บทที่ 15 อาฉินที่แปลกประหลาด
หลี่หรานจมดิ่งลงไปในทะเลแห่งจิตของเขา เทคนิคการบ่มเพาะพิชิตสวรรค์ยังคงหมุนเวียนอยู่ และสัญลักษณ์ที่ล้ำลึกบนร่างอเมทิสต์ก็สว่างขึ้น
หลี่หรานรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฐานการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และจิตใจของเขาก็แจ่มชัดขึ้น แม้แต่จิตวิญญาณของเขาก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อย
กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งวัน!
ยิ่งกว่านั้น การบ่มเพาะด้วยเทคนิคพิชิตสวรรค์ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าการบ่มเพาะด้วยตนเอง
“ให้ตายเถอะ ผลลัพธ์นี้ยอดเยี่ยมเกินไป!” หลี่หรานพูดไม่ออก
แม้แต่ตอนที่เขานอนอยู่เขาก็ยังแข็งแกร่งขึ้น?
ช่างเป็นการบ่มเพาะที่สะดวกสบาย!
แน่นอนว่าการทะลวงระดับไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ด้วยการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว โอกาส การหยั่งรู้ และพรสวรรค์ของคนเราเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
เมื่อเขาไปถึงขั้นสุดท้ายของขอบเขตแก่นทองคำ เขายังคงต้องหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตถัดไป
......
อาฉินนวดหลี่หราน เมื่อเห็นเขาหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ดวงตาของนางก็สับสนเล็กน้อย
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกว่าหลี่หรานเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นเซิงจื่อคนเดิม แต่รอยยิ้มและดวงตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้น บางครั้งเขาก็ยังแสดงสีหน้าแห่งความรู้สึกผิด
และแม้แต่ครั้งล่าสุดเขาก็หยิกหน้านางด้วย...
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ที่สำคัญที่สุดคือหลี่หรานไม่ได้ทุบตีนางเลยในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา
“บางทีเซิงจื่ออาจกำลังอารมณ์ดีเมื่อเร็วๆนี้?” อาฉินไม่สามารถคิดหาคำตอบอื่นใดได้
แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะอะไร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ทำให้นางมีความสุข
เมื่อมองไปที่รอยฟกช้ำบนร่างกายของหลี่หราน อาฉินก็รู้สึกเป็นทุกข์และขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ผู้นำนิกายช่างโหดร้ายจริงๆ นางจำเป็นต้องทุบตีเขาเพื่อการบ่มเพาะด้วยหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นนางยังลงมือหนักขนาดนี้!”
“หือ?” หลี่หรานตื่นขึ้นด้วยคำพูดของนางและหยุดโคจรเทคนิคการบ่มเพาะพิชิตสวรรค์
ทันทีที่ลืมตาขึ้น ม่านตาของเขาก็ส่องแสงสีทอง อาฉินรู้สึกราวกับว่านางถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ และแรงกดดันอันรุนแรงก็แผ่ออกมาจากตัวเขา ราวกับว่าคนตรงหน้านางไม่ใช่เซิงจื่อ แต่เป็นเทพสวรรค์!
อาฉินไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้และทรุดลงกับพื้นโดยสัญชาตญาณ
“ข้าขอโทษ ข้ารบกวนท่าน ท่านเซิงจื่อ!” นางหมอบลงกับพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
นางคิดว่าสิ่งที่นางพูดเกี่ยวกับผู้นำนิกายทำให้หลี่หรานโกรธ
หลี่หรานตกตะลึงและส่ายหัว “ลุกขึ้น ข้าไม่ได้โกรธ”
อาฉินกลับมาอยู่ในท่านั่งแต่ไม่กล้าลุกขึ้น
หลี่หรานพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเจ้าไม่ลุกขึ้น ข้าจะโกรธจริงๆแล้ว”
อาฉินได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนตัวสั่น ศีรษะของนางยังคงก้มต่ำ และนางไม่กล้าที่จะมองเขา
หลี่หรานส่ายหัวและถอนหายใจ
‘เจ้าของร่างคนก่อนมันทำบัดซบอะไรไว้!’
และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
เขายกร่างขึ้นจากอ่างน้ำ และหยดน้ำบนร่างของเขาก็ระเหยออกไปทันที
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินไปที่ห้องนอน
“มากับข้า”
“เจ้าค่ะ” อาฉินก้มหน้าลงแล้วเดินตามเขาด้วยความระมัดระวัง
......
ในห้องนอน หลี่หรานนั่งบนเก้าอี้ ในขณะที่อาฉินยืนอยู่ตรงข้ามเขา
“อาฉิน เจ้าอยู่กับข้ามานานแค่ไหนแล้ว”
“เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ข้ารับใช้ท่านเซิงจื่อ” อาฉินตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าเข้ามาในวิหารโหยวหลัวตอนอายุแปดปี ตอนนี้เจ้าก็ติดตามข้ามาสิบปีแล้ว” หลี่หราน ถอนหายใจ “เนื่องจากตระกูลเซินของเจ้าถูกตระกูลหลี่กำจัด เจ้าจึงไม่มีแม้แต่ชื่อสกุล ข้าทำร้ายเจ้ามาโดยตลอด... เซินฉิน เจ้าเกลียดข้าหรือเปล่า?”
“อาฉินมิกล้า!” ร่างกายของนางสั่นเทาและกำลังจะคุกเข่าลง แต่ถูกแรงที่มองไม่เห็นรั้งไว้เสียก่อน
“ท่านเซิงจื่อ?” อาฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“สิบปีที่ผ่านมา เจ้าปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี เจ้าทำงานหนักมาก” หลี่หรานหยิบตั๋วเงินกองหนึ่งแล้วมอบให้อาฉิน
“ท่านเซิงจื่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” อาฉินเต็มไปด้วยความสับสน
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว เอาเงินนี้ไป ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องตัวตน ข้าจะแจ้งให้ตระกูลหลี่ทราบด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตระกูลของเจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง”
“ออกจากภูเขาและไปใช้ชีวิตของเจ้าเอง” หลี่หรานพูดอย่างจริงจัง
เขารู้ว่าการกระทำของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเกินไป เดิมทีเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆอย่างช้าๆ แต่ปฏิกิริยาของอาฉินทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งกว่านั้น ถ้ามีคนที่เกลียดเขาคอยอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา มันจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดเช่นกัน ดังนั้นหลี่หรานจึงตัดสินใจแก้ไขความยุ่งเหยิงนี้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม อาฉินกลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางกลายเป็นซีดเซียวและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านเซิงจื่อ ท่านไม่ต้องการอาฉินหรือ?”
“หือ?” หลี่หรานสับสน
“ท่านเซิงจื่อ อาฉินผิดไปแล้ว โปรดอย่าขับไล่อาฉินเลย!” อาฉินคุกเข่าลงตรงหน้าเขาและวิงวอนอย่างขมขื่น
“ถ้าท่านไม่พอใจท่านสามารถทุบตีอาฉินได้เลย แต่ได้โปรดอย่าขับไล่ข้าไป! อาฉินจากท่านไปไม่ได้จริงๆ!”
“ฮะ?” หลี่หรานพูดไม่ออก
‘นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? นางต้องทนทุกข์ทรมานมามาก ตอนนี้นางสามารถจากไปได้แล้ว นางควรจะดีใจไม่ใช่หรือไง?’
‘เป็นไปได้ไหมว่าข้าให้เงินนางไม่มากพอ?’
หลี่หรานอยากจะให้นางมากกว่านี้ แต่สำนวนที่มีชื่อเสียงกล่าวไว้ว่า ‘คนบริสุทธิ์จะมีความผิดหากได้รับทรัพย์สมบัติมากเกินไป’
[TL: น่าจะเหมือน ‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’]
‘แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว มันไม่น่าจะเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเงิน’
อาฉินดูเหมือนจะไม่ได้เกลียดเขาแต่กลับยึดติดเขาสุดแรงเกิด
“นี่...”
“ท่านเซิงจื่อ ได้โปรดอย่าทิ้งข้าเลย! ข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ!” ใบหน้าของอาฉินซีดเผือกและเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
“...” หลี่หรานเกาหัวของเขา
‘ทำไมข้ารู้สึกละอายใจเล็กน้อย…’
“ลุกขึ้น ข้าจะไม่ไล่เจ้าออกไป”
“จริงๆใช่มั้ย? จริงๆใช่มั้ยเจ้าคะ?”
“ใช่……”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านเซิงจื่อ!” หลังจากมั่นใจแล้ว อาฉินก็ยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงคลอเบ้าที่หางตา
//////////