ตอนที่ 24 สนามเด็กเล่น
ตอนที่ 24 สนามเด็กเล่น
หลินก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เรนทดลองอีกหลายอย่างผลที่ได้คือเหมือนกับที่ได้กับปืน ถ้าเรนถอดมันออกจากช่องสวมใส่ มันจะทิ้งของทั้งหมดออกมา นั้นทำให้เป็นข้อจำกัดว่าต้องเสียหนึ่งช่องในการสวมใส่รูนิกกล่องพลาสติก แต่สำหรับเรนนั้นไม่มีปัญหามากนักเนื่องจากเขามีเตาหลอมพระเจ้าอยู่
เตาหลอมพระเจ้ามีช่องสวมใส่รูนิกอยู่ 3 ช่อง ซึ่งมันไว้ใช้งาน แต่ช่องพวกนี้ก็สามารถสลับรูนิกและรูนิกที่วงแหวนรากฐานของเรนได้อย่างไร้ข้อจำกัด
และเมื่อเก็บรูนิกพลาสติกไว้ในเตาหลอมพระเจ้ามันก็เหมือนเก็บไว้ที่วงแหวนรากฐาน ทำให้รูนิกไม่ทิ้งของที่เก็บอยู่ออกไป
ช่องแรกมีรูนิกลางสังหรณ์ ช่องสองเป็นรูนิกคันธนู ช่องสามคือ รูนิกลูกศร และภายในเตาหลอมของเรนนั้นมี รูนิกลูกซองฯกับรูนิกกล่องพลาสติก
ส่วนรูนิกปืนพกเรนให้หลินไปแล้ว
เรนจัดการเอาซื้อผ้าพวกนั้นออก จากนั้นก็เอาพวกกระสุนปืนและของอื่น ๆ ของตนเองใส่ลงไป ยังมีอาหารกระป๋องและอาหารแห้งบางส่วนด้วย ของพวกนี้เป็นของที่พวกเขาหาได้จากที่บ้านแดนก่อนจะมาที่นี่
“น่าเสียดายที่วงแหวนของฉันเต็มแล้ว” หลินอยากจะได้รูนิกแบบนี้บ้าง
“ไว้คุณก็ค่อยเปลี่ยนเอารูนิกลูกศรออกก็ได้” เรนบอกกับเธอ
“คงหลังจากไปที่ค่ายทหารในหุบเขาพรุ่งนี้สินะ” หลินพูดขึ้นมา
เรนพยักหน้าตอบ
...
เช้าวันต่อมา เรนและหลินเตรียมตัวพร้อมที่จะออกไปลุยแล้ว ทั้งสองเดินลงมาที่จอดรถชั้นใต้ดิน ซึ่งกลุ่มของผู้กองเชนรออยู่แล้ว
เรนมองดูก็เห็นว่าในกลุ่มตำรวจนั้นไปด้วยกันทั้งหมด 5 คน คนแรกคือ ผู้กองเชน จ่าวัฒน์ เต้ เดฟและคนสุดท้ายคือเมฆ ตำรวจที่มีปัญหากับเขา
เมฆหันมามองเรนด้วยแววตาไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ เรนก็ไม่ได้ปิดบังท่าทีของเขาเช่นกัน
“ผู้กองเชน เราจะไปรถอะไรกัน” เรนถามผู้กองเชน เนื่องจากรวมกันแล้วมีคนมากถึง 6 คน รถยนต์ปกติคงไม่ได้
“ไปรถคันนั้น รถคุมขังขนส่งนักโทษ” ผู้กองเชนชี้ไปที่รถหกล้อที่ด้านหลังถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องขังนักโทษ
“จ่าวัฒน์เป็นคนขับ เมฆไปนั่งกับจ่า ส่วนที่เหลือไปนั่งด้านหลังกันให้หมด” ผู้กองเชนสั่งออกมา
เรนสังเกตว่าผู้กองเชนเหมือนจะไม่พอใจบางอย่าง แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะให้ภารกิจในวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีที่สุด
จ่าวัฒน์และเมฆขึ้นไปนั่งข้างหน้า ส่วนเรน หลิน ผู้กองเชนและสุดท้ายคือเดฟขึ้นไปนั่งในห้องคุมขังหลังรถ เดฟเป็นคนปิดประตูและนั่งใกล้ ๆ ประตู
“ไปได้” ผู้กองเชนบอกกับคนด้านหน้าผ่านช่องเล็ก ๆ
รถคุมขังนักโทษค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ มีดาบอินและลีคอยช่วยเปิดปิดประตูโรงจอดรถชั้นใต้ดิน
รถขับผ่านถนนออกไปด้านนอก พวกเขาใช้ถนนเส้นเลี่ยงทางหลัก ทำให้ไม่พบกับรถที่รอดทิ้งไว้มากนัก รถจึงยังสามารถขับต่อไปได้เรื่อย ๆ
เรนและหลินต่างก็มองออกไปด้านนอกผ่านลูกกรงเหล็ก พวกเขาเห็นว่าทุกที่นั่นเงียบสงบมากจนน่าขนลุก
“มันแปลกมาก” หลินพูดขึ้นมา
“เพราะผู้คนตายไปเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีเสียงรบกวนอื่น ๆ คิดว่าตลกไหม มีมนุษย์ทำให้โลกนั้นวุ่นวาย ไม่มีโลกนี้กลับเงียบสงบมากกว่าเดิม” ผู้กองเชนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างพวกเขาพูดขึ้นมา ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาและสูบ
“เอาหน่อยไหม” ผู้กองเชนส่งบุหรี่ให้กับเรน
เรนส่ายหัวเบา ๆ
“ฉันขอมวนหนึ่งได้ไหม” อาจารย์หลินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมา
เรนแปลกใจมาก เขาหันไปมองหญิงสาวและถามว่า “อาจารย์สูบด้วยเหรอ”
“ก็แค่เวลาเครียด ๆ” หลินพูดออกมา ก่อนจะสูบมัน
“ผู้กอง ผมขอหนึ่งมวนด้วย” เดฟกล่าวขึ้นมา
ผู้กองส่งมันให้เต้ ทำให้เต้ต้องเดินเอาไปให้กับเดฟ เดฟรับมาและเริ่มจุดด้วยตนเอง ทำให้ตอนนี้ภายในรถเต็มไปด้วยควันบุหรี่
รถขับมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้หยุดลง มันได้จอดข้าง ๆ พุ่มไม้ใหญ่ที่พอบังรถทั้งคันได้ ทุกคนนั้นลงมาจากรถคุมขังนักโทษ
“ถนนเส้นนี้เป็นทางที่จะตัดผ่านหมู่บ้านเพียงเส้นเดียว ถ้าขี่รถไปคงไม่ดีแน่ เราจะเดินอ้อมไปทางหลังหมู่บ้านเอา” ผู้กองเชนกล่าวขึ้นมาและหันไปรับปืน AR15 เป็นปืนเล็กสั้นแบบกึ่งอัตโนมัติ
โดยถือเป็นปืนที่เหล่าตำรวจนิยมใช้กันมาก นอกจากปืนกระบอกนี้แล้วผู้กองเชนยังมีลูกซองมาด้วยอีกหนึ่งกระบอกและปืนลูกโม่ที่เหน็บไว้ข้างเอว ตำรวจคนอื่น ๆ ก็จัดอาวุธมาเต็มเช่นกัน
สภาพของตำรวจพวกนี้ทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นดูเบาไปเลย
พวกเขาทั้ง 7 คนเดินเลาะตามป่าไป โดยมีผู้กองเชนเป็นผู้นำทาง
“คุณดูเหมือนจะคุ้นเคยที่นี่พอสมควร” เรนถามผู้กองเชนด้วยน้ำเสียงที่เบา
“เคยมาตรวจตราอยู่แถวนี้ช่วงหนึ่ง เพราะมีการปล้นของในค่ายทหาร สารวัฒน์ที่ตายไปจึงต้องส่งผมมาดูแลรอบ ๆ นี้” ผู้กองเชนตอบกับเรน
“หลังจากนี้พวกเราควรเงียบเสียงหลงหน่อย” ผู้กองเชนบอกก่อนจะเดินไปด้วยความเงียบมากที่สุด
เดินไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบกับบ้านคน ผู้กองเชนพาทุกคนหลีกออกมาในทันที ตอนนั้นเองเรนก็เหลือบไปเห็นว่าหน้าต่างชั้นสองของบ้านหลังหนึ่งมีผู้ติดเชื้อหญิงชราเดินไปมาอยู่ในบ้าน
“หาที่หลบ” เรนบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด ก่อนจะชี้ไปทางบ้านหลังหนึ่ง
ทุกคนหันไปมองก็เห็นแบบเรน จึงรีบพากันหลบหลังต้นไม้ ผู้ติดเชื้อหญิงชราหันมามองจุดที่เรนและพวกยืน ก่อนจะเริ่มเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว ผู้กองเชนบอกกับทุกคน
“ไปกันต่อ”
พวกเริ่มเดินอีกครั้ง ค่ายทหารในหุบเขาก็ต้องเดินขึ้นไปบนเขา หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านตีนเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเขายังต้องเดินกันอีกไกล
หลินขยับเข้ามาเดินใกล้ข้างกายเรน เพราะแม้เธอจะใจกล้ามาทำภารกิจในครั้งนี้ด้วย แต่ก็ยังคงมีความกังวลและกลัวเป็นเรื่องธรรมดา
ในความคิดของเธอ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คนที่จะพาเธอออกไปอย่างมีชีวิตคงมีแค่เรนเท่านั้น
เรนหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเพื่อให้เธอมีสีหน้าผ่อนคลายลง
ขณะที่เดินไปในชายป่าพวกเขาก็มองทางด้านขวามือที่เป็นหมู่บ้าน ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบมากจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงกิจกรรมของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ อยู่เลย
“หลังจากนี้อย่าพูดอะไร เพราะทางข้างหน้าใกล้กับโรงเรียนในหมู่บ้านมาก” ผู้กองเชนหันมาสั่งทุกคนให้งดใช้เสียง บริเวณที่พวกเขาต้องเดินผ่านทางเป็นโรงเรียนที่มีอาคารเรียน 2 ชั้นอยู่สองหลังตุ้งอยู่
มันยังมีสนามเด็กเล่นใกล้ ๆ ด้วย
ผู้กองเชนที่นำอยู่ด้านหน้า เขาส่งสัญญาณมือชี้ไปที่สนามเด็กเล่น เรนเองก็สะกิดหลินให้มองดูเช่นกัน
นั้นมันบ้าอะไร!
ทุกคนเกิดคำถามขึ้นมาบนหัวกันในทันที เพราะตอนนี้ในสนามมีผู้ติดเชื้อเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเตะบอลกันอยู่ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาใช้เตะกันนั้นกลับเป็นศีรษะของผู้ใหญ่
ศีรษะถูกเตะไปทั่วทั้งสาม
‘พวกมันทำตามความทรงจำ’ เรนคิดในใจ
เมฆยกปืนขึ้นมาส่องไปที่พวกมัน จ่าวัฒน์ยกมือขึ้นมาจับที่ปืนของเมฆและส่งสายตาห้ามปรามทันที
ขณะที่ทุกคนสนใจผู้ติดเชื้อเด็กที่สนามกีฬา ตำรวจเต้ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุดของกลุ่มก็เหลือไปเห็นว่ามีตุ๊กตาวางอยู่ข้างต้นไม้อย่างน่าสงสัย
เขาเดินเข้าไปหยิบขึ้นมา แต่พอเงยหน้าจากการมองตุ๊กตาตัวนั้นก็พบว่าด้านหน้ามีผู้ติดเชื้อเด็กสาวถักเปียสองข้างยืนอยู่
ตำรวจเต้ตกใจมาก แต่ก่อนจะได้ทำอะไรผู้ติดเชื้อเด็กสาวก็กระโจนเข้าใส่ตำรวจเต้ทันที
“อา!” ตำรวจเต้ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ทุกคนหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีผู้ติดเชื้อเด็กกำลังพยายามจะกัดคอตำรวจเต้
“อย่า” ผู้กองเชนพยายามห้าม เมื่อเห็นว่าตำรวจเต้ผลักผู้ติดเชื้อเด็กออกไปจากนั้นก็ใช้ปืนกระหน่ำยิงใส่ผู้ติดเชื้อเด็กสาวคนนั้น
ปัง!!!! ๆ ๆ ๆ
กระสุนรัวอย่างต่อเนื่องหลายนัด ทำให้ร่างของผู้ติดเชื้อเด็กสาวหงายหลังล้มลง
“แกทำบ้าอะไร” ผู้กองเชนเข้ามากระชากคอของตำรวจเต้
“เด็กเวรนี่โผล่มาและจะกัดผม” ตำรวจเต้ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยังคงตกใจอยู่
“ไอ้สมองกลวงเอ๊ย!” ผู้กองเชนด่าตำรวจเต้และผักตัวเขาออกไป ก่อนจะหันไปหยิบเหรียญทองระบบที่ออกมาจากศพของผู้ติดเชื้อเด็ก
“ผู้กองเชน...” เรนบอกกับผู้กองเชน เพราะในตอนนี้ผู้ติดเชื้อเด็กที่เตะหัวคนที่ด้านล่างพากันปีนรั้วสนามเด็กเล่นและวิ่งมาทางพวกเขา
ระยะทางพวกเขากับผู้ติดเชื้อเด็กไม่ไกลมากนัก
“บ้าจริง! ยิงพวกมันก่อน” ผู้กองเชนไม่ทางเลือก เขายกปืนขึ้นมาและเล็งไปที่ผู้ติดเชื้อเด็กพวกนั้น
ทุกคนกระหน่ำยิงไปทางผู้ติดเชื้อเด็ก เสียงปืนดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ เรนและหลินไม่ได้ลงมือยิง พวกเขาเพียงมองดูเท่านั้น ผู้ติดเชื้อเด็กที่วิ่งตรงมาทางพวกเขาพากันล้มลง หัวแต่ละตัวโดนกระสุนกันไม่ต่ำกว่าสามนัด ดังนั้นต่อให้อึดมากแค่ไหนก็ตาย
“หยุด!” ผู้กองเชนสั่งทุกคนหยุดยิง
ผู้ติดเชื้อเด็กทุกคนตายไปจนหมด แต่ยังไม่ทันให้ทุกคนได้คิดอะไรก็มีเสียงคำรามดังมาจากในหมู่บ้าน เสียงคำรามเริ่มส่งต่อ ๆ กันไปเป็นสัญญาณว่าเสียงปืนได้ไปปลุกพวกผู้ติดเชื้อตัวอื่น ๆ แล้ว
“ไป”
พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะลงไปเก็บของที่ออกมาจากตัวของผู้ติดเชื้อเหล่านั้น
ตอนนั้นเองเรนรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ มีผู้ติดเชื้อจะโจมตีเขา เรนที่เอาคันธนูออกมาเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนวิ่งอยู่แล้วก็ยกขึ้นมาและยิงมันด้วยศรพลังงานในทันที
ปัก!
หัวของผู้ติดเชื้อโดนยิงจนทะลุ มันล้มตายลงไปในทันที เรนไม่ลืมที่จะเก็บเหรียญทองระบบ 2 เหรียญมาด้วย
“ด้านหน้ามีอีก” จ่าวัฒน์พูดขึ้นมา
“อย่ายิง เสียงจะดึงดูดพวกมันตามมา” เรนบอกพวกตำรวจก่อนจะหันไปพูดกับหลิน “เราจะใช้ธนูยิงพวกมัน”
เรนและหลินใช้ธนูยิงพวกที่อยู่ด้านหน้าจนหมด เขาไม่ลืมที่จะเก็บเหรียญทองระบบมาด้วย
“ทางไปค่ายบนหุบเขาคือทางนี้” ผู้กองเชนบอก
“เราหนีไม่ทันพวกที่ตามมาแน่ หาที่ซ่อนที่เงียบ ๆ ก่อน ไปที่นั่น” เรนชี้ไปที่โรงนาที่อยู่ไม่ไกล