ตอนที่ 17-63 เหตุการณ์พลิกผัน
เชิงเขาสกายไรท์ ประมุขเผ่าและผู้อาวุโสของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ประชุมรวมอยู่ด้วยกันและเป็นการประชุมลับ กลยุทธ์ของแปดตระกูลใหญ่นี้ไม่ใช่เรื่องฉลาดโดยเฉพาะ แต่เป็นแผนการที่ชั่วร้ายเลวทรามต่ำช้า!
เมื่อตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจถอนตัวจากการสู้รบ การตัดสินใจนี้ทำให้พวกเขาต้องกัดฟันยอมทนทรมานแล้ว
แต่มาบัดนี้แปดตระกูลใหญ่กลับมาเยาะเย้ยถากถางพวกเขาอย่างเปิดเผย นี่เหมือนกับราดน้ำมันลงในกองไฟ การสู้มีผลให้ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์รู้สึกโกรธเต็มประดาเต็มไปด้วยความเกลียด ประมุขเผ่าทั้งสี่กำลังปรึกษาหาวิธีคลี่คลายเรื่องนี้ ขณะที่ลินลี่ย์ไตร่ตรองเรื่องนี้เช่นกัน “ทำไมแปดตระกูลใหญ่ถึงต้องการฆ่าข้าให้ได้? ถึงขนาดที่แม้แต่ผู้นำตระกูลยังร่วมโจมตีข้าอย่างไร้ความละอาย?”
ลินลี่ย์เต็มไปด้วยความสับสน
ขณะเดียวกัน ลินลี่ย์มองดูข้างนอก แต่ขณะที่ทำนั้น ลินลี่ย์ทั้งขุ่นเคืองและสับสน “เอ..พวกเขากำลังทำอะไร?” แปดตระกูลใหญ่ส่งนักรบออกมาหลายคนให้ทำงานด้วยกัน ยกภูเขาเล็กที่กว้างพันเมตรสูงเกือบร้อยเมตร ภูเขาในพิภพชั้นสูงหนักอย่างน่าประหลาด เมื่อพิจารณาจากภูเขาขนาดเล็กนี้ ใครๆ ก็พอจะนึกออกได้ว่ามีน้ำหนักเท่าใด
“ทำไมพวกเขาถึงเคลื่อนย้ายภูเขา?” ลินลี่ย์มองดูด้วยความสงสัย
กัซลีสันและคนประมุขเผ่าคนอื่น รวมทั้งผู้อาวุโสต่างมองดูเช่นกัน ทุกคนค่อนข้างสงสัย
นักรบเหล่านั้นใช้พลังพร้อมกันและโยนภูเขาลงตรงหน้าพวกเขา ภูเขากระแทกลงกับพื้นดังบึ้ม เสียงกระแทกหนักหน่วงในพื้นที่ระหว่างเทือกเขาสกายไรท์และเชิงเขาที่มีพวกแปดตระกูลใหญ่อยู่
บุรุษท่าทางหยิ่งยโสคิ้วเขียวยาวบินมาที่ภูเขาน้อย
“เขาเองหรือ?” ลินลี่ย์ไม่ลืมคนผู้นี้ เป็นคนที่ใช้อาวุธมหาเทพโจมตีลินลี่ย์
บุรุษคิ้วเขียวพลิกมือ ก็มีมีดสีเขียวขนาดมหึมาลอยอยู่ในอากาศและฟันผ่าภูเขาน้อย หินและศิลาขนาดมหึมาถูกฟันขาดแตกทันที ลมพัดโหยหวนและเศษศิลาปลิวกระจายไปทุกที่ แต่ในขณะนั้นลักษณะของภูเขาน้อยเปลี่ยนแปลงไป
ถึงตอนนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางแปดร้อยเมตรและสูงห้าสิบเมตร
เป็นเวทีประลองขนาดใหญ่!
“ควั่บ!” เด็กหนุ่มร่างผอมนัยน์ตาชั่วร้ายเย็นชาบินไปที่เวทีประลองทันที เขากวาดสายตามองทุกคน จากนั้นพูดเสียงดัง “พวกเจ้าบอกว่าเราดีแต่ใช้กำลังรุมสู้ใช่ไหม? ก็ได้ วันนี้ เรามาสู้กันตัวต่อตัว ไม่อนุญาตให้ใครแทรกแซงระหว่างประลอง ลินลี่ย์! เจ้าฆ่าพี่ชายของข้า วันนี้ ข้าของท้าเจ้า ลินลี่ย์ เจ้าจะยอมรับคำท้าของข้าหรือเปล่า?”
“ลินลี่ย์, เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าไหม?”
เสียงนี้ดังกึกก้องไปทั้งเทือกเขาสกายไรท์ สะท้อนอยู่ในท้องฟ้า แม้แต่เดเลียและเวด ที่แต่เดิมอยู่ในหุบเขา เมื่อได้ยินเสียงท้าทายร้องเรียกลินลี่ย์ พวกเขากังวลและบินออกมา
ทุกคนมองดูลินลี่ย์ รอให้ลินลี่ย์ตอบสนอง
ลินลี่ย์, อย่าออกไปสู้” กัซลีสันพูดเบาๆ
“ลินลี่ย์” เดเลียบินออกมาแล้ว ลินลี่ย์พยักหน้าให้เดเลียจากนั้นยิ้ม
ขณะนั้นมีเสียงเหน็บแนมดังขึ้น “เจ้าไม่มีความกล้าออกมาสู้กันตัวต่อตัวหรือนี่ เฮอะ!” เป็นคำพูดเยาะเย้ย อย่างไรก็ตามมีหลายคนในฝ่ายศัตรูกำลังจ้องมองลินลี่ย์รอดูปฏิกิริยาของเขา
“บีบี เดเงีย เวด, กลับกันเถอะ” ลินลี่ย์แค่ยิ้มอย่างใจเย็น จากนั้นหันหน้าและกลับไป
ลินลี่ย์สามารถบอกได้ว่าแปดตระกูลใหญ่ต้องการยั่วยุให้เขาออกไปต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่ยอดฝีมือทั้งหกคนรุมโจมตีเขา ลินลี่ย์จึงเข้าใจ แปดตระกูลใหญ่ต้องการฆ่าเขามาก “ถ้าข้ายอมรับคำท้าเดี๋ยวนี้ นั่นไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่เป็นความโง่เขลา”
เมื่อเห็นว่าลินลี่ย์บินเข้าไปในภูเขาสกายไรท์ ประมุขตระกูลและผู้อาวุโสฝ่ายศัตรูได้แต่ถอนหายใจเสียดาย “เมื่อครู่นี้ เมื่อพวกเจ้าทุกคนรุมโจมตีก็ยังฆ่าลินลี่ย์ไม่ได้ ข้ารู้แล้วว่าลินลี่ย์จะต้องเพิ่มความระมัดระวังแน่นอน จะบังคับให้เขาออกมาในตอนนี้...เป็นเรื่องยาก!” เสียงทุ้มลึกดังขึ้น
“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้!”
ประมุขแปดตระกูลใหญ่เต็มไปด้วยความเสียใจ ตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่ดีสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ แต่พวกเขาพลาดไปได้ จะฆ่าลินลี่ย์ในตอนนี้น่ะหรือ? ลินลี่ย์คงไม่วู่วามให้โอกาสพวกเขาเป็นแน่!
ภายในเทือกเขาสกายไรท์ หุบเขาใหญ่ สามวันมานี้ผ่านไปตั้งแต่แปดตระกูลใหญ่ย้ายเข้ามาใกล้ๆ ในช่วงสามวันที่ผ่านไป แปดตระกูลใหญ่ด่าทอ เยาะเย้ยตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา แน่นอนว่าพวกเขาคงจะพักผ่อนกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะใช้ไปกับการด่าทอเยาะเย้ย
ดูเหมือนว่าการเยาะเย้ยถากถางตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นแหล่งความบันเทิงใจของพวกเขา
และแน่นอนว่า พวกเขายังคงร้องท้าทายโดยระบุชื่อของผู้อาวุโสและประมุขเผ่าให้ออกมาสู้ รวมทั้งกัซลีสันและประมุขอีกสามเผ่าและลินลี่ย์ด้วยเช่นกัน ชื่อเหล่านั้นถูกระบุและเยาะเย้ยบ่อยๆ แม้ว่าลินลี่ย์จะรู้ว่านี่เป็นแผนยั่วยุของฝ่ายศัตรู แต่ลินลี่ย์ก็ยังโกรธเมื่อได้ยิน
“ลินลี่ย์! ในช่วงเวลาอย่างนี้ เจ้าต้องไม่ออกไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม” กัซลีสันสั่งเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ลินลี่ย์ฝืนหัวเราะและพยักหน้า “ท่านประมุขไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจ เพียงแต่..บอกตามตรง....” ลินลี่ย์ยังคงได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางดังมาจากด้านบน แปดตระกูลใหญ่ใช้เวลาสามวันอยู่ที่เชิงเขาสกายไรท์
“การดูหมิ่นดูแคลนแบบนี้...ไม่ว่าใคร จะอารมณ์ดีหรือไม่ก็ตามล้วนโกรธกันทั้งนั้น” ลินลี่ย์พูดอย่างจนใจ
“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีชาวเผ่าของเราหลายคนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป พวกเขาออกไปสู้กับแปดตระกูลใหญ่บนเวทีประลอง” กัซลีสันถอนหายใจ “เมื่อความโกรธของคนเพิ่มถึงจุดหนึ่ง เขาก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน ชาวเผ่าตระกูลเหล่านี้ไม่สนใจคำสั่งของประมุขเผ่าตระกูลออกไปต่อสู้ แต่แปดตระกูลใหญ่ก็ยังรักษาคำพูดของพวกเขา สู้กันตัวต่อตัวทั้งหมด อย่างไรก็ตามผลของการประลองเป็นที่ชื่นชอบทางฝ่ายของเราเล็กน้อย” กัซลีสันเมื่อพูดคำพูดเหล่านี้แล้วก็ค่อนข้างจนใจ
ชาวเผ่าตระกูลทุ่มกำลังเต็มที่ แต่ยอดฝีมือของตระกูลก็ยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้
การสู้รบในแดนนรกต้องพึ่งพาอาศัยสุดยอดฝีมือ
ลินลี่ย์เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอึดอัดใจ ดังนั้นเขาเปลี่ยนหัวข้อคุย “จริงสิ, ท่านประมุข วันนั้น, เมื่อท่านช่วยข้า ท่านสามารถป้องกันดาบโค้งอาวุธมหาเทพได้ ถุงมือดำคู่นั้นของท่านเป็นสมบัติมหาเทพด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่”
กัซลีสันส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีสมบัติมหาเทพประเภทอาวุธ ท่านเจ้าแคว้นให้ถุงมือดำคู่นี้เป็นของขวัญข้า นั่นคืออาวุธประกายเทพ”
“อาวุธประกายเทพ?” ลินลี่ย์ตาเป็นประกาย
บีบีก็มีอาวุธประกายเทพเช่นกัน ประกายเทพเป็นวัตถุที่แข็งเหลือเชื่อดังนั้นอาวุธประกายเทพจึงเป็นของที่ไม่ธรรมดา
“สมบัติมหาเทพได้รับการหล่อเลี้ยงจากมหาเทพ พวกมหาเทพจะมีระดับพลังงานในร่างกายสูงส่งเหลือเชื่อ ดังนั้นสมบัติมหาเทพจึงมีพลังโจมตีที่น่ากลัว อย่างไรก็ตามอาวุธประกายเทพไม่ได้มีพลังในตัวมากมาย แต่มีอย่างหนึ่งที่เป็นจุดแข็ง ก็คือความแข็งทนทาน!” กัซลีสันหัวเราะ “อาศัยอาวุธประกายเทพนี้ ข้าจึงสามารถป้องกันอาวุธมหาเทพได้ อีกอย่างในวันนั้นดาบมหาเทพธาตุลมทรงพลังน่ากลัวมากจริงๆ แม้แต่ข้ายังได้แต่อาศัยแรงปะทะจากด้านข้างของมันและยืมพลังเหวี่ยงจากด้านข้างมากกว่าจะปะทะตรง ที่สำคัญ อาวุธประกายเทพ เทียบกับสมบัติมหาเทพยังด้อยกว่าเล็กน้อย”
ลินลี่ย์พยักหน้า
บางทีในแง่ของความทน อาวุธประกายเทพไม่ด้อยไปกว่าสมบัติมหาเทพ แต่สมบัติมหาเทพสร้างจากพลังมหาศาลของมหาเทพหล่อเลี้ยงด้วยพลังนั้นมานานนับปีไม่ถ้วน พลังโจมตีของมันจึงน่ากลัวมากกว่า
“ถ้าเจ้ามีโอกาส เจ้าควรจะขออาวุธประกายเทพจากท่านเจ้าแคว้นบ้าง ข้าเชื่อว่าท่านเจ้าแคว้นจะมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง” กัซลีสันหัวเราะ “พลังของสนามพลังศิลาดำของเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เพียงแต่พลังโจมตีของเจ้ายังอ่อนด้อยอยู่บ้าง ด้วยอาวุธประกายเทพ เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก”
ลินลี่ย์อดตื่นเต้นไม่ได้
เขาได้เห็นกับตาตนเองถึงความแข็งทนทานของอาวุธประกายเทพ มันมีความแข็งมากกว่าเกล็ดมังกรของตัวเขาเอง
“คนพวกนี้ไม่เบื่อหน่ายบ้างหรือไง?” กัซลีสันขมวดคิ้ว เงยหน้าจ้องมองแต่ไกล
“ตระกูลสี่เดรัจฉาน ทำไมพวกเจ้าถึงส่งมาแต่เพียงเทพชั้นสูงธรรมดา? ผู้อาวุโสหายหัวไปไหน? พวกเจ้าปล่อยให้เจ้าพวกรองๆ ออกมาต่อสู้ ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งหมดซ่อนตัวเหมือนคนขลาดเขลา ฮ่าฮ่า...” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากข้างนอก
ลินลี่ย์อดขมวดคิ้วด้วยความโกรธไม่ได้
แม้ว่าเขาจะสามารถควบคุมความโกรธของเขาได้ แต่เขาก็ยังหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เมื่อคนมีความรำคาญมากขึ้น ความรำคาญจะกลายเป็นความโมโหได้เช่นกัน
“อดทนไว้อีกสักสองสามวัน ตอนนี้เผ่าตระกูลเรากำลังแกะสลักวงเวทขนาดใหญ่สร้างเป็นม่านพลังธาตุขนาดยักษ์ ถึงตอนนั้นก็จะกั้นเสียงระหว่างโลกภายนอกกับเราได้” กัซลีสันพูดอย่างจนใจ เสียงของเขาพูดด้วยอารมณ์สุดฝืน
……………
ในอากาศเหนือเทือกเขาสกายไรท์มีม่านพลังขนาดมหึมาเกิดขึ้น ไม่ว่ากองกำลังฝ่ายแปดตระกูลใหญ่จะพูดอะไรก็ตาม แต่ชาวเผ่าตระกูลไม่สามารถได้ยินได้ แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยิน... แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
นี่เป็นการกระทำที่คล้ายกับการเอามืออุดหูพวกเขา พวกเขารู้สึกอับอาย
“คอขวดขั้นสุดท้ายชองเคล็ดพลังชีวิตยากจะผ่านไปได้จริงๆ” ลินลี่ย์นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า ลินลี่ย์ฉวยโอกาสทุกขณะต้องการจะบรรลุเคล็ดลึกลับพลังชีวิต เพื่อบรรลุเป็นเทพชั้นสูง
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม้ว่าตอนแรกแปดตระกูลใหญ่ยังคงดูหมิ่นและเยาะเย้ย แต่ทางเผ่าตระกูลเลือกสร้างวงเวทขนาดใหญ่ผนึกป้องกันเสียงไว้
สิ่งเหล่านี้ทำให้ลินลี่ย์สามารถข่มความรู้สึกโกรธในใจเขาได้
“พี่ใหญ่” ทันใดนั้น เสียงบีบีดังขึ้น “ปู่มาแล้ว”
ลินลี่ย์ลืมตา เขาเห็นว่าในอากาศ เบรุต บีบีและฟูโซ่กำลังบินลงมา เบรุตมีรอยยิ้มอยู่ตลอด ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนทันทีเดินเข้าไปทักทายคารวะเขา
“ลินลี่ย์, เจ้ายังสงบอยู่ได้อีกหรือนี่..เอ?” เบรุตหัวเราะเบาๆ
“ข้ายังมีทางเลือกอื่น นอกจากสงบต่อหรือ?” ลินลี่ย์พูดอย่างจนใจ
“พวกเขาท้าประลองตัวต่อตัวอยู่ข้างนอกไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าไม่ไปเล่า?” ฟูโซ่ถามด้วยความสงสัย ขณะที่ลินลี่ย์พูดพลางถอนหายใจ “ฟูโซ่! แปดตระกูลใหญ่พวกนั้นหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องฆ่าข้าให้ได้ นอกจากนี้... ข้ายังอ่อนแอเล็กน้อย ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขตระกูลทั้งแปด”
ฟูโซ่หัวเราะ “ข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อน ถ้าเจ้าไม่ไปตอนนี้ ต่อไปในอนาคต คงเป็นเรื่องยากที่จะหากโอกาสอย่างนี้ได้อีก”
“หมายความว่ายังไง?” ลินลี่ย์ถามอย่างไม่เชื่อถือ
ในอนาคต เขาจะไม่มีโอกาสออกไปสู้หรือ? ลินลี่ย์มองดูเบรุตและฟูโซ่ด้วยความประหลาดใจ “ลอร์ดเบรุต, พวกท่านทั้งสอง..?”
“ถึงเวลาแล้วที่การแสดงที่น่ารำคาญนี้ควรจะจบลง” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น “มาเถอะ พาข้าไปหาประมุขเผ่าของเจ้า”
“ปู่! ประมุขเผ่าไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่หรือ?” บีบีค่อนข้างประหลาดใจ
ฟูโซ่หัวเราะพลางถอนหายใจ “ปู่ของเจ้าต้องการเจอเจ้าก่อน เขาจึงตรงมาที่นี่.. พวกนักรบลาดตระเวนนั้นจำข้ากับเบรุตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าห้ามเรา” ขณะที่พวกเขาพูดมีเสียงลมกระโชกดังขึ้น
“ท่านเจ้าแคว้น” กัซลีสันและหลายๆ คนบินมาสมทบ
“ท่านเจ้าแคว้น ท่านน่าจะบอกข้าว่าท่านจะมา ข้าจะได้ออกไปต้อนรับท่าน” กัซลีสันพูดพลางหัวเราะ
เบรุตเพียงแต่หัวเราะอย่างใจเย็น “พอเถอะ, กัซลีสัน เร็วเข้า, ออกคำสั่งให้ผู้อาวุโสของเจ้าและคนสำคัญในเผ่าตระกูล ให้ทุกคนมารวมตัวที่นี่ วันนี้ข้าจะช่วยตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าและแปดตระกูลใหญ่คลี่คลายความเป็นปฏิปักษ์และความเกลียดชังที่ค้างคาใจพวกเจ้า”
กัซลีสันตะลึง และผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเขาก็ตะลึงเช่นกัน
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ โดยเฉพาะหลังจากแปดตระกูลใหญ่ย้ายเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาสกายไรท์ กัซลีสันและคนอื่นเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายและมีความกดดันทางจิตใจ ไม่มีใครรู้ว่า..เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงเสียที
บางครั้ง พวกเขาก็ต้องการทำตัวเหมือนเป็นชาวเผ่าตระกูลธรรมดา ที่บ้าออกไปสู้กับศัตรู!
แต่พวกเขาเป็นประมุขเผ่าตระกูลและเป็นผู้อาวุโส พวกเขาจะต้องคิดถึงสิ่งที่ดีที่สุดของเผ่าตระกูล
ความกดดันจากการแบกภาระหนักหน่วงนี้ทำให้พวกเขาแทบเป็นบ้า
“ท่านเจ้าแคว้น..ทะ ท่าน วะ ว่ากระไรนะ?” กัซลีสันตะกุกตะกักพูด
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าทำมาเสมอไม่ใช่หรือ?” เบรุตหัวเราะอย่างใจเย็น
แววดีใจแทบคลั่งปรากฏอยู่บนใบหน้าของกัซลีสัน พร้อมกับเสียงดังปัง เขาคุกเข่ากับพื้นอย่างหนักหน่วงน้ำตาคลอเบ้า “ท่านเจ้าแคว้น! ข้า.. ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราจะไม่ลืมความปราณีที่ท่านมีต่อเราอีกเลย!” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังก็มีน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
“รีบไปเชิญประมุขอีกสามเผ่าตระกูลมา รวมทั้งประธานผู้อาวุโสและคนอื่นๆ ให้มาด้วย” กัซลีสันรีบสั่งการ
“ขอรับ ท่านประมุข!”
ผู้อาวุโสเหล่านี้รับคำแข็งขันและเคลื่อนไหวตามทันที
ลินลี่ย์เพียงแต่ชำเลืองมองเบรุตที่หันกลับมามองดูเขา “ลินลี่ย์! ทำไมเจ้ามองข้าอย่างนี้?”
“ข้า..ข้ายังไม่อาจทำใจเชื่อได้” ลินลี่ย์ยังคงรู้สึกเหมือนฝัน
แม้ว่าไม่มีใครในแปดตระกูลใหญ่สามารถเอาชนะเบรุตได้ แต่ตระกูลพวกนั้นมีทูตมหาเทพหลายคน ถ้าเบรุตจะบังคับพวกเขาให้คลี่คลายความเกลียดชังกัน..นี่จะเป็นเหตุให้เขาต้องลำบากไม่ใช่หรือ?
“ท่านประมุข! ข่าวร้าย!” มีร่างหนึ่งบินเข้ามาด้วยความเร็วสูง “ท่านประธานผู้อาวุโส ท่านประธานผู้อาวุโส นางไปที่เวทีประลอง นางสู้กับกองกำลังแปดตระกูลใหญ่อยู่!”
“ว่าไงนะ?!”
กัซลีสันตกใจทันที
“ไปดูกันเถอะ” เบรุตเพียงแต่หัวเราะขณะพูด