถ้วนต่างคุกเข่าลง พวกเขาต่างกระวนกระวายไม่หยุดหย่อน

“คารวะมหาเทพ” เบรุตคำนับ

ใบหน้าสีดำขนาดใหญ่มีรอยยิ้มให้เบรุต และจากนั้นพูดเสียงดังกึกก้องเหมือนฟ้าผ่า “ขอให้เรื่องระหว่างแปดตระกูลใหญ่และตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยุติลงแต่เพียงแค่นี้ จงกลับไปยังที่ซึ่งพวกเจ้าจากมาเถอะ”

“ขอรับ!” ไรเนลเป็นคนแรกที่ตอบรับ

แม้ว่าประมุขตระกูลอีกเจ็ดคนยังลังเลใจที่จะทำเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ “ขอรับ!”

เบรุตคนเดียวก็น่ากลัวน่าสยดสยองเพียงพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมหาเทพ การกำจัดแปดตระกูลใหญ่สำหรับมหาเทพแล้วเป็นเรื่องง่ายดาย มหาเทพเป็นผู้มีพลังไร้ต่อต้าน และใครๆ ก็ต้านไม่ได้!

“เบรุต” ใบหน้าดำใหญ่มหึมามองดูเบรุต สายตาของเขาเหมือนกับลำแสง

“ท่านมหาเทพ” เบรุตคำนับ

“เจ้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นใครกัน?” ใบหน้ายักษ์สีดำกล่าว “ในที่อย่างนี้ นอกจากเจ้าแล้ว มีเพียงเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นที่ยังยืนอยู่” สายตาของมหาเทพเพ่งไปที่ไกล เมื่อมหาเทพชะลอลงมา ใครจะกล้ายืนแสดงความป่าเถื่อนและเย่อหยิ่งเล่า? เบรุตหันไปมองด้วยความมึนงง ทั้งกัซลีสันและคนอื่นๆ ก็หันไปมองด้วยเช่นกัน...

และพวกเขาเห็นว่าลินลี่ย์กำลังยืนหลับตานิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้ม

“ลินลี่ย์?” เบรุตค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน

ขณะนั้น เมื่อพวกเขาเห็นมหาเทพปรากฏตัว กัซลีสันและคนอื่นคุกเข่าลงรอการชี้ชะตาของมหาเทพด้วยความกระวนกระวาย ใครเล่าจะให้ความสนใจลินลี่ย์กัน? แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็น แต่พวกเขาไม่กล้าส่งเสียง

“พี่ใหญ่” บีบีพูดผ่านการเชื่อมวิญญาณอย่างแตกตื่น แต่ลินลี่ย์ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

“ข้าแต่มหาเทพ เขาคือลินลี่ย์ เด็กที่ข้าเคยพูดให้ท่านฟังมาก่อน” เบรุตพูดเสียงเบาๆ

“โอว” มหาเทพมองดูลินลี่ย์ด้วยความสงสัย และจากนั้นมีแสงฉายจากดวงตาของเขาลงที่ร่างของลินลี่ย์ “คนที่ซึมซับความรู้แจ้งระหว่างที่ข้าลงมามีอยู่จริงๆ หรือนี่ ตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน”

และในขณะนั้นเอง....

“ครืนนน...”

ระลอกพลังที่ไม่เหมือนใครทะลักเนื่องจากการชะลอลงมาของกฎธาตุธรรมชาติ ระลอกกฎพลังชนิดนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนที่นี่คุ้นเคยกันมาก นี่คือระลอกพลังของกฎธรรมชาติซึ่งปรากฏเมื่อมีคนกลายเป็นเทพ หรือเมื่อประกายเทพของนักสู้เปลี่ยนแปลง จากภายในร่างของลินลี่ย์ ประกายเทพธาตุดินสีเหลืองฉายรัศมีออกมา

กฎธรรมชาติธาตุดินกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ในประกายเทพนี้ และขณะเดียวกันวิญญาณก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย

มหาเทพ ประมุขตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ ประมุขแปดตระกูลใหญ่ ผู้อาวุโสอีกนับร้อย ชาวเผ่านับไม่ถ้วน พวกเขาทุกคนมองดูลินลี่ย์กลายเป็นเทพชั้นสูง บางทีเรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์แดนนรก

ครู่ต่อมา...

ลินลี่ย์ลืมตา

“หือ...เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อถูกคนนับไม่ถ้วนจ้องมอง ลินลี่ย์อดสะดุ้งตกใจไม่ได้

และจากนั้น ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังที่น่ากลัว เขาอดเงยหน้ามองขึ้นในอากาศไม่ได้ ขณะนั้นใบหน้าสีดำขนาดมหึมามองลงมาที่เขาเช่นกัน ลำแสงคู่ที่เปล่งมาจากดวงตาคู่มหึมาทำให้หัวใจลินลี่ย์ตึงเครียด

ลินลี่ย์เคยเห็นในผลึกบันทึกของมหาเทพ ในใจของเขาเข้าใจทันที

“มหาเทพ? มหาเทพท่านนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลินลี่ย์ตกใจมาก

ริมฝีปากบนใบหน้าสีดำเผยอยิ้ม “อัศจรรย์ น่าทึ่งจริงๆ” และจากนั้นใบหน้าสีดำขนาดมหึมาหายไปทันที มวลพลังสายวิถีทำลายล้างก็หายไปด้วยทันที ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่เลย

เบรุตบินเข้ามาหา จ้องมองลินลี่ย์และทำหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ลินลี่ย์! ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าจะทำอาวุธประกายเทพให้เจ้า เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพชั้นสูง แต่..ไม่.. ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบบรรลุเป็นเทพชั้นสูงเดี๋ยวนี้ก็ได้นี่”

“ข้า...”

ลินลี่ย์ไม่รู้จะพูดอะไร

เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองจะรู้แจ้งกะทันหันเหมือนกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด