06 Part 1.4 คืนแรกสุดห่วย
Part 1.4 คืนแรกสุดห่วย..
คืนต่อไปคงแย่ไม่ต่างกับคืนแรกเพราะฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นของพวกหมาที่แรงจนทำฉันแหยะ ฉันมองตรงไปตามทางเดินที่เติมไปด้วยกลุ่มนักเรียนกำลังยืนมุงอะไรบางอย่างซึ่งตรงกลางนั้นมีได้กลิ่นไอที่รุนแรงมากจนฉันหมั่นใจว่านั่นต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉันแน่นอน
ระหว่างที่ฉันเดินเข้าไปมีนักเรียนบางส่วนมองฉันแต่ฉันไม่สนใจฝ่าวงล้อมไปเห็นชายน้ำตาลแกมบอล์นที่คุ้นเคย เขาสัมพัสได้ถึงฉันจึงมองเข้ามาที่ฝูงชน
"ไม่ต้องมาพูด!" ไรลีย์ อีเมอสันขู่ตาเขม็งด้วยดวงตาสีแดงอมทอง
"ไม่ต้องมายุ่งกับเราเลย!" เสียงผู้หญิงตะโกนดังขึ้นมาข้างฉันด้วยมือที่กำลังกำแน่เหมือนฉันกับไรลีย์ เธอคือ เบลีย์ อีลามิน
"ฉันไม่อยากมีปัญหากับพวกมันตอนนี้หรอกนะ!" เสียงดังมาจากฝูงชนตามด้วยแรงกดดันราวทะเลคลั่ง ฉันรู้สึกได้ถึงความโกรธที่รุนแรงจากด้านหลังจนทำหน้าเราบึ้งลง
"พวกแกอีกแล้วหรอ!" ชายที่สูงสุดในกลุ่มจ้องมาที่ฉันพร้อมหน้านิ่วคิ้วขมวด
เอียน ไรเดอร์เป็นคนสูงหุ่นดีคนหนึ่ง ดางตากับผมสีน้ำตาลพร้อมผิวสีแทน พวกเราเป็นคู่กัดที่สูสีกันซึ่งคนในโรงเรียนต่างรู้ดีว่าเมื่อไรที่เกิดเหตุทะเลาะต้องมีเราสองคนเข้าเอี่ยวตลอด และเพื่อสนิทของเขา แบรนดอน วอร์ธที่เอาแน่เอานอนเรื่องอารมณ์ไม่ค่อยได้ แม้แต่ร่างกายสักครึ่งยังคลุมไม่ได้เพราะเลือดขึ้นหน้าทีไรก็แปลงร่างเป็นหมาป่าตลอดและนี่เป็นศึกที่ชาวโรงเรียนแห่งเงารู้กันดีและเบื่อกับการวิวาทของเราเสมอ
พวกเรามีชื่อด้านว่าวิวาททั้งในโถงทางเดิน ห้องเรียน ห้องแลป สนามหญ้าก็ทุกที่นั่นแหละ และยังเคยทะเลาะกันแม้ในห้องน้ำอาจฟังดูตลกแต่ทุกครั้งเราจะสู้ด้วยกันเสมอ เราถือคติว่า 'มีเรื่องกับคนหนึ่งได้เจอกับทุกคน'
"เข้าห้องแล้วอย่าคิดจะก่อนเรื่องละ!" เสียงที่ฉันรู้ดีดังขึ้นคือโปรเฟสเซอ โทมัส เวอร์กัส ผู้สอนอักขระ ประวัติศาตร์และการวิวัฒนาการ แต่ฉันไม่สนใจจ้องไปที่ไรเดอร์เหมือนที่เขาจ้องมาที่ฉัน
"อีฟ แอคเคอแมน และ เอียน ไรเดอร์ ถ้าเธอไม่อยากมีปัญหาจงเข้าห้องเรียนเดี๋ยวนี้!" เสียงขู่ทำเสียงขู่ฉันอ่อนลงแต่ฉันก็ไม่หยุดจ้องหากเขาไม่หยุด
"ฉันขอพูดครั้งสุดท้าย ถ้าเธอไม่เข้าห้องเรียนเดี๋ยวนี้! ได้โดนดีแน่!" เวอร์กัสตะโกนขู่แต่ฉันกับไรเดอร์ไม่ฟังที่เขาพูดเพราะยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้ไอ้หมานี้แน่นอน
"เอียน ไรเดอร์ และ อีฟ แอคเคอแมน ไปเข้าห้องปกครองเดี๋ยวนี้!"
สิบกว่านาทีที่ฉันกับไรเดอร์ยืนรอที่หน้าห้องปกครองระหว่างที่เวอร์กัสบ่น ฉันยืนกอดอกพิงกำแพงขณะสายาจ้องไปที่รูปสงครามโบราณที่ฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำ ไรเดอร์ยืนเงียบ เราไม่แม้แต่จะพูดหรือเถียงกันตั้งแต่เวอร์กัสลากเรามาที่นี่ ประตูห้องเปิดออกเวอร์กัสยืนหัวเขาออกมา
"เธอสองคน เข้ามาได้แล้ว" เขาเรียกเราเข้าไปในห้องที่มีแสงไฟสลัว ห้องนี้ยังคงเดิมเหมือนตอนที่ฉันเข้ามาช่วงมัธยมต้น ชั้นวางหนังสืออันใหญ่ปิดกำแพงสองด้านตรงกลางนั้นมีที่ผิงไฟก่อสูงขึ้นเหนือกำแพง มีถ้วยรางวัล เหรียญตราและรูปเหล่านักเรียนดีเด่นติดอยู่ที่กำแพงด้านหลังชายผู้เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งเงานี้ ห้องยังมีโคมแก้วระย้าห้อยลงจากเพดาน โคมไฟส่องแสงอ่อนๆเย็นตาระยิบระยับสะท้อนกันไปมาเหมือนตาแวมไพร์ของครูใหญ่ บาร์โธโลมิว รอยัล แห่งโรงเรียนนี้
เขาเหมือนชายอายุห้าสิบ ผิวสีขาวซีดราวกระดาษเปล่ากับดวงตาสีเทาที่มองแล้วลึกลงเหมือนเห็นจะความทรงจำที่โคตรร้ายหลอกหลอน
เขาแข็งแกร่งมากถึงขั้นไม่มีใครกล้าเถียงในสิ่งที่เขาพูด ผมสีเทาเหมือนขี้เถ่าโน้มไปด้านหลังผ่านหน้าผากที่มีรอยย่นอย่างสมบูรณ์แบบ กลิ่นอายของเขาทำเอาฉันไม่กลายแม้ขยับตัวซึ่งไรเดอร์ก็รู้สึกเหมือนกัน
"อีฟ แอคเคอแมน และ เอียน ไรเดอร์ ปีหนึ่งมัธยมปลาย" เขาเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆแค่นั้นก็พอจะทำให้เราขนลุก
"ค่ะ/ครับ" เราสองคนตอบกลับพร้อมยื่นหลังตรง
"โปรเฟสเซอเวอกัส คุณไปได้แล้ว" เวอกัสยืนขึ้นพร้อมเดินออกจากห้องทันที
ครูใหญ่หันมองมาที่เราทำเอาร่างกายหนักอึ้งรู้สึกแน่อก
"ผมได้รับข่าวว่าพวกคุณไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของโปรเฟสเซอเวอกัส และนี่เป็นวันแรกของการเปิดเทมอใหม่แต่ผมกลับได้รับการร้องเรียนแล้ว" คำพูดเขาทำฉันสะอึก ทำไรเดอร์ยืนตัวแข็ง
"คุณมักมีปัญหากันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น พวกคุณมีปัญหาส่วนตัวกันหรือเปล่า? หรือแค่เพราะว่าต่างเผ่ากัน?" คำถามเขาทำให้ฉันกับไรเดอร์จ้องตากันราวกับจะมีประกายไฟฟ้าออกจากตา
"ว่าไง?" ครูใหญ่ถาม เราทั้งสองหันกลับไปพร้อมกัน
"ไม่มีค่ะ/ครับ" เราตอบพร้อมกัน
"งั้นช่วยอธิบายผมหน่อยว่าทำไมต้องเกิดเรื่องขึ้นทุกวัน?" ฉันอ้าปากจะตอบคำถามเขาทันทีแต่หยุดทันทีเมื่อคิดอีกครั้ง
"ไม่มีเหตุส่วนตัวงั้นหรอ? คุณแค่ไม่ชอบหน้ากันทั้งที่ไม่มีเหตุจูงใจด้วยซ้ำ ผมอยากให้คุณสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและหากผมได้รับคำร้องแบบนี้จากโปรเฟสเซอท่านใดอีกละก็ คุณทั้งสองจะได้รับการลงโทษที่จะจำไม่มีวันลืม" เขาขู่เราด้วยเสียงเรียบง่ายแต่แค่นั้นก็พอทำให้เราเสียวสันหลังแล้ว ชายแก่อายุกว่าสองศตวรรษและรู้จักโลกนี้มากมายและยังเป็นหนึ่งในแวมไพร์โบราณที่ยิ่งใหญ่ เผ่าแวมไพร์นั้นยิ่งอายุมากความแข็งแกร่งและกำลังก็จะมากตามไปด้วย
"พวกคุณเข้าใจที่ผมพูดไหม?" เราสองคนตัวแข็ง
"ค่ะท่าน/ครับท่าน"
หลังออกจากห้องชายผู้มากประสบการณ์ฉันก็หายใจได้สะดวก ไรเดอร์ก็ทิ้งตัวผิงกำแพงด้านหลังทันที
"เขาน่ากลัวนะว่าไหม?" ฉันกระซิบ
"ไม่ต้องบอกก็รู้" เขาตอบกลับเสียงกระซิบ
"เราคงต้องเลิกหาเรื่องกันไปซักระยะหนึ่งซะแล้วล่ะ" ฉันพูด เขามองมาด้วยหางตา
"ฉันแค่ต้องเลี่ยงเธอเพราะเธอนั่นแหละตัวปัญหา" เขาพูดทำฉันหลี่ตามองเขา
"บอกตัวเองเถอะไอ้ขนฟู นายเองก็ไม่ต่างกันหรอก" ฉันตอบกลับ เขาจ้องฉันคืน
"อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้เป็นคางค้าวน้อยที่โดนแม้แต่แดดยังไม่ได้ละกัน" เขาพูดทำฉันหันไปหา
"อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเข้าโครงการ 'กำจัดเห็บฟรี' " ฉันเย้ยทำเขาส่งเสียงขู่
"ทำไมละ เพราะเธอเป็นตัวดูดเลือดงั้นหรอ?" คำพูดเขาทำฉันกำหมัด
"ว่าไงนะ ไอ้ขนฟูน่าโง่?"
"ได้ยินว่าไงละ ยายค้างคาว"
เราต่างจับคอเสื้อของอีกฝ่ายและมองไปที่ตาของฝั่งตรงข้าม อีกนิดคงได้เปิดศึกกันแต่กลับมีเสียงดังขึ้น
"ต๊าย ตายไม่ใช่ว่าโดนตักเตือนแล้วหรอจ๊ะ?" เราหันมองไปที่ เดไลลาห์ เวนท์เวิร์ธ กำลังยืนอยู่ข้างๆ หนึ่งแขนโอบที่ท้องอีกแขนเท้าขึ้นเอานิ้วเกี่ยที่คางของเธอ เธอยิ้มพางแอบขำเหมือนเห็นเราหน้าซีด เธอคือหนึ่งในโฟรเฟสเซอที่คอยดูแลวินัยร่วมกับโปรเฟสเซอท่านอื่น ถึงจะเป็นมนุษย์ธรรมดาและไม่เคยเป็นผู้สังเกตุการณ์ก็ตามแต่ทักษะของเธอก็เยี่ยมยอดมาก
เธอเป็นหญิงอายุสามสิบปลายๆ รูปร่างทรงกลม ผิวสีกุหลาบแดงซีดและผมสีน้ำตาลแดง เธอเป็นครูสอนวรรณกรรมหลากภาษาซึ่งช่วยเราเรียนภาษาอื่นกระทั่งภาษาโบราณเอง
"ฉันขอแนะนำให้เธอสองคนอยู่ห่างๆกันไว้ ไม่งั้นคงได้โดนครูใหญ่ลงโทษด้วยวิธีแปลกๆแน่ ซึ่งพวกเธอจะได้รับสิทเป็นผู้ทดลองรายแรก!" พูดจบฉันกับไรเดอร์ต่างผลักอีกฝ่ายออก
"ไปห่างๆเลยยายปรสิต!" เขาล้อฉัน
"อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ ไอ้หมา!" ฉันพูดใส่เขาแล้วเราสองคนก็แยกทางกัน
ฉันเดินตรงไปยังห้องเรียนแต่ดันเจอไอ้หมาโง่นั่งอยู่ในห้องซะงั้น? นี่ไม่รู้หรือไงว่าแวมไพร์กับหมาป่าไม่ควรอยู่ห้องเดียวกันน่ะ? พวกเขากำลังทำสิ่งที่โง่มากๆและฉันรับรองว่าทั้งช่วงมัธยมนี้ทุกๆวันในห้องพยาบาลคงไม่มีที่ว่างอีกแน่ คงได้เข้าห้องครูใหญ่จนนับครั้งไม่ไหวแน่เพราะยังไงสัญชาตญาณก็คงอยู่เหนือความกลัวแน่นอน
พอคิดขึ้นได้ฉันจึงหันหลังกลับทันทีแต่ดันไปชนกับใครบางคนเข้า
"ไอ้ย!"
"อ้าว!"
เราสองคนบ่นออกมาทั้งล้มก้นจุ่มพื้นพร้อมกัน
"เดินดูทางหน่อยสิ ไอ้ปัญญาอ่อน!" ฉันบ่น
"แล้วเธอไม่มีตาหรือยังไง? มองทางที่เดินหน่อย!" ฉันเงยหน้าเห็นเด็กผู้ชายนั่งจ้องฉันด้วยหน้าเซ็ง เขามีผมหยักสีดำ ตาสีเทาและผิวสีซีด หุ่นผอมเล็กน้อยมองก็รู้ว่าเขาเป็นนักเวท ฉันมองไปที่ไหล่เขามีแถบสีเขียว
"นายเป็นใครเนี่ย?" ฉันถามทำเขาเลิกคิ้วใส่
"นี้ไม่มีใครสอนหรือไง? ก่อนถามชื่อคนอื่นให้บอกชื่อตัวเองก่อนนะ?" คำตอบเขาทำฉันแอบขำ ชายคนนี้กล้าถามฉันทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักเวท เราทั้งคู่ยืนขึ้นและปัดมือ
ฉันเดินเข้าไปพูด "ไม่มีใครสอนหรอก ทำไมนายไม่มาสอนฉันละฮะ?" ฉันจ้องเขาความสูงเราเท่าๆกันแต่เดี๋ยวเขาสูงกว่าฉันสองสามนิ้วนิ?
"ฉันไม่ว่างมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กหรอกนะ" ฉันขำคำตอบ
"ได้ส่องกระจกบ้างไหม พ่อหน้าละอ่อน?" ฉันพูดพร้อมจิ้มนิ้วไปที่ปลายจมูกของเขา
"หลบๆไปเถอะน่า" เขาปัดนิ้วฉันออกแล้วหันหน้าหนีด้วยความรังเกียด
"ไม่หลบจนกว่านายจะขอโทษ" เขาจ้องกลับคำพูด
"ทำไมฉันต้องขอโทษด้วย?" คำถามเขาทำฉันพยักไหล่
"นายเป็นคนชนฉันเอง นายสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษ" เขาหัวเราะใส่ฉัน
"ฝันเอาเองเถอะ ทีนี้หลบไปได้แล้วฉันไม่ว่าง" เขาพยายามเดินหลบฉันแต่ฉันขยับตัวบัง
"ฉันไม่ให้ไปถ้านายไม่ขอโทษ" ฉันยืนกรานกอดออกแน่นเหมือนกำแพงระหว่างเขากับทางเข้า
"หลบไปเดี๋ยวนี้นะ-" เขาเย้ยสีหน้าแดงก่ำ
"ขอโทษฉันสิ เดี๋ยวหลบให้" เขาจ้องฉันราวกับจะฆ่ากันแต่มันไม่ง่ายหรอกนะยิ่งหากเป็นนักเวทด้วย
ฉันมองเห็นใครกำลังยืนอยู่โถงทางเดินพร้อมพูดว่า
"นี่ เดนแฮม ขนมพวกเราอยู่ไหนละ? เอามานี่เร็ว!" ฉันชะเง้อดูผ่านไหล่เขาไปเล็กน้อยเห็นรุ่นพี่สี่คนกำลังยื่นหัวเราะตบไหล่กันอยู่
"ทำอะไรอยู่ละเจ้าหนู? ไปเอามาได้แล้ว!"
ฉันเลิกคิ้ว ส่วนชายที่อยู่ต้องหน้ากำลังยื่นตัวสั่นกำหมัดไว้ข้างตัว
"ฉันขอโทษ" เขาพูดพร้อมเดินชนไหล่วิ่งผ่านตัวฉันไป ฉันมองตามแล้วมองกลับไปที่รุ่นพี่
"บูลลี่ที่โรงเรียนหรอ?" ฉันคลุ่นคิดแต่พอนึกถึงคำขาดของครูใหญ่ว่าถ้าฉันก่อปัญหาอีกคงได้โดนบทลงโทษในตำนานแน่ ซึ่งไม่ละ ไม่เอาดีกว่า
ฉันว่านายคนนั้นต้องยืนหยัดสู้เพื่อตัวเองแล้วละ ฉันถอนหายใจล้วงใส่กระเป๋าแล้วเดินจากไป
เฮ่อ..เป็นคืนที่ห่วยแตกจริงๆ