บทที่ 4 การรุกที่รุนแรงของหลี่หราน!
เหลิงอู่เหยียนมอง ‘หลี่หราน’ ที่อยู่ตรงหน้า ปากของนางอ้าออกเล็กน้อยและนัยน์ตาดุจเปลวเพลิงของนางก็เบิกกว้าง
นางตกตะลึงจนถึงขีดสุด ถ้านางได้ยินถูกต้อง... ‘มันคือการสารภาพรัก?’
ภาพฉายของหลี่หรานยังคงกระซิบอย่างแผ่วเบา “ข้าพบว่าข้าชอบเจ้ามากเมื่อวานนี้ และวันนี้ข้าเองก็ยังคงชอบเจ้า ข้ามีลางสังหรณ์ว่าพรุ่งนี้และวันต่อๆไปข้าจะยิ่งหลงรักเจ้ามากขึ้น ในสายตาของข้า ดวงดาวนับล้านไม่อาจเทียบได้กับความงามของเจ้า”
“หุบปาก!” ชุดคลุมของเหลิงอู่เหยียนปลิวไสว หิมะทั้งหมดบนยอดเขาปีศาจล้วนสั่นสะเทือนภายใต้ฐานการบ่มเพาะอันทรงพลังของนาง
‘น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!!!’
เมื่อมองไปที่ภาพฉายของหลี่หราน นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เหลิงอู่เหยียนเป็นโสดมาหลายร้อยปี หากมีการจัดอันดับสตรีผู้โดดเดี่ยว นางจะเป็นลำดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นตัวนางเองที่ตัดสินใจเพิกเฉยต่อความรัก แต่ความจริงก็คือไม่มีใครกล้ามาสารภาพกับนางเลย นางแข็งแกร่งเกินไปและวิธีการของนางก็โหดเหี้ยมอย่างมาก นางได้รับการสรรเสริญจากผู้คนอย่างไม่หยุดหย่อนแต่ไม่มีใครกล้าไล่ตามนาง ดังนั้นนางจึงยังเป็นโสดมาจนทุกวันนี้
แต่ตอนนี้สภาพที่เป็นอยู่ได้พังทลายลงแล้ว มีคนสารภาพรักต่อนางอย่างหน้าไม่อาย นอกจากนี้คนผู้นั้นยังเป็นศิษย์ของนาง ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกาย!
ขณะที่เหลิงอู่เหยียนมองดูภาพฉายของหลี่หราน มือของนางก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ “ไอ้สารเลวไร้ยางอาย! เจ้าไม่เพียงละเมิดข้อห้ามของนิกายเท่านั้น แต่คนที่เจ้าสารภาพรักยังเป็นข้า!?”
เหลิงอู่เหยียนตัวสั่น นางค่อนข้างแน่ใจว่านี่ไม่ใช่การเล่นตลก นิกายมีข้อห้ามเรื่องการแต่งงานและความรักอย่างเด็ดขาด การล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้เท่ากับการแสวงหาความตาย มันแสดงให้เห็นว่านี่คือใจจริงของหลี่หราน!
เหลิงอู่เหยียนถอนจิตสำนึกออกจากศิลาเงา ดวงตาของนางสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่ซับซ้อน
นางต้องการที่จะทำลายศิลาเงาทิ้ง แต่เมื่อนางนึกถึงท่าทางที่เสน่หาและคำพูดที่ “จริงใจ” ของหลี่หราน นางก็สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปในทันที
“หรือนี่คือความรู้สึกของการถูกสารภาพรัก...”
“หรานเอ๋อร์... เขาชอบข้าเหรอ?” หัวใจของเหลิงอู่เหยียนเต้นเร็วขึ้นและอารมณ์ที่ซับซ้อนมากมายก็เกิดขึ้นในหัวใจของนาง
“หรานเอ๋อร์มักจะเฉยเมยอยู่เสมอ แม้ว่าข้าจะเป็นอาจารย์ของเขา แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใกล้ข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่คิดเลยว่าความรู้สึกที่ร้อนแรงเช่นนี้จะถูกฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา”
“เขามีพรสวรรค์อย่างมากและเป็นเจ้าของตราประทับแห่งเต๋า เขาจะเหนือกว่าข้าในอนาคตอย่างแน่นอน จากมุมมองนี้ จริงๆแล้วเขาก็เป็นสหายเต๋าที่คู่ควร”
“เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเขาแล้ว เขาเป็นบุรุษที่หล่อเหลาจริงๆ!”
“หรือข้าควรจะ... ให้โอกาสเขาดี?” เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของเหลิงอู่เหยียนก็เต้นแรง แต่แล้วนางก็จำอะไรบางอย่างได้
【ภายในวิหารโหยวหลัวห้ามมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกันโดยเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกขับไล่】
นี่เป็นกฎที่นางตั้งขึ้นเอง แต่ตอนนี้นางกลับต้องการทำลายมัน และอีกฝ่ายยังเป็นลูกศิษย์ของนาง! ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป นางจะกลายเป็นตัวตลกของทั่วหล้า!
“ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด!” เหลิงอู่เหยียนส่ายหัวอย่างแรง
ทันใดนั้นนางก็หยิบหินแปลกๆออกมา “มีใครอยู่ไหม?”
“นายท่านมีคำสั่งอันใดหรือไม่?” เงาดำทะมึนลอดผ่านรอยแยกของประตูเข้ามา มันรวมตัวกันเป็นรูปร่างของมนุษย์อย่างรวดเร็วและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ไปเรียกเซิงจื่อมาพบข้า”
“ทราบแล้ว” เงานั้นหายไป
เหลิงอู่เหยียนมองดูหิมะโปรยนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
......
ในขณะนั้นเอง หลี่หรานเดินไปทั่วห้องด้วยความกระสับกระส่าย
พูดตามเหตุผล หลังจากเห็นบันทึกในศิลาเงาแล้ว ศิษย์หญิงคนนั้นควรจะมาหาเขาอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้มันเริ่มมืดแล้วและข้างนอกก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
“กล่องมันหล่นไปอยู่ผิดที่หรือนางยุ่งจนไม่ได้ดูมัน?”
ในตอนที่เขากำลังจะออกไปดูสถานการณ์นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เขารีบนั่งลง “เข้ามาได้”
ประตูห้องเปิดออก เงาดำพัดเข้ามาและเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นในอากาศ “เซิงจื่อ ผู้นำนิกายเรียกเจ้าไปที่ยอดเขาปีศาจ”
หัวใจของหลี่หรานเต้นเร็วขึ้น “ทราบแล้ว”
เงาดำกระจายหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง
“ท่านอาจารย์ต้องการพบข้าตอนนี้? นอกจากนี้นางยังส่งองครักษ์เงามาแจ้งข่าว... มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือเปล่า?” หลี่หรานมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นเขาก็สวมเสื้อคลุมและออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
......
เทือกเขาซวนหลิงทอดยาวหลายร้อยไมล์ ยอดเขาปีศาจเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้ มันสูงตระหง่านขึ้นไปเหนือเมฆและยอดเขาก็ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ตำหนักที่พักของเหลิงอู่เหยียนตั้งอยู่บนนั้น
หลี่หรานรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเมื่อเดินมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขา
เขาเห็นเหลิงอู่เหยียนยืนอยู่ในศาลาใกล้ๆโดยเห็นได้เพียงแผ่นหลัง
“ท่านอาจารย์ ท่านเรียกข้าหรือ?” หลี่หรานก้าวไปข้างหน้าด้วยความเคารพ
เหลิงอู่เหยียนหันมามองเขาด้วยท่าทางที่ซับซ้อน “หรานเอ๋อร์ ข้ารู้สึกว่าการบ่มเพาะของเจ้าไม่มีความคืบหน้ามาครึ่งเดือนแล้ว เจ้ายังจดจ่อกับการบ่มเพาะอยู่หรือไม่? หรือจิตใจของเจ้าจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น?”
หัวใจของหลี่หรานเต้นแรง เขารีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อเร็วๆนี้จิตใจของศิษย์ยุ่งเหยิงมาก และมันส่งผลต่อการบ่มเพาะไม่น้อย แต่ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน”
เหลิงอู่เหยียนพ่นลมออกทางจมูก ‘แน่นอนว่าเจ้าย่อมฟุ้งซ่านถ้าเจ้ามัวแต่คิดเรื่องเหล่านั้น!’
“เจ้ามีความสามารถมากและมีโอกาสที่จะเป็นจักรพรรดิอมตะผู้ยิ่งใหญ่ ในอนาคตเจ้าจะต้องเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน เจ้าต้องตั้งสมาธิไปที่การบ่มเพาะ อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่อง... แปลกๆเหล่านั้น” เหลิงอู่เหยียนพยายามชักจูง
สีหน้าของหลี่หรานเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีและพูดว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ นอกจากท่านและการบ่มเพาะแล้วศิษย์จะไม่เก็บสิ่งอื่นมาไว้ในใจ!”
เดิมทีเขาตั้งใจจะประจบนาง แต่เมื่อมันไปถึงหูของเหลิงอู่เหยียน ความหมายก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นางหน้าแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและพูดอย่างรวดเร็วว่า “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน? ทำไมเจ้าต้องเก็บข้าไว้ในใจเจ้าด้วย?”
‘แปลกมาก นี่ไม่เหมือนกับบุคลิกปกติของหรานเอ๋อร์ การรุกของเขารุนแรงเกินไป!’
หลี่หรานรู้สึกสับสนเล็กน้อยเช่นกัน เขารู้สึกว่าท่านอาจารย์ของเขาทำตัวแปลกไป
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าพูดถึงเรื่องนั้นเราก็มาคุยกันตรงๆดีกว่า! ข้าอยากจะถามเจ้า เจ้าจะอธิบายเรื่องศิลาเงานี้อย่างไร?” เหลิงอู่เหยียนหยิบหินสีฟ้าออกมา
ทันทีที่เห็นศิลาเงา หลี่หรานก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
บัดซบ! นั่นมันบันทึกที่ข้าใช้สารภาพรักกับศิษย์น้องมิใช่หรือ!
มันจบสิ้นแล้ว! ข้ากำลังจะถูกฆ่า!
//////////