ตอนที่ 17-58 จำใจ
เทือกเขาสกายไรท์ หุบเขาอ่างโลหิต ตำหนักสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์
เมื่อลินลี่ย์เข้าไปในตำหนักพร้อมกับผู้อาวุโสสอง เขาเห็นคนมาถึงก่อนค่อนข้างมาก ลินลี่ย์กวาดสายตามองพวกเขา “รวมข้าด้วย มีผู้อาวุโสรวมสี่สิบคน!” แต่แน่นอน เมื่อเวลาผ่านไปผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาทีละคน
“ลินลี่ย์” ผู้อาวุโสการ์วีย์มีสัมพันธ์ที่ดีกับลินลี่ย์เดินเข้ามาหา “ในที่สุดประมุขเผ่าทั้งหลายยินดียอมก้มหัวรับชะตากรรม”
ลินลี่ย์ตะลึง “การ์วีย์, ท่านกำลังบอกว่า...?”
การ์วีย์ถอนหายใจเบาๆ “เมื่อเดือนที่แล้วตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราประสบความปราชัยอีกครั้ง ประมุขเผ่าไม่สามารถทนต่อการสูญเสียได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงจัดให้มีการประชุมสภาอาวุโสครั้งนี้ หรือบางทีประมุขตระกูลยังไม่แน่ใจ ดังนั้นพวกเขาต้องการให้เหล่าผู้อาวุโสมาพูดคุยปรึกษากัน ถ้าผู้อาวุโสเห็นด้วย อย่างนั้น..”
ลินลี่ย์เข้าใจได้เช่นกัน
เมื่อการประชุมสภาอาวุโสเริ่มขึ้น มีแนวโน้มว่าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์คงจะเลือกเก็บตัวอยู่ภายในภูเขาสกายไรท์ ไม่ออกไปข้างนอกอีกต่อไป แม้ว่าการทำเช่นนั้น ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์จะสามารถรักษากำลังไว้ได้ แต่ชื่อเสียงของตระกูลที่สั่งสมมานานนับปีไม่ถ้วนจะได้รับผลกระทบใหญ่แน่นอน
สำหรับชาวเผ่ามากมาย ศักดิ์ศรีของตระกูลสำคัญมากกว่าชีวิตตนเอง นี่เป็นทางเลือกที่ยากลำบากของประมุขทั้งสี่เผ่า
“เราพ่ายแพ้เมื่อเดือนที่แล้วหรือ? เกิดอะไรขึ้น?” ลินลี่ย์รีบถาม
“เจ้าไม่เคยสนใจอะไรเลย!” การ์วีย์ส่ายศีรษะ “เมื่อเดือนที่แล้ว ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราเสียผู้อาวุโสไปอีกสามคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้อาวุโสของเผ่ามังกรฟ้าเรา สรุปผลเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา...เผ่ามังกรฟ้าเรามีผู้อาวุโสเหลือเพียงสิบห้าคนที่มีพลังอสูรเจ็ดดาว”
หัวใจของลินลี่ย์อดตึงเครียดด้วยความกังวลมิได้
“ครืนนน” ประตูใหญ่ของตำหนักเลื่อนปิดช้าๆ
ลินลี่ย์อดรู้สึกตกใจมิได้ การ์วีย์พูดเสียงเบา “ผู้อาวุโสทั้งหมดมาพร้อมที่นี่แล้ว อีกไม่ช้าประมุขเผ่าทั้งสี่จะมาถึง” ลินลี่ย์มองอย่างระมัดระวัง ในหอประชุมมีผู้อาวุโสห้าสิบสามคนรวมทั้งประธานผู้อาวุโส
จากด้านข้างของห้อง มีเงาร่างสี่คนเดินเป็นแถวเข้ามาและนั่งลงที่ส่วนหน้าของตำหนัก เป็นกัซลีสันและประมุขเผ่าคนอื่น
ทั่วทั้งโถงใหญ่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
กัซลีสันและหัวหน้าเผ่าอีกสามคนกวาดตามองดูทุกคน จากนั้นมองหน้ากันเอง ในที่สุดเป็นกัซลีสันที่พูดขึ้น เสียงทุ้มลึกของเขากังวานไปทั้งห้องประชุม “ทุกท่าน, วันนี้, เราเชิญพวกท่านทุกคนมา ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนคงคาดเดาได้ว่าวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้คืออะไร!”
ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนรู้สึกว่าใจพวกเขาเป็นทุกข์ และแม้แต่ลินลี่ย์ก็ยังรู้สึกเศร้าใจ
พวกเขาไม่มีกำลังจะรักษาสถานการณ์อีกต่อไป!
“ตั้งแต่บรรพบุรุษทั้งสี่ของเราตายไป ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราก็ประสบความสูญเสียหนักครั้งแล้วครั้งเล่า โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือของเจ้าแคว้นอินดิโก เราจึงสามารถพบที่หยั่งเท้าในเทือกเขาสกายไรท์แห่งนี้ มิฉะนั้นตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเรามีแนวโน้มว่าอาจสูญสลายหายไปเหมือนหมอกควันในหมื่นกว่าปีที่แล้ว
ตำหนักตกอยู่ในความเงียบงัน
“เกินกว่าหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราต่อสู้กับศัตรูโดยไม่หวาดหวั่นเพื่อความรุ่งเรืองของเผ่าตระกูล หมื่นปีที่แล้ว ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยังมีผู้อาวุโสเกินกว่าสองร้อย! แต่มาวันนี้ เรามีผู้อาวุโสเหลือเพียงห้าสิบสามคน! แค่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ หมื่นปี แต่เราสูญเสียผู้อาวุโสไปเกือบสองร้อยคน! สองร้อยคน!!!” ดวงตาของกัซลีสันมีน้ำตาคลอ
ผู้อาวุโสที่ด้านล่างคิดย้อนไปถึงเหล่าผู้อาวุโสผู้ประสบเคราะห์ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ก็รู้สึกเศร้าจับใจ
ลินลี่ย์เองก็คิดถึงสมาชิกต่างๆ ของหน่วยสิบสามของเขาที่ตายไป นึกถึงผู้อาวุโสอาร์โฮสที่สูญเสียร่างแยกที่ทรงพลังของเขาไป
เพื่อประโยชน์ของเผ่า ผู้อาวุโสมากมายเกินไปต้องเสียร่างแยกที่ทรงพลังที่สุดไป พวกเขาเคยมีพลังระดับอสูรเจ็ดดาวมาก่อน เป็นผู้มีสถานะสูงส่งมีพลังมาก แต่หลังจากสูญเสียร่างแยกที่ทรงพลังที่สุด พวกเขาอาจกลายเป็นเทพชั้นสูงธรรมดา
“ตลอดหลายปีมานี้ประมุขสามเผ่าและข้าได้ไตร่ตรองมาโดยตลอด..เราจะต้องทนไปอีกนานเท่าใด?” ประมุขกัซลีสันเสียงแหบแห้ง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา แปดตระกูลใหญ่ดูเหมือนจะคลั่งไปแล้ว พวกเขาทุ่มเทสุดกำลังต้องการฆ่าผู้อาวุโสของเรา แม้ว่าพวกเขาจะต้องตายพร้อมกับเรา ด้วยระดับในปัจจุบันนี้ ในอีกไม่กี่ปีตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเรามีแนวโน้มว่าจะเหลือผู้อาวุโสไม่มากนัก”
เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิงพูดเช่นกัน “ถูกแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสูญเสียผู้อาวุโสอีกสามคน! เราประมุขทั้งสี่เผ่าปรึกษาเรื่องนี้กันอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะทนรับได้อีกสองสามร้อยปีเป็นอย่างมาก”
ประมุขเผ่าพยัคฆ์ขาวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ในเมื่อเรายังจะทนต่อไป ผลจะมีเพียงประการเดียวคือทุกคนจะตาย แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
ประมุขเผ่าพญาเต่าดำพูดเสียงทุ้ม “นี่คือสาเหตุที่เราต้องการแน่ใจว่าอย่างน้อยที่สุดยอดฝีมือของเราจะรอดอยู่ได้ ที่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนผู้หนึ่งจะกลายเป็นอสูรเจ็ดดาวและเป็นผู้อาวุโส”
กัซลีสันแข็งใจพูด “ดังนั้นเราผู้นำเผ่าตระกูลทั้งสี่ทำความตกลงกันว่าเราจะไม่สู้กับแปดตระกูลใหญ่อีกต่อไป.. สมาชิกทั้งหมดของเผ่าจะเข้ามาอยู่ในเทือกเขาสกายไรท์ เราจะบ่มเพาะความเข้มแข็งของเรา!”
ผู้อาวุโสข้างล่างตะลึงกันหมด
พวกเขาคิดว่าหัวหน้าเผ่าจะยอมให้พวกเขาพูดเรื่องนี้แล้วลงคะแนนตัดสิน แต่ใครจะคิดกันเล่าว่าจะเป็นประกาศอย่างง่ายๆ นี้หรือ?
“ท่านประมุข!”
“เจ้าแม่!”
มีผู้อาวุโสหลายคนพูดขึ้นทันที
“ท่านประมุข” มีเสียงเร่งร้อนดังขึ้นและบุรุษหนุ่มผมเงินและมีสีหน้ากระด้างเงยหน้ามองประมุขทั้งสี่ เขาลนลานพูด “เราจะสนับสนุนให้ยอมแพ้อย่างนี้หรือ? จะยอมรับความพ่ายแพ้หรือ?”
ลินลี่ย์ชำเลืองมองเด็กหนุ่มผมขาวผู้มีใบหน้าเย็นชานี้ เขาคือผู้อาวุโสอัจฉริยะแห่งเผ่ามังกรฟ้า ผู้อาวุโสบลู
“เจ้าอาจถือว่าเรายอมรับความพ่ายแพ้ก็ได้!” กัซลีสันไม่มีราศีที่สง่างามอย่างที่เคยเป็นมาเหมือนก่อน
“บลู” เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิงมองมายังเขา “แม้ว่าเรายังจะสู้ต่อไป แต่กองกำลังของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราจะทนได้อีกนานเท่าไหร่? หรือว่าเจ้าต้องการให้ผู้อาวุโสที่เหลือเพียงห้าสิบสามคนต้องสูญเสียไปด้วย?”
ดวงตาของบลูไม่กระพริบ
“ท่านประมุขทั้งสี่!” บลูเงยหน้าเล็กน้อย “ข้า, บลูจะยอมรับและยอมแพ้ต่อคนอื่นก็ได้ แต่นั่นเป็นเพราะว่าข้าอ่อนแอเกินไป ตั้งแต่ข้ากลายเป็นอสูรเจ็ดดาว ข้าไม่เคยยอมแพ้ใคร แปดตระกูลใหญ่ไร้ค่า! เมื่อตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราอยู่ในอำนาจที่สูง พวกเขาไม่กล้าต่อต้านเราแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เล่า ฮึ.. ต้องให้ข้ายอมแพ้พวกเขาหรือ ? ไม่มีทาง!”
“บลู!” กัซลีสันรู้สึกไม่สบายใจ
ในใจของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงแต่เกลียดแปดตระกูลใหญ่เท่านั้น พวกเขายังคงดูถูกพวกเขา จะให้พวกเขายอมแพ้... พวกเขาไม่ต้องการทิ้งความภูมิใจเป็นธรรมดา แต่กัซลีสันและอีกสามผู้นำทำอย่างดีที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเผ่าตระกูล
“ท่านประมุข! ข้าเข้าใจว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับท่าน แต่ข้าเป็นแค่เพียงคนเดียว ข้ายินดีจะออกไปสู้รบ..และตายในสนามรบ! หลังจากข้าตาย แดนนรกจะไม่มีอสูรเจ็ดดาวที่ชื่อบลูอีกต่อไป.. มีแต่เพียงเทพชั้นสูงระดับธรรมดาที่ชื่อบลู พอเวลาผ่านไป ต่อให้ข้าต้องการสู้ ข้าก็คงไม่มีความสามารจะสู้แล้ว” บลูหัวเราะเบาๆ ขณะที่พูด
ลินลี่ย์เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็อดสะท้านไม่ได้
ขณะนี้เองผู้อาวุโสผมดำลุกขึ้นยืนและพูดด้วยเสียงทุ้ม “ท่านประมุข! เพื่อให้เผ่าตระกูลของเราเจริญรุ่งเรืองอีก สิ่งที่เราต้องการก็คือสุดยอดฝีมืออย่างเบรุตหรือไม่ก็ดันนิงตัน ข้ารู้ว่าข้าไม่มีความหวังจะก้าวหน้าได้อีก.. ข้าเพียงแต่หวังว่าท่านจะยอมให้ข้าตายในการสู้รบ ท่านประมุข! แม้ว่าเราจะแพ้ แต่ข้าขอปฏิเสธไม่ยอมให้แปดตระกูลใหญ่ได้ชัยอย่างสบาย”
“ท่านประมุข! ในชีวิตของข้า ข้าลองทำมาหลายอย่าง แต่จะให้ข้าก้มหัว? ไม่มีวัน! ต่อให้ตายก็เถอะ!” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งยืนขึ้น
“ท่านประมุข...”
ลินลี่ย์มองดูฉากภาพนี้เงียบๆ แม้ว่าสำหรับคนธรรมดา ผู้อาวุโสเหล่านี้อาจทำตัวเหมือนแข็งกร้าวไม่ยืดหยุ่น แต่ลินลี่ย์เข้าใจ ผู้อาวุโสเหล่านี้อยู่มาเป็นร้อยล้านปีนับไม่ถ้วน
พวกเขาไม่กลัวต่อการเสียสละตนเอง แต่พวกเขาใส่ใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องศรัทธาและคุณค่าที่พวกเขายึดถือไว้
ผู้อาวุโสห้าสิบสามคน ในบรรดาพวกเขามีมากกว่ายี่สิบคนที่ยินดีเสียสละร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมากที่สุด ขอให้ได้สร้างความเสียหายให้ศัตรู ผู้อาวุโสอื่นเงียบ แต่ลินลี่ย์รู้ว่าตราบเท่าที่ประมุขเผ่าออกคำสั่ง พวกเขาจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ลินลี่ย์!” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ลินลี่ย์ตะลึง
ประธานผู้อาวุโสกำลังมองดูเขา แววตาของนางเต็มไปด้วยความกลัว “ลินลี่ย์, เจ้าสนิทกับท่านเจ้าแคว้นมาก เจ้าแค่อย่าถือตัวและไปขอให้ท่านเจ้าแคว้นช่วยเราได้ไหม? ด้วยพลังของท่านเจ้าแคว้น เขามีความแข็งแกร่งมากพอจะบังคับแปดตระกูลใหญ่ให้หนีไป ลินลี่ย์, ไปขอร้องเขา เพื่อประโยชน์ของเผ่าตระกูล ขอร้องเขา แค่ครั้งนี้เท่านั้น!”
ผู้อาวุโสหลายคนมองมาทางลินลี่ย์ทันที
ขณะนั้นผู้อาวุโสเหล่านี้อยู่ในสภาพสิ้นหวัง และหลายคนยินดีจะสละร่างแยกที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาเพื่อแก้แค้น แม้ว่าเผ่าตระกูลของพวกเขาจะยอมแพ้ แต่พวกเขาจะต้องทำให้แปดตระกูลใหญ่เสียหาย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของประธานผู้อาวุโส...
ดูเหมือนกับว่าพวกเขามีฟางเส้นสุดท้ายให้คว้าเพื่อความอยู่รอด!
“ข้า...” ลินลี่ย์ไม่รู้จะตอบอย่างไร
“น้องหญิง” กัซลีสันนั่งอยู่ที่ด้านหน้าหอประชุม ตะโกนเสียงทุ้ม “ให้ลินลี่ย์ทำอย่างนี้มีแต่จะทำให้ท่านเจ้าแคว้นรู้สึกอึดอัด ท่านเจ้าแคว้นทำหลายสิ่งหลายอย่างมาเพื่อตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเรามากพอแล้ว และเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรตอบแทน เจ้าต้องการให้ท่านเจ้าแคว้นเข้ามาแทรกแซงอีกครั้งหรือ? หรือว่าเจ้าคิดว่าท่านเจ้าแคว้นมีหน้าที่ต้องมาช่วยเรา?”
ประธานผู้อาวุโสได้แต่เงียบ
“เรายังสามารถรักษาตระกูลไว้ได้ และจะไม่ถูกทำลาย เราควรจะรู้ว่าเมื่อใดเราควรพอใจในสิ่งที่เรามี” กัซลีสันถอนหายใจ
ผู้อาวุโสข้างล่างทุกคนได้แต่เงียบ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าไม่สามารถบังคับฝืนใจพวกท่านให้ตัดสินใจว่าจะออกไปรบกับศัตรูหรือไม่ ข้าแค่ต้องการบอกว่าขอให้ตระกูลได้รักษากำลังเอาไว้สักนิดก็พอ” กัซลีสันลุกขึ้นยืนหลังจากพูดแล้วและมองมาทางลินลี่ย์ “ไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่าไปรบกวนท่านเจ้าแคว้น”
ลินลี่ย์อดเงยหน้ามองดูกัซลีสันไม่ได้
“ข้ารู้ว่าท่านเจ้าแคว้นมีนิสัยยังไง ถ้าเรารุกล้ำเกินไปจนเขาโกรธการกระทำของเรา... เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรด้วยตนเอง ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่หยุดให้ความสนใจตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์และปล่อยให้แปดตระกูลใหญ่โจมตีเราได้อย่างอิสระ นั่นจะกลายเป็นหายนะ!”
ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ด้านล่าง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้รู้สึกว่าใจพวกเขาสั่นสะท้าน
ไม่ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่ นั่นเป็นปัญหาของเกียรติยศและความรุ่งเรืองของตระกูล
แต่การทำให้ท่านเจ้าแคว้นโกรธ..นั่นเป็นปัญหาความอยู่รอดของเผ่าตระกูล ถ้าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ถูกกวาดล้างสิ้นซาก จะไม่มีแม้แต่ปัญหาเรื่องเกียรติยศและความรุ่งเรืองอีกต่อไป
ในเมื่อตัดสินใจทำไปแล้ว ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์จะไม่สู้กับแปดตระกูลใหญ่โดยเปิดเผยอีกต่อไป แม้ว่าแปดตระกูลใหญ่จะเดินทางไปตามเส้นทางลาดตระเวนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าก็ตามและทำการยั่วยุ แต่พวกเขาก็ทำเป็นไม่เห็น
เผ่าตระกูลต้องการรักษากำลังเอาไว้
แต่ว่าแม้นี่จะทำเพื่อเผ่าตระกูล แต่ก็ยังมีผู้อาวุโสบางคนไม่ยินดียอมรับ พวกเขาเลือกออกไปสู้ ทำให้การสู้รบกับแปดตระกูลใหญ่เพิ่มขึ้น.. และแปดตระกูลใหญ่เมื่อเห็นคนในเผ่าสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์กล้าจะทำอย่างนั้น ก็โกรธและอดส่งคนออกมาเพิ่มขึ้นไม่ได้
สงครามป่าเถื่อน โหดร้าย!
ที่โดดเด่นสะดุดตาพวกเขาที่สุดก็คืออัจฉริยะผู้อาวุโสบลู ผู้อาวุโสบลูเดินทางไปด้วยตนเองและลงมือฆ่าผู้อาวุโสฝ่ายศัตรูแปดคน หลังจากนั้นแปดตระกูลใหญ่โกรธและพวกเขาส่งหนึ่งในประมุขตระกูลของพวกเขามาพร้อมกับยอดฝีมือหลายคน
ในการสู้รบนั้น..
ร่างแยกที่ทรงพลังที่สุดของผู้อาวุโสบลู...ตาย!
ผู้อาวุโสบลูในช่วงเวลาสั้นๆ สิบปีสังหารผู้อาวุโสฝ่ายศัตรูไปเก้าคน
แต่แน่นอนแม้ว่าบางคนจะทำได้ดี แต่ผู้อาวุโสบางคนไม่สามารถฆ่าใครได้เลย เนื่องจากพวกเขาพ่ายแพ้อีกฝ่ายหนึ่งที่มีคนหลายคนและศัตรูใช้พลังมหาเทพ
การเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งนี้ดำเนินต่อไปสามสิบปี
ผู้อาวุโสยี่สิบสองคนสูญเสียร่างแยกที่ทรงพลังที่สุดในการรบ! ขณะที่แปดตระกูลใหญ่สูญเสียมากกว่าผู้อาวุโสสามสิบแปดคนเสียชีวิต ที่สำคัญที่สุด ชาวเผ่าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ด้วยความตั้งใจจะฆ่าให้มากที่สุดโดยแลกกับชีวิตพวกเขาเอง
แต่หลังจากนั้นตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็เงียบไม่ออกมารบแต่อย่างใด
ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ นี่ทำให้แปดตระกูลใหญ่แทบคลั่ง ที่สำคัญในช่วงเวลาสั้นๆ สามสิบปีพวกเขาสูญเสียผู้อาวุโสไปสามสิบแปดคน ทำให้เกิดความตกใจในหมู่พวกแปดตระกูลใหญ่ ที่สำคัญ ผู้อาวุโสของตระกูลเหล่านั้นเป็นพวกฝีมือดีที่พวกเขามีอยู่เช่นกัน
พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจเช่นกันกับการสูญเสีย!
เทือกเขาสกายไรท์กลับคืนสู่ความสงบ หน่วยลาดตระเวนยังคงลาดตระเวนต่อไป แต่ตามปกติมีคนน้อยมากที่มาเยือนภูเขาสกายไรท์ แต่วันนี้หญิงสาวคนหนึ่งบินออกมาจากอสูรโลหะ
หลังจากนั้นอสูรโลหะก็บินจากไป ขณะที่หญิงสาวบินเข้ามาใกล้ภูเขาสกายไรท์ทุกขณะ
“นี่คือเทือกเขาสกายไรท์ คนภายนอกห้ามเข้า” ทันใดนั้นนักรบลาดตระเวนมากกว่าสิบคนบินมาจากด้านบน และหนึ่งในนั้นตะโกนบอกนาง
หญิงสาวผู้นี้มัดผมหางม้า และลักษณะของนางดูน่าสนใจมาก สิ่งที่แปลกก็คือ นางสวมหมวกฟางไว้บนศีรษะ หญิงสาวรีบตอบ “สวัสดี, ข้าเป็นสหายของผู้อาวุโสลินลี่ย์ ข้ามาขอพบเขา!”
“ผู้อาวุโสลินลี่ย์?” นักรบลาดตระเวนคนหนึ่งสงสัย
“เจ้ามีข้อพิสูจน์ไหม?” นักรบลาดตระเวนถาม
“เอ่อ..” หญิงสาวลังเล นางจะใช้อะไรพิสูจน์ได้? แต่จากนั้นนางพูดทันที “เอาอย่างนี้ แค่ไปบอกผู้อาวุโสลินลี่ย์ว่าข้าชื่อนีซ เขาจะรู้ว่าข้าเป็นใคร”
“นีซ?” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเหลือบมองนางจากนั้นพยักหน้า “รออยู่ตรงนี้” หลังจากพูดเสร็จ เขาบินออกไปทันที