บทที่ 9 หากเจ้าเป็นอัจฉริยะก็มาเผชิญหน้ากับข้าสิ
เนื่องจากฐานการบ่มเพาะที่ถูกปิดผนึก ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาหลี่หรานจึงไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ
แต่ตอนนี้มันกลับมาเป็นปกติแล้ว และเส้นประสาทที่ตึงเครียดของเขาก็สามารถผ่อนคลายได้อีกครั้ง
เขาสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม
“ท่านเซิงจื่อ ถึงเวลาตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นในหูของเขา หลี่หรานเปิดเปลือกตาของเขาเล็กน้อยและเห็นสตรีรูปงามยืนอยู่ข้างเตียงกำลังถือเสื้อผ้าของเขาไว้ในมือ
“ท่านเซิงจื่อ ได้เวลาทานอาหารเช้าแล้วเจ้าค่ะ” สตรีรูปงามพูดเสียงเบา
นางชื่ออาฉิน เดิมทีเป็นบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์อย่างตระกูลเซิน แต่นางกลับทำให้ตระกูลหลี่ขุ่นเคืองและจบลงด้วยการที่ทั้งตระกูลของนางถูกรวมเข้ากับตระกูลหลี่ นางเองก็กลายมาเป็นสาวใช้ของหลี่หรานในภายหลัง
แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชะตากรรมอันน่าเศร้า
หลังจากที่นางมาถึงวิหารโหยวหลัว หลี่หรานก็นำนางมาเป็นข้ารับใช้ส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเขาชอบนาง ตรงกันข้าม อาฉินต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในกำมือของเขา การถูกดุด่าและถูกทุบตีเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของนาง ถ้าไม่ใช่เพราะกฎของนิกายที่ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษและสตรี นางคงกลายเป็นเตาหลอมมนุษย์ของเขาไปแล้ว
สำหรับเหตุผลที่หลี่หรานตัดสินใจรับนางเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางเชื่อฟังราวกับสุนัข
“อาฉินผิดไปแล้ว ได้โปรดลงโทษข้า ท่านเซิงจื่อ!”
เมื่อหลี่หรานจ้องไปที่นาง อาฉินก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนกและทรุดตัวลงคุกเข่าทันที
เมื่อเห็นรอยฟกช้ำที่ร่างกายของนาง หลี่หรานก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ‘สตรีนางนี้งดงามจริงๆ เจ้าของร่างคนเก่าทำเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?’
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า” หลี่หรานกล่าว
อาฉินยิ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทันใดนั้นนางก็กระแทกศีรษะลงกับพื้น
“อาฉินผิดไปแล้ว ได้โปรดลงโทษอาฉินด้วย!” นางหมอบตัวลงกับพื้น ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าความกลัวของนางเข้าขั้นเลวร้าย
หลี่หรานถอนหายใจ ความบอบช้ำทางจิตใจเช่นนี้ซึ่งได้รับมาเป็นเวลาหลายปีไม่สามารถรักษาให้หายได้ในชั่วข้ามคืน การที่บรรยากาศของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันยิ่งทำให้นางระแวงมากยิ่งขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือการรักษาสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย
“ลุกขึ้นมาช่วยข้าแต่งตัวได้แล้ว” เขาพูดเบาๆ
“เจ้าค่ะ” อาฉินยืนขึ้นและช่วยหลี่หรานอย่างชำนิชำนาญ
เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ที่มีขอบฉลุสีเงินอยู่ด้านใน พร้อมกับหยกใสชิ้นหนึ่งห้อยอยู่บนเข็มขัดสีขาวบริสุทธิ์ เขาดูหล่อเหลาและสูงส่งราวกับเชื้อพระวงศ์ที่เต็มไปด้วยความน่าหลงใหล
อาฉินมองเขาอย่างไม่วางตา
“ข้าดูดีหรือไม่?” หลี่หรานถาม
อาฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านเซิงจื่อดูดีที่สุด!”
หลี่หรานอดไม่ได้ที่จะหยิกใบหน้าเล็กๆของนาง “เจ้าตาถึงมาก สาวน้อย”
หลังจากพูดกับนาง เขาก็ลุกขึ้นและจากไป
เมื่อเขาจากไปห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบ อาฉินยกมือขึ้นมาปิดแก้มและอ้าปากเล็กๆของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
นางยืนตัวแข็งอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นเป็นเวลานาน
......
หลังอาหารเช้า หลี่หรานก็เดินไปรอบๆพร้อมกับมือที่ไพล่หลังไว้
ด้วยเทคนิคการบ่มเพาะพิชิตสวรรค์ของเขา เขาสามารถบ่มเพาะได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำสิ่งใด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องมุ่งเน้นไปที่การทำสมาธิอีกต่อไป
ซึ่งสิ่งนั้นหมายถึงเขาไม่มีอะไรทำในตอนนี้!
“สวัสดี ท่านเซิงจื่อ”
“สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านเซิงจื่อ!”
บรรดาศิษย์ที่เขาพบระหว่างทางต่างทักทายเขาด้วยความเคารพ แม้ว่าหลี่หรานจะแสดงออกอย่างเย็นชาและไม่แยแสตลอดเวลา
“เซิงจื่อ!” ในขณะนั้นเอง เสียงร้องเรียกเบาๆก็ดังขึ้นด้านหลังเขา
หลี่หรานหันศีรษะไปและเห็นสตรีรูปงามนางหนึ่งยืนอยู่ ดวงตาของนางหรี่ลงเป็นจันทร์เสี้ยวขณะที่นางยิ้มให้เขา
“ศิษย์น้อง?” หลี่หรานเลิกคิ้วขึ้น
ถ้ามีคนต้องถูกตำหนิเรื่องความเข้าใจผิดระหว่างเขากับผู้นำนิกายเมื่อวันก่อน คนๆนั้นก็ควรจะเป็นนาง
ลู่ซินหรานยิ้มอย่างมีความสุข “สวัสดีตอนเช้า เซิงจื่อ ข้าไม่ได้เจอท่านเพียงวันเดียวแต่ดูเหมือนว่าท่านจะหล่อขึ้นอีกแล้ว”
‘ข้าต้องให้เจ้ามาเตือนเรื่องนั้นหรือไม่?’
หลี่หรานพูดอย่างเย็นชา “อรุณสวัสดิ์ ทำไมเจ้าถึงมายืนอยู่ที่นี่แทนที่จะไปบ่มเพาะ?”
เห็นได้ชัดว่าลู่ซินหรานคุ้นเคยกับทัศนคติของเขาดี นางยิ้มและตอบว่า “เซิงจื่อ ข้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการบ่มเพาะของข้า ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นปลายของขอบเขตหลอมรวมลมปราณแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสซุนก็เรียกข้าว่าอัจฉริยะตัวน้อย!”
น้ำเสียงของนางค่อนข้างภาคภูมิใจ คล้ายกับเด็กที่กำลังรอคำชม
‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?’
ก่อนที่หลี่หรานจะพูดคำเหล่านั้น เสียงของระบบก็ดังขึ้นในหัวของเขา
【ภารกิจใหม่】
【ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาการบ่มเพาะของศิษย์น้องเพื่อช่วยให้นางก้าวหน้าขึ้น】
【คุณภาพของรางวัลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจ!】
หัวใจของหลี่หรานเต้นเร็วขึ้น เขาได้ลิ้มรสความหอมหวานของรางวัลตั้งแต่เมื่อวานนี้ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยสิ่งนี้ไป
‘มันเป็นเรื่องง่ายที่จะให้คำแนะนำ แต่การทำให้ใครสักคนก้าวหน้าในการบ่มเพาะนั้นเป็นเรื่องที่ต่างออกไป สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ด้วยการพูดเพียงไม่กี่คำ’
‘ยิ่งไปกว่านั้น การช่วยเหลือผู้อื่นมันไม่เข้ากับบุคลิกของข้าแม้แต่น้อย’
‘ดูเหมือนว่าข้าต้องคิดหาวิธีอื่น...’
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็นึกถึงความคิดดีๆ
.....
“เซิงจื่อ?” ลู่ซินหรานยังคงรอคำชมของเขาอยู่
“อัจฉริยะ? โอ้ อย่างเจ้าหรือที่เรียกว่าอัจฉริยะ?” หลี่หรานเยาะเย้ย
ลู่ซินหรานหน้ามุ่ยและไม่พอใจกับคำพูดของเขา “ผู้อาวุโสซุนเป็นคนพูดมันด้วยตัวเอง เขาบอกว่าข้ามีพรสวรรค์และเทคนิคการบ่มเพาะของนิกายก็เหมาะกับข้ามาก และเขายังบอกอีกว่าความสำเร็จในอนาคตของข้าจะยิ่งใหญ่มาก!”
“พรสวรรค์... ฮี่ฮี่” หลี่หรานส่ายหัวและพูดว่า “ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้วใช่ไหม? ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าข้าได้เข้าสู่ขอบเขตแก่นทองคำแล้ว ในขณะเดียวกันเจ้ายังคงอยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณเท่านั้น เจ้าไม่แม้แต่จะไปถึงขอบเขตสร้างรากฐานด้วยซ้ำ”
“ด้วยพรสวรรค์ที่ต่ำต้อยเช่นนี้ เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะต่อหน้าข้างั้นหรือ?”
“ช่างน่าขัน!”
เสียงที่ไม่แยแสของหลี่หรานนั้นเย็นชาราวกับเหมันตฤดู
เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา นี่เป็นบุคลิกของเซิงจื่อจริงๆ เขาเป็นคนไร้หัวใจ!
ปากเล็กๆของลู่ซินหรานคว่ำลง ดวงตากลมของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
หลี่หรานพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?”
ลู่ซินหรานกัดริมฝีปากของนางพร้อมกับก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร
“ไม่เป็นไร ข้าจะให้โอกาสเจ้าพิสูจน์ตัวเอง”
“ข้าจะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร?” ลู่ซินหรานเงยหน้าขึ้น
“มาประลองกับข้าสิ” หลี่หรานพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“อะไรนะ?!” ลู่ซินหรานแข็งค้างอยู่กับที่
//////////