ตอนที่ 593 ความลับในอดีต
ปราสาทตระกูลเย่ว์
เย่ว์หวี่จะมาเยี่ยมบิดานางเป็นปกติเมื่อนางกลับมา แม้ว่าจะมีบริวารคอยดูแลบิดาให้นาง แต่เย่ว์หวี่ก็ยังต้องการใช้อสูรของนางรักษาให้บิดาของนาง
“แค่ก แค่ก!” อาการเจ็บป่วยของเย่ว์ซานเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งก็ดีขึ้น, บางครั้งก็ทรุดลง
มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้และเตรียมจะเดิน เหมือนกับว่าเขากำลังจะหายดี แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ในช่วงเวลาไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของเย่ว์ซานกลับมากำเริบ และเขาล้มป่วยลง เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถจดจำคนใช้ที่รับใช้อยู่ข้างๆ ได้ ด้วยความยากลำบาก เขาสามารถจำได้แต่เพียงธิดาตนเองและบิดาเขาเท่านั้น เขามองดูเหมือนว่าใกล้จะตาย เย่ว์หวี่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น?
ด้วยความสามารถในการรักษาของนางในปัจจุบันนี้ นางสามารถรักษาอาการบาดเจ็บใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะหนักหนาเพียงไหนก็ตาม
ทำไมอาการบาดเจ็บของบิดานางจึงได้กำเริบครั้งแล้วครั้งเล่า และหนักขึ้นในแต่ละครั้ง?
เรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใดกันแน่?
เย่ว์หวี่ต้องการรอให้เย่ว์หยางกลับมาและตรวจดูเย่ว์ซาน เขาคงสามารถตรวจหาต้นเหตุของอาการป่วยได้แน่นอน
“เจ้ามาแล้วหรือ? มานั่งใกล้ๆ นี่เถอะ” เย่ว์ซานสนทนากับเย่ว์หวี่อย่างยากลำบาก ปกติเขาเพียงแต่พยักหน้าเมื่อเขาเห็นธิดาของเขา และแทบจะไม่ได้พูดอะไรกับนาง วันนี้อาการของเขาค่อนข้างดี ดูเหมือนว่าเขาต้องการสนทนากับธิดาของเขา “นั่งตรงนี้เถอะ ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องรักษาอีกต่อไปแล้ว ข้ารู้สภาพร่างกายตนเองดีที่สุด ข้าจะไม่ตายในตอนนี้ แต่ก็จะไม่หายเหมือนกัน.... น้องสามของเจ้าเป็นยังไงบ้าง? เขาชนะไหม?”
“เขาชนะ” เย่ว์หวี่พยักหน้า ปกติบิดาของนางยากจะให้ความสนใจเรื่องเย่ว์หยาง วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา? นางนั่งลงหน้าเตียงของเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่นางได้สั่งให้บ่าวทาสเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท นางรินน้ำให้บิดา “ตอนนี้เย่ว์หยางยังคงอยู่ในหอทงเทียนชั้นสิบ ไห่อิงอู่สืบทอดบัลลังก์เป็นจักรพรรดินีสมุทรคนใหม่ เขาต้องอยู่ร่วมฉลอง”
“แม่หนูคนนั้นดูเหมือนจะอ่อนด้อยไปบ้าง นางจะเป็นจักรพรรดินีสมุทรได้หรือ?” เย่ว์ซานได้ยินเรื่องไห่อิงอู่จากเย่ว์หวี่มาก่อน แต่เขาไม่มีความประทับใจที่ลึกซึ้งกับนาง
“เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น มารดาผู้ให้กำเนิดนางก็คือราชินีแมงกะพรุน..” เย่ว์หวี่เล่าเรื่องแผนการพันปีของราชินีแมงกะพรุนให้บิดานางฟัง เมื่อเย่ว์ซานได้ยินเช่นนี้ เขาพึมพำกับตนเองอยู่นานก่อนจะพยักหน้าชื่นชม “ราชินีแมงกะพรุนช่างเป็นสตรีที่น่าทึ่งจริงๆ น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี มิฉะนั้นนางคงจะเหนือกว่าจักรพรรดิสมุทรก้วนหลานแน่นอน ต่อให้มีผู้มีความสามารถในหอทงเทียนอยู่หลายคน แต่สตรีที่ยอดเยี่ยมอย่างราชินีแมงกะพรุนหาได้ยากจริงๆ ยากจริงๆ ราชันย์พันปีศาจตายแล้ว ราชาเฮยอวี้บาดเจ็บหนักและจักรพรรดิชื่อตี้หลบหนีเข้าแดนสวรรค์ หอทงเทียนน่าจะสงบสุขได้อีกระยะหนึ่ง หวี่เอ๋อ, ข้ามีคำถามที่อยากถามเจ้ามานานแล้ว เจ้าได้คิดถึงเรื่องอนาคตของเจ้าบ้างหรือไม่?”
“อนาคตอะไร?” เย่ว์หวี่สับสน นางจำเป็นต้องกังวลถึงอนาคตของนางด้วยหรือ? ตอนนี้สถานะของตระกูลเย่ว์อยู่ในระดับสูงสุด และชื่อของพวกเขาก็เป็นที่รู้จักดีทั่วหอทงเทียน นางจะไม่ถูกใครรังแกอีกต่อไป นอกจากนี้นางยังไม่มีความตั้งใจต่อสู้เพื่อพลังอำนาจแต่อย่างใด นางแค่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
“....” เย่ว์ซานเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นพูดทันที “หวี่เอ๋อ ไปคิดเรื่องนี้ดูให้ดี คงไม่ใช่เรื่องดีหากเจ้าไม่มีใครดูแลเจ้าในอนาคต”
เย่ว์หวี่ตกใจมาก เป็นไปได้ไหมว่าบิดานางดูจิตใจนางออก?
มันชัดเจนขนาดนั้นหรือ?
น้ำเสียงของนางลังเลเล็กน้อยและปฏิเสธขณะที่นางกล่าว “โอว, ท่านพ่อพูดถึงเรื่องนี้เอง ตั้งแต่ตระกูลเซี่ยถอนคำยื่นเสนอของแต่งงานไป ใจของข้าก็เฉยชา ข้าไม่ต้องการคิดเรื่องอย่างนี้สักระยะหนึ่ง มีนักสู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมากมายอยู่ในโลกนี้ อย่างจื้อจุน, จักรพรรดินีราตรี, มารกฎฟ้า, มารเคราะห์ฟ้าและคนอื่นๆ อีกหลายคน ท่านเหล่านั้นครองตัวเป็นโสดและทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเพียรฝึกฝน”
เย่ว์ซานส่ายหน้าช้าๆ “หวี่เอ๋อ, เจ้าเป็นคนอ่อนโยน ใจดีและมีนิสัยน่ารัก เจ้าไม่ใช่คนประเภทที่อุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝน เส้นทางสันโดษเดียวดายนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ ในอนาคต ถ้าข้าไม่อยู่อีกต่อไป และถ้าปู่ของเจ้าและอาของเจ้าล้มหายตายจากไปกันหมด พี่น้องของเจ้าแต่งงานมีครอบครัวกันหมด เจ้าจะเหลือตัวคนเดียว นั่นจะเป็นเรื่องทุกข์ทรมานมาก ถ้ามีคนคอยดูแลเจ้า ต่อให้ข้าตายไป ข้าก็ยังรู้สึกคลายกังวลได้”
เย่ว์หวี่รีบโบกมือพัลวัล “ท่านพ่อยังสบายแท้ๆ ทำไมถึงพูดอะไรเป็นลางอย่างนั้น? ถ้าเย่ว์หยางยังอยู่ด้วย ทุกคนจะต้องมีชีวิตอย่างน้อยพันปี อย่ากังวลเรื่องเป็นเรื่องตายอย่างนี้อยู่อีกเลย... ต่อให้ทุกคนมีครอบครัวเป็นของตนเอง ข้าก็จะยังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ว์ และถ้าไม่สะดวกที่ข้าจะอยู่ที่อื่น ข้าก็ยังไปพักอยู่กับเย่ว์หยางได้ เชี่ยนเชี่ยน, โล่วฮัวและคนอื่นๆ ล้วนดีกับข้า ในช่วงหลายๆ ปีนี้ท่านยังไม่ต้องเป็นห่วงข้าก็ได้ ทั้งหมดนี้ยังเป็นเรื่องห่างไกลในอนาคต ตอนนี้ท่านพ่อต้องให้ความสำคัญกับการรักษาตนเองให้หายป่วย อย่าห่วงเรื่องข้าเลย ข้ายังดูแลตัวเองได้ อีกสองวันเมื่อเย่ว์หยางกลับมา ข้าจะขอให้เขาตรวจดูอาการป่วยของท่านพ่อ บางทีท่านอาจจะรักษาได้ทันทีก็ได้”
เย่ว์ซานถอนหายใจฝืนยิ้ม
เหมือนกับว่าเขาต้องการบอกว่า “ไม่จำเป็น”
แต่เขาไม่ต้องการทำให้ธิดาเขาเก้อเขินด้วยความคิดอย่างนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่พูดออกมาดังๆ เมื่อเย่ว์หวี่ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกนอกประตู เย่ว์ซานเรียกนางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หวี่เอ๋อ, รอก่อน”
“???” เย่ว์หวี่หันกลับมา ยังมีอะไรอื่นที่บิดานางต้องการคุยด้วย?
“จี้เครื่องรางอักษรรูนทองที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ เจ้ายังเก็บรักษาไว้อยู่หรือเปล่า?” เย่ว์ซานถาม
“ยังอยู่ ท่านพ่อต้องการดูหรือ?” เย่ว์หวี่สวมจี้อักษรรูนทองมาตั้งแต่ยังเล็ก เดิมทีมันเป็นเครื่องรางที่นางห้อยไว้เป็นศิริมงคล เนื่องจากมารดานางตายตั้งแต่ยังเล็ก เย่ว์หวี่มักสวมจี้นี้ไว้กับตัวเป็นเครื่องระลึกถึงมารดาของนาง เมื่อเย่ว์ซานถามถึงในวันนี้ ตอนแรกเย่ว์หวี่คิดว่าบิดานางคิดถึงมารดานางและต้องการดูเพื่อระลึกถึงนาง
“ไม่, เจ้าเก็บไว้, จงเก็บไว้ให้ดี” เย่ว์ซานโบกมือและหยุดค้างชั่วขณะ จากนั้นพูดต่อ “ความจริงจี้อักษรรูนทองจะมีอยู่เป็นคู่ อีกชิ้นหนึ่ง...”
“ว่าไงนะ?” เย่ว์หวี่เห็นว่าเย่ว์ซานดูเหมือนมีเรื่องปิดบังไว้บางอย่าง นางอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เป็นไปได้ไหมว่ามีความลับบางอย่างเกี่ยวข้องกับจี้ทองนี้?
“มีเป็นคู่ ยังมีอยู่อีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งน่าจะอยู่กับน้องสาวฝาแฝดของเจ้า”
“ท่านแม่ไม่ได้ให้กำเนิดข้าเพียงคนเดียวหรือ?” เย่ว์หวี่อดมิได้ที่จะขึ้นเสียงถามอย่างประหลาดใจ
“ความจริงเรื่องเป็นเช่นนี้ ... ในปีนั้น เราอยู่ในท่ามกลางสงคราม แม่เจ้าและข้ากับสหายอีกสองคนกำลังต่อสู้ตอบโต้การรุกรานของเผ่าปีศาจ เราถูกล้อมและถูกกักอยู่ในถ้ำบนภูเขา แม่เจ้าคลอดก่อนเวลาและให้กำเนิดเจ้าและน้องสาวเจ้าภายในถ้ำในภูเขา ปาฏิหาริย์เกิดเมื่อเจ้าทั้งสองถือกำเนิดในโลก ทั่วทั้งสนามรบมีแสงบริสุทธิ์ครอบคลุมไปหมด ทหารปีศาจอ่อนกำลังลงอย่างมาก มากถึงขนาดที่แม่ทัพปีศาจและขุนพลปีศาจที่โอบล้อมอยู่ต้องถอนทัพออกไปจากสมรภูมิอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเหตุให้มารดาเจ้ากับข้าสามารถหลบหนีออกไปได้พร้อมกับเจ้า” เย่ว์ซานอธิบาย
“อย่างนั้นน้องสาวข้าเป็นยังไงบ้าง?” เย่ว์หวี่อดถามมิได้ นางจำได้ว่าตั้งแต่ยังเล็กไม่เคยมีใครบอกว่านางยังมีน้องสาว
“น้องสาวของเจ้า... เนื่องจากเราติดอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติในเวลานั้น สหายอีกสองคนของข้าพาน้องสาวของเจ้าหลบหนีไปอีกทางหนึ่ง เมื่อสถานการณ์ของสงครามที่ยุ่งเหยิงสงบลง หลายเดือนต่อมา ข้ากับแม่เจ้าออกตามหาน้องสาวเจ้า แต่เราไม่สามารถหาพบได้อีกต่อไป สหายสองคนในเวลานั้นคงจะเสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตามน้องสาวของเจ้าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะเครื่องรางอักษรรูนทองที่เจ้ากำลังสวมใส่อยู่ไม่ได้แตกหักเลยตลอดมา นี่พิสูจน์ได้ว่าน้องสาวของเจ้ายังคงมีชีวิต เพียงแต่ว่าในโลกนี้มีคนมากมายเกินไป ดังนั้นเราไม่สามารถหานางได้พบต่อไป” เย่ว์ซานถอนหายใจช้าๆ
“ข้าจะหาน้องให้เจอให้ได้ นอกจากเครื่องรางอักษรรูนทองแล้ว น้องสาวข้ายังมีลักษณะพิเศษอะไรอีกบ้าง?” เย่ว์หวี่ถามอย่างกระวนกระวายใจ
“เราพลัดพรากกันตั้งแต่เจ้ายังเล็ก ดังนั้นข้าไม่รู้อะไรมาก” เย่ว์ซานชะงักเล็กน้อยจากนั้นเตือนเย่ว์หวี่ทันที “หวี่เอ๋อ เกี่ยวกับน้องสาวเจ้า แม้ว่าข้าจะบอกเรื่องของนางกับเจ้าไปแล้วก็ตาม จำไว้ว่าอย่าตามหานางโดยเปิดเผย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ศัตรูของเรารู้เรื่องนี้ น้องสาวของเจ้าโชคดีมาก นางก็จะมีโอกาสกลับมายังปราสาทตระกูลเย่ว์ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของนาง”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ, ข้าจะตามหานางอย่างเป็นความลับ สหายทั้งสองของท่านชื่ออะไร?” เย่ว์หวี่ถาม
“พวกเราสนิทคุ้นเคยกันในสนามรบ ดังนั้นเราจึงไม่รู้จักชื่อพวกเขาในเวลานั้น” เย่ว์ซานก้มหน้าเมื่อเขาพูดเรื่องนี้
เย่ว์หวี่เกรงว่าบิดาจะเศร้าใจ ดังนั้นนางจึงหยุดถาม
อย่างไรก็ตาม หัวใจของนางยังเต็มไปด้วยความสงสัย
ถ้าพวกเขาคือสหายทหารผู้ที่บิดานางไม่รู้จัก เขาจะเชื่อใจพวกเขาได้อย่างไร? คงจะดีถ้าสุดท้ายพวกเขาทะเลาะกัน แต่ทำไมเขาถึงได้เชื่อใจฝากน้องสาวของนางไว้กับพวกเขา? เป็นไปได้ไหมว่าสถานการณ์นั้น อันตรายในขณะนั้น?
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่งก็คือเย่ว์หวี่รู้ว่าบิดานางเคยตกเป็นเชลยของฝ่ายศัตรูมาก่อน
เขาถูกจับกลับไปยังแดนปีศาจ จนกระทั่งขุนนางหญิงแดนปีศาจช่วยเหลือเขาให้รอดชีวิตกลับมา
นักรบทั้งสองที่บิดาของนางพูดถึง อาจหมายถึงขุนนางหญิงแดนปีศาจกระมัง? คงเป็นเรื่องไม่สะดวกที่เขาจะเอ่ยถึงชื่อขุนนางหญิงแดนปีศาจนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่บิดานางหาข้ออ้างว่าไม่รู้จักชื่อพวกเขา? เป็นไปได้ไหมว่าน้องสาวของนางฝากไว้ให้ขุนนางหญิงแดนปีศาจช่วยดูแล? ถ้าเป็นเช่นนั้นความจริงน้องสาวของนางคงอยู่ในแดนปีศาจกระมัง? นั่นไม่ค่อยถูกต้องนัก ถ้าเป็นครั้งล่าสุด อาจมีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเย่ว์หยางปรากฏตัวขึ้นและกลายเป็นผู้ทรงอำนาจไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่จอมราชันย์ปีศาจบารุธก็ยังแสดงความเกรงใจเขา ถ้าน้องสาวนางอยู่ที่แดนปีศาจจริงๆ ตราบใดที่เย่ว์หยางทวงถาม แดนปีศาจจะไม่ปล่อยนางคืนมาได้ยังไง?
หรือบางทีอาจมีความลับอย่างอื่นอีก?
เย่ว์หวี่ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
นางไม่ทันได้สนใจขณะก้าวเท้าออกมา และเกือบจะสะดุดกับประตู โชคดีที่ปฏิกิริยาของนางรวดเร็วทำให้นางยั้งเท้าได้ทัน
ปู่ห้าเพิ่งเดินผ่านมาหัวเราะดังลั่น “แม่หนู, คิดอะไรอยู่หรือ? ทำไมถึงใจลอยนักเล่า? น้องสามเจ้าจะกลับมาพรุ่งนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงเขาหรอก!”
เย่ว์หวี่รีบแสดงความคารวะ จากนั้นบอกเขาว่านางไม่ได้กังวลเรื่องเย่ว์หยาง เมื่อปู่ห้าเตรียมจะจากไป นางจำบางเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวนางและเตรียมถาม “ปู่ห้า, เมื่อตอนที่แดนปีศาจรุกรานเราครั้งล่าสุด ข้าเกิดกลางสมรภูมิรบหรือ? ข้าไม่ได้เกิดในปราสาทตระกูลเย่ว์ใช่ไหม?”
เครายาวของปู่ห้ากระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย “เจ้าหมายความว่ายังไง? คนที่เกิดเกิดในสมรภูมิไม่ใช่เจ้า”
เย่ว์หวี่พูดไม่ออก เมื่อนางได้ยินเช่นนี้
ปู่ห้ารู้ตัวว่าพูดผิด เขารีบแก้ไขสถานการณ์ทันที “แม่หนู ครั้งกระโน้น เจ้าเกิดภายในปราสาทตระกูลเย่ว์ อย่างไรก็ตาม ปราสาทตระกูลเย่ว์อยู่ในสมรภูมิรบในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่แดนปีศาจเข้ารุกราน การสู้รบรุนแรงมาก มีคนพูดเรื่องประหลาดกับเจ้าหรือ? นั่นไม่จริงเลย เจ้าเกิดในปราสาทตระกูลเย่ว์ เจ้าคือคุณหนูสองของตระกูลเย่ว์ และเจ้าก็คือหลานสาวที่แสนดีของข้า ใครกล้าบอกว่าไม่ใช่? เด็กน้อย, อย่าคิดมาก ข้างนอกมีคำนินทามากมาย เจ้าไม่ควรเชื่อพวกเขา จำไว้ให้ดี เจ้าคือส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ว์ตลอดไป”
คำพูดของเขาทำให้เย่ว์หวี่ตกตะลึง
เรื่องราวชีวิตของนางที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดา กลายเป็นเรื่องลึกลับตั้งแต่เมื่อใด?
ความจริงเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น ทุกคนรู้สึกว่าจำเป็นต้องปกปิดเอาไว้จากนาง? คำพูดของบิดานางและปู่ห้า ใครพูดจริง และใครโกหก?
“อา...ขอบคุณปู่ห้า ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เย่ว์หวี่ไม่กล้าถามมากกว่านี้ นอกจากนี้ นางเพิ่มความระมัดระวังปู่ห้า บางทีเขาอาจไม่เปิดเผยอะไรมากกว่านี้
“เด็กเอย, อย่าคิดมาก แค่ใช้ชีวิตกับเย่ว์หยางให้ดี เราเหล่าผู้เฒ่าล้วนแก่แล้ว พวกเจ้าคือความหวังของตระกูลเย่ว์ เกี่ยวกับอารมณ์ไม่แน่นอนของเย่ว์หยาง ทางตระกูลต้องพึ่งพาเจ้ากับอาเซียน เจ้าต้องคอยดูแลเขาและต้องทำให้เขาไม่นอกลู่นอกทาง เนื่องจากเขากำพร้าบิดา เราเหล่าผู้อาวุโสเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่โชคดี ที่เย่ว์หยางยังคงทำงานหนักเพื่อตระกูล ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษหลังจากตายไปแล้ว” ปู่ห้ากลัวว่าเย่ว์หวี่อาจจะคิดมากเกินไป ดังนั้นเขาเตือนนาง “แม่หนู, อย่าคิดมากเกินไป อย่าสนใจคำพูดของคนนอก เจ้าก็คือเจ้าไม่มีใครแทนที่ได้ ถ้าใครรังแกเจ้า มาหาปู่ ปู่ห้าจะระบายโกรธให้เจ้า ถ้าใครพูดพล่อยๆ โดยไม่ยั้งคิด ข้าจะเสี่ยงชีวิตกับพวกมัน เอาล่ะ น้องสามของเจ้าอารมณ์ร้าย อย่าเอาเรื่องไร้สาระของคนอื่นไปบอกเขาเลย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไร้สาระทั้งนั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว ปู่ห้าโปรดวางใจ ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้กับเย่ว์หยาง” เย่ว์หวี่ตื่นตัวมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางรีบอำลาแล้วออกมา
“เฮ้อ.. เด็กคนนี้ นางมีชีวิตลำบากจริงๆ” ปู่ห้าถอนหายใจยาวขณะที่มองร่างของเย่ว์หวี่ห่างไกลออกไปทุกที