ตอนที่ 17-37 ความสงบและความป่าเถื่อน
หุบเขาอ่างโลหิต
เอ็มมานูเอลและฟอร์ลันอยู่ด้วยกัน
“ข้ารู้สึกไม่ดีเลย...” ฟอร์ลันพูดพลางขมวดคิ้ว
“ท่านพ่อ, มีอะไรหรือ?” เอ็มมานูเอลรีบกล่าว
ฟอร์ลันพูด “ดูอาการที่ประมุขเผ่าให้ความสนใจทูตมหาเทพนั้นแล้ว มีทางเป็นไปได้ว่าเขาต้องการจะดึงทูตมหาเทพเข้ามาสนิทกับเรา ที่สำคัญคือตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราตกอยู่ในสภาพวิกฤติ ถ้าเป็นแบบนั้น...เป็นไปได้ว่าลินลี่ย์คงจะไม่ถูกลงโทษ”
“จะไม่ถูกลงโทษ?” เอ็มมานูเอลลนลาน
เขาต้องการจัดการกับลินลี่ย์มาตลอดเวลา ตอนนี้เขาต้องการจะขโมยไก่แต่กลับเสียเหยื่อล่อไปหมด แม้แต่ร่างแยกธาตุน้ำที่ทรงพลังที่สุดของเขาก็ถูกทำลาย ความโกรธแค้นทั้งหมดนี้ย่อมถูกระบายไปลงที่ลินลี่ย์เป็นธรรมดา
เขาไม่แข็งแกร่งพอจะจัดการกับลินลี่ย์ ดังนั้นเขาต้องมองหาวิธีอื่น
“ลินลี่ย์ไม่ถูกลงโทษได้ยังไง?” เอ็มมานูเอลรีบกล่าว “ประธานผู้อาวุโสก็เห็นด้วยแล้ว”
“หุบปากเจ้าซะ” ฟอร์ลันตวาดด้วยความโกรธ
เอ็มมานูเอลไม่กล้าส่งเสียงทันที ฟอร์ลันสูดหายใจลึก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งห้องอยู่ในความเงียบ ในที่สุดฟอร์ลันพูดด้วยเสียงเบา “เท่าที่ข้าเห็น ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทางเผ่าเราจะลงโทษลินลี่ย์ มันคงต้องขึ้นอยู่กับเรา”
“เราจะใช้วิธีใด?” เอ็มมานูเอลรีบกล่าว
“มีอยู่หลายวิธี” ฟอร์ลันอดหรี่ตาไม่ได้ และเขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ครั้งนี้คนที่จะช่วยลินลี่ย์ ข้าไม่เชื่อว่าในอนาคตเขาจะโชคดีได้รับการช่วยเหลืออีกครั้ง”
“ท่านพ่อ, ท่านกำลังบอกว่า...” เอ็มมานูเอลหัวเราะ
“ข้ารู้จักผู้อาวุโสของเผ่าทุกคน ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเตรียมแผนให้เขาติดกับดัก ยังจะมีโอกาสอยู่มาก!” ฟอร์ลันพูดอย่างมั่นใจ “ระหว่างต่อสู้ ถ้าใช้อุบายสักเล็กน้อย..ฮึ่ม! เมื่อยอดฝีมือสู้กันเอง แม้แต่ความวุ่นวายเล็กน้อยก็เพียงพอเอาชีวิตเขาได้!”
“โดยเฉพาะอยางยิ่ง ถ้าฝ่ายเราสูญเสียอสูรหกดาวในสู้รบทั้งหมดและไม่มีประจักษ์พยานเหลืออยู่ เราสามารถฆ่าเขาโดยตรงได้” ฟอร์ลันหัวเราะอย่างเย็นชา “ต่อให้เขาร้องเรียนว่าไม่ยุติธรรม ใครจะเชื่อเขา?”
หน้าของเอ็มมานูเอลมีรอยยิ้มทันที
“เจ้าผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างเขาจะคู่ควรกับแหวนมังกรฟ้าของบรรพบุรุษของเราได้ยังไง?” ฟอร์ลันแค่นเสียง “ด้วยแหวนมังกรฟ้า เขาก็ยังเป็นอสูรเจ็ดดาวธรรมดา ถ้าข้าได้ถือแหวนมังกรฟ้า... ข้าจะต้องมีประโยชน์ต่อตระกูลมากกว่าที่เขามี!”
ความจริง ถ้าฟอร์ลันบินออกไปกับลินลี่ย์ ลินลี่ย์คงไม่สงสัยว่าฟอร์ลันจะโจมตีทำร้ายเขาทันที เมื่อบินไปตามปกติ ลินลี่ย์จะอยู่ในร่างของมนุษย์... เมื่อฟอร์ลันโจมตีจริงๆ ผลที่ปรากฏพอจะคาดคิดได้ง่าย
ลินลี่ย์อาจร้องหาความเป็นธรรม แต่ไม่มีประจักษ์พยานใดๆ แล้วจะเขาจะทำอะไรได้?
ฟอร์ลันยังคงอ้างได้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายศัตรู ไม่มีอะไรที่ลินลี่ย์จะทำได้แม้แต่น้อย
“ฟอร์ลัน เอ็มมานูเอล” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านแม่มาแล้ว” ฟอร์ลันและเอ็มมานูเอลลุกขึ้นยืนด้วยความนอบน้อมทันที
“แอ๊ดดด” ประตูโถงใหญ่เปิดออก ประธานผู้อาวุโสซ่อนใบหน้าอยู่ในหน้ากากเงินเดินตรงเข้ามาหา นางมองดูทั้งสองอย่างสงบ “ฟอร์ลัน, เอ็มมานูเอล เรื่องลงโทษลินลี่ย์ขอให้จบลงตรงนี้และเดี๋ยวนี้”
เอ็มมานูเอลรู้สึกตกใจ “เป็นอย่างที่ท่านพ่อทำนายไว้จริงๆ อย่างไรก็ตาม...แม้ว่ายังเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ แต่ในอนาคต เรายังจะมีโอกาส”
การปฏิบัติภารกิจต้องเดินอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย
ถ้าคู่หูคนหนึ่งแอบสร้างความลำบาก โอกาสรอดนับว่าต่ำมาก
“จากวันนี้เป็นต้นไป ลินลี่ย์จะออกจากหุบเขาอ่างโลหิต เขาจะไม่รับมอบหมายภารกิจใดๆ จากหุบเขาอ่างโลหิตอีกต่อไป” ประธานผู้อาวุโสพูดอย่างใจเย็น
ฟอร์ลันและเอ็มมานูเอลตกตะลึง
พวกเขาตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก!
“ท่านแม่, เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?” ฟอร์ลันรีบกล่าว “กฎของเผ่าเรามีไว้ว่าแต่ละคนจะพ้นวาระหลังจากพันปีผ่านไป ลินลี่ย์อยู่ในหุบเขาอ่างโลหิตไม่นานเท่าใดเลย ยังห่างกำหนดเวลาพันปีอีกมาก”
“ใช่แล้ว กฎของเผ่าไม่สามารถฝ่าฝืนได้” เอ็มมานูเอลรีบพูดอย่างแตกตื่น
ถ้าลินลี่ย์ไม่รับมอบหมายงานในหุบเขาอ่างโลหิต และรั้งอยู่ในเทือกเขาสกายไรท์แทน ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำให้ลินลี่ย์ตาย..ที่สำคัญคือการต่อสู้ส่วนตัวไม่ได้รับอนุญาตให้มีขึ้นในเทือกเขาสกายไรท์
“นี่เป็นการตัดสินของประมุขสี่ตระกูลอสูรศักดิ์สิทธิ์!” ประธานผู้อาวุโสพูดเย็นชา
ฟอร์ลันและเอ็มมานูเอล พอได้ยินเช่นนี้ได้แต่ตะลึง ประมุขเผ่าเป็นผู้นำของเผ่าเขา คำสั่งร่วมของประมุขเผ่าทั้งสี่ไม่อาจเปลี่ยนได้เด็ดขาด!
จากวันนี้เป็นต้นไป ลินลี่ย์ไม่มีความจำเป็นต้องมาหุบเขาอ่างโลหิตอีกต่อไป เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เดเลียและบีบีเมื่อได้ยินข่าวนี้ต่างก็มีความสุขและดีใจกันมาก และชีวิตที่สงบสุขของพวกเขาดำเนินต่อไปเช่นนั้น
ในสายตาของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ ลินลี่ย์คือความหวังของพวกเขาในการเชื่อมโยงกับมหาเทพเรดบุด!
แต่สิ่งที่ลินลี่ย์ไม่รู้ก็คือ...สำหรับแปดตระกูลใหญ่ เขาคือภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
เทือกเขาสกายไรท์ ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง
มีสนามหญ้าหน้าที่พักของลินลี่ย์ตั้งโต๊ะหินอยู่ในกลางลาน โต๊ะหินวางไว้ด้วยขวดเหล้าขวดหนึ่ง ตอนนี้ลินลี่ย์กำลังถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ร่างแยกสี่ร่างของลินลี่ย์กำลังฝึกฝนอยู่ทั้งหมด ขณะที่ร่างหลักของเขากำลังดื่มด่ำกับชีวิตที่สงบสุข
เดเลียเดินออกมาจากห้องพร้อมถือจานอาหารมาด้วยสองจาน เมื่อเห็นลินลี่ย์กำลังอ่านหนังสือ นางอดขำไม่ได้ นางเดินเข้ามาหาแล้วค่อยๆ วางจานอาหารบนโต๊ะหิน
“เอ๊ะ?”
ลินลี่ย์ได้กลิ่นหอมทันที และหันไปมองจานอาหาร ตาของเขาเป็นประกาย “เดเลีย, ฮะฮะ ได้กลิ่นแล้วดูน่าอร่อยทีเดียว ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีขึ้นมากจริงๆ” ขณะที่พูดเขาพลิกปิดหนังสือ
เขาลองเข้ามาชิมทันทีพลางชมไม่ขาดปาก “ไม่เลว ไม่เลว รสชาติเทียบได้กับร้านอาหารในเมือง”
“ยังห่างอีกมาก” เดเลียหัวเราะ หน้าของนางแดง “นี่เป็นพื้นฐานจากตำราอาหารที่ข้าซื้อมาจากในเมืองเมื่อคราวเดินทางครั้งก่อน ส่วนผสมอาหารเหล่านี้ ข้าขอให้คนที่เดินทางเข้าเมืองซื้อมาให้ข้า”
เดเลียนั่งลงตรงข้ามเขาท้าวคางมองดูลินลี่ย์กิน
ขณะที่ลินลี่ย์กิน เขาเริ่มหัวเราะทันที
“ทำไมเจ้าต้องหัวเราะเหมือนกับคนทึ่มด้วยเล่า?” เดเลียอดยิ้มไม่ได้เช่นกัน
“ข้าเพิ่งคิดได้!” ลินลี่ย์ถอนหายใจ “การฝึกในกฎธาตุธรรมชาติ การเดินทางในแดนนรกกว้างไกลไม่สิ้นสุด..แล้วเมื่อว่าง ได้อ่านหนังสือบ้าง ดื่มเหล้าดีๆ บ้าง แล้วกินอาหารอร่อยฝีมือภรรยาข้า ชีวิตแบบนี้..ฮะฮะ สมบูรณ์พูนสุข!” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เดเลียหัวเราะเช่นกัน
“ลินลี่ย์ ถ้าเจ้าต้องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายเช่นนั้นเสมอ ก็ทำได้ เจ้าก็รู้” เดเลียกล่าว “ตราบเท่าที่ในอนาคต เจ้าไม่ไปหุบเขาอ่างโลหิต แค่นั้นก็คงพอ ข้ายังรู้สึกว่าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ใส่ใจหน้าตาชื่อเสียงพวกเขามากเกินไป ถ้าเป็นข้า ข้าจะสั่งให้ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ขังตัวเองอยู่ในเทือกเขา ให้สมาชิกของตระกูลใช้ชีวิตเงียบๆ ทำไมต้องไปสู้กับแปดตระกูลใหญ่ด้วย?”
ลินลี่ย์วางตะเกียบลง
“พอเถอะเดเลีย” ลินลี่ย์หัวเราะ “โดยเฉพาะ ชีวิตของคนที่มีอายุขัยไม่จำกัด ทั้งหมดก็เพื่อหน้าตาชื่อเสียงทั้งนั้น ความรุ่งเรืองของเผ่าตระกูลมีคุณค่ามาก เว้นแต่เป็นเรื่องจำเป็น ทางเผ่าตระกูลคงไม่เลือกถอนกำลังเข้ามาในภูเขาจนกลายเป็นเต่าหดหัวอย่างนี้แน่”
เดเลียหัวเราะ “มันไม่สำคัญสำหรับข้า ตราบเท่าที่เจ้าไม่ไปหุบเขาอ่างโลหิต” ในใจของเดเลีย นางไม่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของร่วมของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดที่นางใส่ใจก็คือความปลอดภัยของลินลี่ย์
“หึหึ...” ลินลี่ย์หัวเราะ
“มาเถอะ มากินด้วยกัน ของโปรดจานนี้ทำได้ดีเยี่ยมจริงๆ” ลินลี่ย์หัวเราะขณะพูด
ในพริบตาการใช้ชีวิตเช่นนี้ผ่านไปร้อยปี เดเลียพอมีลินลี่ย์อยู่ข้างตัวนางตลอดก็ไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย ทุกวันใบหน้านางจะมีแต่รอยยิ้ม และนางจะเรียนรู้วิธีปรุงอาหารโอชะตำรับแล้วตำรับเล่าเพื่อให้ลินลี่ย์พอใจ ขณะที่เขาสามารถลิ้มรสอาหารอร่อยได้บ่อยมากขึ้น
สำหรับบีบี....
เขาอยู่กับลินลี่ย์เป็นครั้งคราว หรือไม่ก็เล่นสนุกกับสมาชิกของสาขายูลาน แต่เมื่อเบื่อบีบีจะร่วมกับกองคาราวานของเผ่าออกไปเที่ยวในเมือง
หุบเขาอ่างโลหิต ตำหนักใหญ่ของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ ประมุขสี่ตระกูลประชุมรวมกันที่นี่
“ผ่านไปเพียงร้อยปี!” หน้าของกัซลีสันหมอง
“ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าแปดตระกูลใหญ่จะบ้าไปเสียแล้ว! พวกเขาไม่สนใจเรื่องการสูญเสียบาดเจ็บล้มตาย ไม่คำนึงถึงความสิ้นเปลืองพลังมหาเทพ พวกเขายังคงฆ่าคนของเราต่อไป!” ประมุขเผ่าพยัคฆ์ขาวพูดอย่างไม่พอใจ
“ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา เผ่าหงส์เพลิงของเราสูญเสียผู้อาวุโสไปสามคน พวกท่านเล่า?” เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิงกล่าวสีหน้านางสลดอยู่นาน
“เผ่าพยัคฆ์ขาวของเราเสียผู้อาวุโสไปสี่คน!” คำพูดของประมุขเผ่าพยัคฆ์ขาวแฝงไปด้วยความแค้น “พี่สาม เผ่าพญาเต่าดำของท่านเล่า?”
ประมุขเผ่าพญาเต่าดำถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “เผ่าพญาเต่าดำของเราก็สูญเสียเหมือนกัน เราสูญเสียผู้อาวุโสไปสองคน นี่แค่เพียงร้อยปี!”
“พี่ใหญ่เล่า” เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิงมองดูกัซลีสัน
“เผ่ามังกรฟ้าเราสูญเสียผู้อาวุโสไปสามคน” กัซลีสันถอนหายใจ “ตามการคำนวณของข้า ในช่วงเวลาสั้นๆ ร้อยปี ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราสูญเสียผู้อาวุโสรวมกันแล้วถึงสิบสองคน!”
เกี่ยวกับสงครามทอนกำลังของพวกเขา การสูญเสียผู้อาวุโสสิบสองคนควรจะเกิดขึ้นในรอบพันปี
แต่ตอนนี้ พวกเขาสูญเสียถึงระดับนั้นในรอบเพียงร้อยปี
“แปดตระกูลใหญ่บ้าไปแล้ว” เจ้าแม่เผ่าหงส์เพลิงพูดด้วยความโมโห “ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แต่ละครั้งพวกเขาจะส่งอสูรเจ็ดดาวมาสามหรือสี่คน และแต่ละครั้งพวกเขาจะครองพลังมหาเทพมาด้วย! พวกเขาไม่เสียดายการใช้พลังมหาเทพแม้แต่น้อย ถ้าพวกเขาสามารถฆ่าคนของเราได้ทั้งหมด”
“พวกเขาสูญเสียไม่น้อยกับความบ้าคลั่งของพวกเขาเช่นกัน” กัซลีสันกล่าว “เผ่ามังกรฟ้าอย่างเดียวก็สูญเสียผู้อาวุโสไปสี่คนแล้ว”
“เผ่าหงส์เพลิงถูกฆ่าไปสามคน”
ประมุขตระกูลทั้งสี่รายงานผลความสูญเสียของพวกเขา
“ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ความสูญเสียของแปดตระกูลใหญ่ยังมากยิ่งกว่าของเรา พวกเขาสูญเสียผู้อาวุโสไปสิบห้าคน” กัซลีสันกล่าว
“แต่แปดตระกูลใหญ่ได้เปรียบที่จำนวนคน” ประมุขเผ่าพญาเต่าดำพูดเบาๆ “ตั้งแต่บรรพบุรุษทั้งสี่ของเราตายไป ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็พบกับความสูญเสียอสูรเจ็ดดาวไปรวมก็เกือบร้อยยี่สิบคน ทั่วทั้งตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเรามีอสูรเจ็ดดาวที่รอดอยู่รวมกันราวๆ ร้อยคน แต่ศัตรูเล่า? พวกเขามีอสูรเจ็ดดาวรวมกันมากกว่าสามร้อยคน!”
ไม่ว่าเป็นตระกูลไหนในแปดตระกูลก็เทียบได้กับยอดฝีมือของเผ่ามังกรฟ้าแล้ว
เร็วๆ นี้เผ่ามังกรฟ้ายังมีอสูรเจ็ดดาวมากกว่าหกสิบคน
แปดตระกูลใหญ่เดิมทีมีอสูรเจ็ดดาวเกือบห้าร้อยคนเช่นกัน หลังจากทำสงครามกันมาหลายปี พวกเขาฆ่าอสูรเจ็ดดาวของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ไปร่วมร้อยยี่สิบคน ขณะที่พวกเขาเองก็สูญเสียไปมากกว่าร้อยคน
แต่แม้ว่าจะรวมกำลังกันของแปดตระกูลใหญ่ก็ยังมีจำนวนอสูรเจ็ดดาวมากกว่าสามร้อยคน?
ถ้าการบั่นทอนกำลังยังเป็นไปแบบนี้...
ต่อให้ยอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตายไป ศัตรูอาจยังจะเหลือผู้อาวุโสสองร้อยหรือมากกว่า นอกจากนี้ ศัตรูยังมีสุดยอดฝีมือ ประมุขตระกูลของแปดตระกูลใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงทุกคน!
“บ้าไปแล้ว บ้าไปใหญ่แล้ว! พวกเขาไม่สนใจจะทุ่มเทใช้พลังมหาเทพและยอมให้อสูรเจ็ดดาวตาย พวกเขาบ้ากันไปแล้ว!” ประมุขเผ่าพญาเต่าดำพูดด้วยความไม่สบายใจ
“เกิดอะไรขึ้น? ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยป่าเถื่อนขนาดนี้ ทำไมพวกเขาถึงได้คลั่งในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา?” กัซลีสันไม่สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน
แต่ประมุขของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์จะคาดคิดได้ยังไงกันว่า.. เหตุผลที่ตระกูลใหญ่ทั้งแปดนี้เลือดขึ้นหน้าและส่งผู้อาวุโสสามหรือสี่คนร่วมกำลังกันไปแต่ละครั้ง ความหวังแรกสุดของพวกเขาก็คือ เมื่อพวกเขาพบเจอลินลี่ย์ พวกเขาจะสามารถฆ่าเขาได้
และเหตุผลที่สองก็คือ พวกเขาต้องการเร่งรัดเวลา! พวกเขาไม่กล้าเสียเวลาอีกต่อไป เพราะกลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไป ลินลี่ย์อาจบรรลุจนกลายเป็นเทพชั้นสูงระดับพารากอนซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขากลัวมากที่สุด
แม้ว่าตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์และแปดตระกูลใหญ่จะอยู่ในสภาพป่าเถื่อน แต่เทือกเขาสกายไรท์ยังคงเงียบสงบมาก ลินลี่ย์อยู่ที่นี่ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ขณะที่ร่างแยกทั้งสี่ของเขามีความก้าวหน้าต่อเนื่อง
หลังจากออกมาจากหน่วยหุบเขาอ่างโลหิต เวลาผ่านไปสองร้อยปีแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านไปสองร้อยปี ลินลี่ย์มีความก้าวหน้ามากที่สุดในร่างแยกธาตุน้ำของเขา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล ความเร็วในการรู้แจ้งเคล็ดความรู้ลึกลับเร็วจนน่าประหลาด อยู่ในระดับที่เร็วมากกว่าร่างแยกธาตุดินและร่างแยกธาตุลมของเขา
และเป็นธรรมดาที่จะไวกว่าร่างแยกธาตุไฟของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
ตอนนี้ร่างแยกธาตุน้ำของเขาเข้าถึงระดับเทพแท้มานานแล้ว และมีความเชี่ยวชาญในเคล็ดความรู้ลึกลับสามเคล็ดแล้ว และตอนนี้กำลังเรียนรู้เคล็ดที่สี่..แต่ความจริง ถ้ามีใครพิจารณาดีๆ ก็จะเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาด ที่สำคัญหลังจากผ่านพิธีชุบตัวของบรรพบุรุษแล้ว ลินลี่ย์ย่อมเข้าใจเคล็ดความรู้ลึกลับได้อย่างหนึ่งเป็นธรรมดา
ร่างแยกธาตุลมของเขาเชี่ยวชาญในเคล็ดความรู้ลึกลับที่หกแล้ว แต่เนื่องจากกฎธรรมชาติธาตุลมมีเคล็ดความรู้เก้าอย่าง จึงยากที่จะก้าวหน้าได้
ขณะที่ร่างแยกธาตุไฟของเขา ก็ยังฝึกเคล็คความรู้ลึกลับที่สาม และก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ
“ลินลี่ย์ ชีวิตของเจ้าช่างสะดวกสบายนักนะ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ลินลี่ย์ เดเลียและบีบีนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะหินกำลังกินไปสนทนาไป
ลินลี่ย์หันไปมอง คนที่กำลังเดินเข้ามาก็คือการ์วีย์
“การ์วีย์ดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่บนใบหน้าของเขา เขากังวลเกี่ยวกับบางเรื่อง” ลินลี่ย์สามารถบอกเรื่องนี้ได้จากการชำเลืองมองดู สำหรับยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสการ์วีย์ง่ายที่จะเผยความคิดของเขาเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นแน่นอน
“ผู้อาวุโสการ์วีย์” บีบีเป็นคนแรกที่ต้อนรับเขาด้วยความดีใจ “รีบๆ มาเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ใหญ่ข้าลงมือปรุงอาหาร รสชาติมันอร่อยมาก จนท่านอาจตายได้!”
“บีบี” ลินลี่ย์อดรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเขาทำอาหารตามที่อธิบายไว้ในหนังสือ แต่ความแตกต่างจากระหว่างฝีมือปรุงของเขากับเดเลียยังห่างไกลกันมาก อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่แย่จนถึงกับทำให้ใครตายได้
**********
แรงบันดาลใจของคนแปลมาจากคนอ่านได้ลุ้น ได้สนุก
ถ้าสปอยล์กันจนหมดสนุก ตนแปลก็ไม่รูจะเอาแรงบันดาลใจที่ไหนมาแปลต่อ
ขอความร่วมมือด้วยนะครับ