ตอนที่ 21 แลกเปลี่ยนข้อมูลและเบาะแส
ตอนที่ 21 แลกเปลี่ยนข้อมูลและเบาะแส
เรนเข้าไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานเรนก็เปลี่ยนชุดใหม่เป็นกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อยืดที่ดูใส่สบาย เขามีแค่ของชุดนี้ แต่ก็เป็นชุดที่ดี เพราะเสื้อยืด กางเกงวอร์มมันช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้คล่องตัวและยังระบายอากาศได้ดี
หลังจากออกมาเรนก็พบว่ามีอาหารวางอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะไปที่โรงอาหารและเอาอาหารมาเผื่อเขา
“เรนนั้นอาหารนาย ดูเหมือนที่นี่จะมีอาหารสดและข้าวไว้อยู่ ฉันตักมาเท่าที่พวกนั้นจะให้ มีไข่ต้มด้วย ส่วนเรื่องอันตรายฉันลองกินดูแล้วมันไม่เป็นอะไร” ธันวาชี้ไปที่จานถาดหลุม
ในเรื่องของอาหารหลังจากบทเรียนที่บ้านแดน ธันวาและทุกคนจำได้ขึ้นใจ ว่าให้ระวังสิ่งที่กิน
ถาดหลุมใส่อาหารด้านหน้าเรนมีตั้งข้าวสวย ต้มซุปไก่และผัดผักใส่ไก่ที่มองแล้วแทบหาไก่ไม่เจอ อาหารมีเนื้อสัตว์หลัก ๆ เป็นเนื้อไก่เพราะราคาของมันถูก
“ฉันนึกว่าพวกเขาจะมีแต่ข้าวแดง” ธันวาที่นั่งกินอยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้นมาอย่างติดตลก
“แบ่งข้าวฉันไปหน่อย” ไอราบอกกับแฟนของเธอ ดูเหมือนข้าวจะมากไปสำหรับเธอ
หลินและรินดาก็เริ่มกินอาหารของตนเองเช่นกัน เรนเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าเขาจัดการกินอาหารในถาดหลุมด้วยความหิวกระหาย
ตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา เรนและพวกก็ยังไม่ได้กินอาหารที่เป็นมื้อที่จริงจังสักครั้ง นอกจากพวกขนมและน้ำเพื่อทำให้มีแรงเท่านั้นในระหว่างที่ซ่อนและหนี
หลังจากกินจนอิ่ม เรนและทุกคนเลือกจะนอนพักกัน พวกเขาต้องการนอนเอาแรง มากกว่าไปเดินกระวนกระวายเหมือนพวกผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ
เหล่าผู้รอดชีวิตในตอนนี้ไม่มีอะไรทำพวกเขาพากันเอามือถือออกมาและพยายามจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่อย่าว่าแต่อินเทอร์เน็ตเลย ตอนนี้สัญญาณทุกอย่างมันล่มไปหมดแล้ว
จะมีก็แต่พวกวิทยุ แต่ว่าในที่นี้ไม่มีใครมีวิทยุนอกจากตำรวจที่อยู่บนชั้นสาม
มีผู้รอดชีวิตหลายคนพยายามขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อสอบถามว่าพวกเขาคิดจะจัดการสถานการณ์ตอนนี้ยังไง แต่คำตอบคือได้แต่รอทางรัฐบาลท้องถิ่นมาช่วยพวกเขา
เรนที่หลับไปจนกระทั่งถึงบ่ายสามโมงเย็น เขาลืมตาขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้ ๆ เรนหันไปดูก็ปรากฏว่าเป็นเด็กในกลุ่มผู้รอดชีวิตคนหนึ่ง
“พี่ชายผมขอขนมชิ้นนั่นได้ไหม” เด็กคนนั้นชี้ไปที่ช็อกโกแลตที่ธันเอามาจากห้องชมรมยิงธนู หลังจากกินข้าวไป ธันวาก็เอามาแบ่งกันกินอีกครั้งและเรนก็ยังไม่ได้กินช็อกโกแลตแท่งนี้
เรนหยิบช็อกโกแลตขึ้นมา ก่อนจะหักแบ่งครึ่ง เขาส่งครึ่งหนึ่งให้กับเด็กคนนั้น ส่วนตัวเองกินอีกครึ่งไป
แม้จะไม่ได้รับมาทั้งชินแต่เด็กน้อยก็ยินดีมาก รีบรับขนมและวิ่งจากไป เพราะกลัวเรนจะเปลี่ยนใจ
ชายหนุ่มเคี้ยวขนมด้วยใบหน้านิ่งเฉยและกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน ช่วงที่เขาและพี่ชายไม่ค่อยมีเงิน เรนได้แค่เงินค่าอาหาร 20 บาทไปพอกินอาหารกลางวันที่โรงเรียนเท่านั้น
ด้วยความอยากกินขนมเค้กส้มที่มีเด็กต่อคิวซื้อกินกันอย่างอร่อย เรนจึงตัดสินใจเอาเงิน 5 บาทไปซื้อเค้กส้ม 1 ชิ้นมากินแทนที่จะไปซื้อข้าวมากิน และหลังจากกินเค้กส้มไปแล้วเรนก็รู้ว่าเค้กส้มมันอิ่มสู้ข้าวไม่ได้ แต่รสชาติของข้าวกลางวันที่กินประจำจนเบื่อก็ไม่สามารถสู้รสชาติของเค้กส้มที่แปลกใหม่สำหรับเขาได้เหมือนกัน
เรนที่เกือบจะอดกินข้าวกลางวัน แต่พี่ชายของเรนที่เรียนอยู่ชั้นสูงกว่ารู้เรื่องเขา พี่ชายของเขาจึงแบ่งข้าวของตัวเองให้เรนกินครึ่งหนึ่ง แลกกับการเอาเงินที่เหลืออีก 15 บาทของเรนที่เหลือไปซื้อเค้กส้มมาเพิ่ม 3 ชิ้น
สุดท้ายวันนั้นเรนจึงนั่งกินข้าวจานเดียวกับที่ชายและกินเค้กส้มด้วยกัน
เรนและพี่ชายพวกเขาทำแบบนี้กันอยู่เกือบเดือนกินข้าวกันคนละครึ่งและกินขนมกันด้วย สุดท้ายเรนก็เบื่อเค้กส้มพวกนั้นไปเลย
“นายคือชื่อว่าเรนใช่ไหม” ตอนนั้นก็มีตำรวจที่เรนไม่เคยเห็นหน้าเดินเข้ามาหาเขา
“ผมเอง มีอะไรหรือเปล่า” เรนถามกลับด้วยความสงสัย
“ผู้กองบอกว่าอยากจะคุยกับนาย”
...
เรนมาพบกับผู้กองเชนที่ชั้นสาม
ตอนนี้ในห้องที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร ผู้กองเชนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งและเรนอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังมีตำรวจคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ด้วย ราวกับว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังจะกดดันเรน
“คุณจะสอบปากคำผมเหรอ” เรนถามผู้กองเชนอย่างใจเย็น
“พวกนายมีงานอะไรก็ไปทำไป” ผู้กองเชนไล่พวกตำรวจที่ล้อมหน้าล้อมหลังเรนอยู่ออกไป ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
พวกตำรวจพากันออกไปนั่งห่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำงานอะไร ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ใครบ้างจะมามีอารมณ์ทำงานกันอยู่ ทุกคนสนใจเรนมากกว่า
ท่าทีของพวกเขาทำให้เรนประหลาดใจ แต่ที่เขาสงสัยมากกว่านั้นคือการที่นอกจากคนพวกนี้แล้วยังมีผู้จัดการธนินท์อยู่ด้วย
ชายคนนี้กำลังยิ้มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ให้กับเรน
‘ดูเหมือนว่าเขาจะบอกเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกตำรวจสนใจกันขึ้นมาสิ’ เรนคิดในใจ ก่อนจะละสายตาจากธนินท์ไปที่ผู้กองเชนที่อยู่ตรงหน้า
“คุณต้องการรู้เรื่องอะไร” เรนถามไปตรง ๆ
“นายมาหาทหารที่นี่ทำไม” ผู้กองเชนเปิดประเด็นด้วยเรื่องทหารในทันที
“ผมจะไม่ปิดบังเรื่องนี้ ที่จริงแล้วผมก็ต้องการสอบถามข้อมูลจากพวกคุณเช่นกัน” เรนแสดงท่าทีของตัวเองออกไป เขาต้องการถามเรื่องขบวนทหารอพยพ ถ้าเป็นคนที่พอจะรู้เรื่องนี้บ้างก็ต้องเป็นหนึ่งในตำรวจพวกนี้สักคน
เขาพูดต่อว่า “ก่อนหน้านั้นตอนเกิดเรื่องผู้ติดเชื้อบ้า ๆ นี่ ผมบังเอิญได้ข้อมูลเรื่องขบวนอพยพของพวกทหารมา พวกเขาจัดขบวนอพยพขึ้นมาแบบลับ ๆ พาเฉพาะคนสำคัญ ๆ หนีไปเท่านั้นและจุดที่พวกเขาตั้งค่ายรอเพื่อให้ทีมที่ส่งออกไปช่วยอพยพคนพวกนั้นก็รออยู่ที่ถนน 404 จุดพักรถนั้น”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินที่เรนพูดก็พากันขมวดคิ้วในทันที ธนินท์ก็ประหลาดใจด้วย แม้เขาจะเดาได้ว่าเป็นขบวนอพยพ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นขบวนที่อพยพเฉพาะคนที่สำคัญเท่านั้น ซึ่งธนินท์ก็คิดว่าทำไมตัวเองไม่อยู่ในรายชื่อพวกนั้น
“รัฐบาลคงรู้ว่าจะเกิดเรื่องการระบาดนี้ก่อนพวกเราแล้ว แต่พวกนั้นไม่ยอมประกาศออกมา” เมฆที่เป็นคนใจร้อนอยู่แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยความโมโห
“ขบวนอพยพนั้นน่าจะไปที่ค่ายลี้ภัย สถานที่มีทหารคุ้มกันอยู่หนาแน่น มันน่าจะปลอดภัย” เด็กใหม่ลีพูดด้วยความตื่นเต้น
คนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน
“ผู้กองหรือเราควรไปที่นั่นดู” จ่าวัฒน์พูดขึ้นมา
“พวกนายรู้เหรอว่าค่ายนั่นอยู่ที่ไหน” ดาบอินพูดขึ้น ทำให้ทุกคนเหมือนโดนน้ำเย็น ๆ ลาดหัว ทุกคนในที่นี้นึกขึ้นได้
ค่ายลี้ภัยนั้นอยู่ที่ไหน?
สายตาทั้งหมดตั้งคำถามกับเรนในทันที
“ถ้าผมรู้คงไม่มาอยู่ที่นี่ แต่ว่ามันน่าจะมีคนทั่วไปที่เห็นทหารพวกนั้นบ้าง ถ้าคนที่เห็นยังไม่ตายละนะ” เรนพูดขึ้นมา
ผู้กองเชนและตำรวจนายอื่น ๆ เงียบไปในทันที
ตอนนั้นเองดาบอินก็พูดขึ้นมาว่า “อาจจะมีอยู่คนหนึ่ง เด็กจากร้านสะดวกซื้อ ตอนที่เกิดเรื่องเมื่อวานเขามาส่งของกินที่สั่งจากร้านให้กับผมแล้วเขาก็ติดอยู่ที่นี่พอดี จึงรอดตายมาได้ ถ้าจะมีใครเห็นอะไรก็ต้องเป็นเด็กส่งของจากร้านสะดวกซื้อคนนี้”
“เต้ นายไปเรียกเขามา” ผู้กองเชนสั่งให้ตำรวจที่ชื่อเต้ไปเรียกเด็กส่งของที่ร้านสะดวกซื้อมาในทันที
เรนมองไปที่ตำรวจที่ชื่อเต้ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เรียกเขามาที่นี่
หลังจากนั้นไม่นานตำรวจนายนั้นก็พาเด็กหนุ่มอายุ 18-19 มาคนหนึ่ง
“นายเห็นขบวนทหารที่จุดพักรถเมื่อวานนี้บ้างไหม” ผู้กองเชนถามไปตรง ๆ ในทันที
“ทหารเหรอ...ไม่มีนะ แต่ว่า..” เด็กคนนั้นคิดอยู่นาน ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่ว่าเมื่อมีแค่พวกรถทหารคันหนึ่ง พวกเขาแวะมาที่นี่บ่อย ๆ ในช่วงสองวันก่อนหน้านี้ และมักจะจอดรอรถทหารคันอื่นเพื่อกลับไปพร้อมกัน จริงด้วยพวกเขาซื้อยากันแมลงกับบุหรี่จำนวนมาก”
เรนและทุกคนในที่นี้ขมวดคิ้วในทันที
ไม่มีขบวนทหารมาจอดที่จุดพักรถ แต่เรนเชื่อว่าสิ่งที่เขาได้รับมานั่นต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน เพราะในกล่องนั้นมีแหวนพลัง ซึ่งมันสำคัญมาก
“นายออกไปได้แล้ว” ผู้กองเชนให้เด็กหนุ่มคนนั้นออกไป
เด็กหนุ่มออกไปด้วยท่าทางสงสัยเป็นอย่างมาก
กลับมาที่การสนทนาของเรนและผู้กองเชน
ผู้กองเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนผมจะรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีจุดพักรถที่นายได้ข่าวมา อาจจะเป็นแค่จุดนัดหมาย ก่อนที่พวกเขาจะไปรวมกันที่ค่ายทหารที่มันเป็นความลับและบังเอิญฉันก็รู้ว่าค่ายนั่นอยู่ที่ไหน”
พอได้รู้ว่าอาจจะหาเบาะแสของค่ายอพยพจากค่ายทหาร เรนก็ยินดี แต่เขาก็พอจะรู้ว่า ผู้กองเชนคงไม่ให้เบาะแสเขาง่าย ๆ
“ทำยังไงคุณถึงจะบอกเรื่องค่ายทหารนั่น” เรนถามชายตรงหน้าอย่างไม่อ้อมค้อม
“มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบจริงจัง ฉันจะบอกที่ตั้งของค่ายทหารนั้น ส่วนนายบอกเรื่อง พลังวิเศษ ที่ใช้” ผู้กองเชนยื่นข้อเสนอ
เรนคิดไว้อยู่แล้วว่าธนินท์ มันต้องบอกเรื่องของรูนิกที่เห็น
“ก็ได้ผมตกลง แต่ว่าให้เขาออกไป” เรนพูดจบก็เหลือบไปมองธนินท์
“ทำไมฉันต้องฟังแก ไอ้เด็กเวร” ธนินท์ไม่พอใจ เพราะเรื่องของพลังวิเศษเขาเคยเห็นเรนใช้และอยากรู้เรื่องของพลังนี่มาก แต่เรนไม่เคยอธิบายให้ฟัง
“นายออกไปก่อน” ผู้กองเชนหันไปพูดกับธนินท์
“แต่เราตกลงกันแล้ว” ธนินท์พยายามโต้แย้ง
“ฉันรู้” ผู้กองเชนพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาของเขายังยืนยันคำเดิม ว่าให้ออกไป
“หึ” ธนินท์พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ และเดินออกไปจากห้อง
เรนมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ
เขารู้ว่าหลังจากพวกตำรวจพูดคุยกับเขาแล้วก็อาจจะบอกเรื่องนี้กับธนินท์ทีหลังก็ได้ แต่เรนไม่สนใจ เขาก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าผู้จัดการคนนี้ก็เท่านั้น จึงหาเรื่องไล่ออกไปให้พ้นสายตาเท่านั้น