บทที่ 2 ศิลาเงาสารภาพรัก!
‘สารภาพรัก…’ หลี่หรานตกอยู่ในห้วงความคิด
สิ่งนี้ดูเหมือนจะง่ายมาก แต่มันดันมีปัญหาใหญ่อยู่สองประการ ประการแรกคือวิหารโหยวหลัวเป็นนิกายปีศาจระดับสูงสุด มันมีกฎและข้อบังคับมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือข้อห้ามที่มิอาจฝ่าฝืนว่าเหล่าศิษย์ในนิกายห้ามมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวต่อกัน
กฎนี้ออกโดยผู้นำนิกาย ‘เหลิงอู่เหยียน’ โดยหวังว่าเหล่าศิษย์จะมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะ นางเองก็เป็นตัวอย่างที่ดี นางไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวกับบุรุษคนใด มีแม้กระทั่งข่าวลือที่คนนอกเรียกนางว่า ‘สตรีเหล็กเหมันต์’
เมื่อนึกถึงวิธีการลงโทษจากอาจารย์ผู้งดงามของเขา หลี่หรานก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปเขาคงจะได้กลายเป็นเนื้อบดเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ เขาไม่สามารถลังเลได้
และปัญหาประการที่สองคือคนที่เขาจะสารภาพรักด้วย หลี่หรานเป็นเซิงจื่อของวิหารโหยวหลัว เขาควรจะเย็นชาและเลวทราม การสารภาพรักกับสตรีไม่เหมาะกับบุคลิกของเขา
เพื่อไม่ให้คนอื่นเคลือบแคลงใจ เขาต้องรับประกันความสำเร็จตั้งแต่เป้าหมายแรก
‘ข้าจะเลือกใครดี...’
หลังจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดหลี่หรานก็เลือกศิษย์หญิงคนหนึ่งเป็นเป้าหมาย สตรีนางนั้นลุ่มหลงในตัวเขา นางเป็นเหมือนแมลงที่ตามเอาอกเอาใจเขาทั้งวัน ดังนั้นอัตราความสำเร็จจึงสูงมาก
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือนางมักจะใจลอย และดูเหมือนว่า IQ ของนางจะไม่สูงนัก ดังนั้นนางย่อมไม่ถูกผู้อื่นสงสัย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลี่หรานจึงตัดสินใจดำเนินการ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะเสแสร้งทำเป็นหยั่งรู้อีกต่อไปและเริ่มเดินลงจากยอดเขา
เนื่องจากฐานการบ่มเพาะของเขาถูกปิดผนึก ประสาทสัมผัสของเขาจึงทื่อมาก ถ้าเขาสารภาพรักกับนางเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้มากว่าใครบางคนจะเห็นการสารภาพรักของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ศิลาเงาซึ่งปลอดภัยกว่ามาก
ภายในห้องที่เงียบสงบ หลี่หรานนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับหินสีฟ้าในมือ หินสีฟ้านี้ถูกเรียกว่าศิลาเงา มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับต่ำที่ไม่สามารถนับเป็นสิ่งประดิษฐ์ได้
และเนื่องจากเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ระดับต่ำ มันจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณในการเปิดใช้งานด้วยซ้ำ ตราบใดที่คุณใส่จิตสำนึกลงไปในหิน ศิลาเงาจะสร้างฉากและเสียงที่คุณต้องการโดยอัตโนมัติ และคนอื่นๆจะสามารถเห็นเนื้อหาได้ตราบใดพวกเขาเพ่งจิตลงไป
ในความคิดของหลี่หราน มันเป็นเพียงการกระทำง่ายๆอย่างการใช้งานสิ่งประดิษฐ์ระดับต่ำ แต่เมื่อเขาวางแผนที่จะลงมือทำเขาก็ค้นพบปัญหาสำคัญ...
เขาไม่รู้จักชื่อของศิษย์หญิงคนนั้น!
ตัวละครที่ไม่มีนัยสำคัญเช่นศิษย์หญิงคนนั้นเป็นเพียงธาตุอากาศสำหรับเจ้าของร่างคนก่อน แล้วทำไมเขาถึงต้องจำชื่อของบุคคลที่ไม่มีนัยสำคัญเช่นนั้นด้วย? และสิ่งนี้ส่งผลมาถึงเจ้าของร่างคนปัจจุบันอย่างหลี่หรานที่ไม่รู้อะไรเลย!
‘เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการไม่พูดชื่อนางก็ยังดีกว่าการเข้าใจผิด’
หลี่หรานหลับตาลงและจดจ่อกับศิลาเงาเพื่อบันทึกฉากสารภาพรักที่เขาต้องการ
เขาชื่นชมความงามของนางก่อนแล้วจึงพรรณนาว่าเขารักนางมากเพียงใด…
ด้วยความไร้เดียงสาของศิษย์หญิงคนนั้น เขามั่นใจว่าบันทึกของเขาจะทำให้หัวใจของนางสั่นไหวจนร่ำร้องอยากมีลูกกับเขา
ในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป บันทึกก็เสร็จสิ้น หลี่หรานตรวจสอบอย่างรอบคอบและยืนยันว่าไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นเขาก็ใส่ศิลาเงาลงในกล่องไม้จันทน์และมุ่งหน้าไปยังที่พักของนางอย่างลับๆ
[TL: 1 ก้านธูป ประมาณ 30 นาที]
เมื่อเขามาถึงก็บังเอิญว่าหน้าต่างห้องของนางถูกเปิดอยู่ เมื่อหลี่หรานแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเขาก็โยนกล่องไม้จันทน์เข้าไปทางหน้าต่างและมองดูมันตกลงบนโต๊ะ
‘ยังไงก็ตาม เวลาจำกัดคือยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้ว่านางจะไม่ได้เปิดดูศิลาเงา แต่ข้าก็ยังมีเวลามากพอที่จะสารภาพรักต่อหน้า’
ด้วยเหตุนี้หลี่หรานจึงลูบมือแล้วจากไป
......
หลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่จอแจ ศิษย์สตรีหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้น...
“เฮ้อ ผู้อาวุโสซุนรั้งตัวข้าไว้นานเกินไปแล้ว แม้ว่าข้าจะรีบขึ้นไปที่ยอดเขาแต่เซิงจื่อก็จากไปเสียก่อนแล้ว” สตรีรูปงามนางหนึ่งกล่าว
เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถพบเจอหลี่หรานได้
“ซินหราน เจ้าคอยรบกวนเซิงจื่อทุกวัน ระวังให้ดีเถอะ หากเจ้าไปทำให้เขาไม่พอใจเขาอาจจะจับเจ้าไปเป็นเตาหลอมมนุษย์!” ศิษย์หญิงอีกคนพูดติดตลก
[TL: การบ่มเพาะคู่เป็นการยินยอมพร้อมใจและทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน ในขณะที่การบ่มเพาะโดยใช้เตาหลอมมนุษย์นั้นใกล้เคียงกับการข่มขืน และเฉพาะผู้ใช้งานเตาหลอมมนุษย์เท่านั้นที่จะได้รับผลประโยชน์ โดยปกติแล้วการจับคนมาเป็นเตาหลอมมนุษย์จะให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าการบ่มเพาะคู่]
ลู่ซินหรานรวบกำปั้นเล็กๆของนางและพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ถ้าข้าสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเซิงจื่อได้ เป็นเตาหลอมมนุษย์ของเขาแล้วไง? ข้าเต็มใจ!”
“คิกคิก เจ้านี่หลงเซิงจื่อหัวปักหัวปำจริงๆ”
“แน่นอน ข้าชอบท่านเซิงจื่อที่สุด!”
เหล่าศิษย์สตรีเดินคุยกันขณะที่กลับเข้าห้องพักตามลำดับ
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว ลู่ซินหรานก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ด้วยความอิดโรย
“เหนื่อยสุดๆเลย~”
ในเวลานี้ ศิษย์หญิงคนหนึ่งเดินเข้าประตูมาและถามว่า “มันน่าจะถึงเวลาประเมินเม็ดยาแล้ว เนื่องจากข้าต้องเข้าพบผู้นำนิกาย เจ้าอยากให้ข้านำมันไปด้วยหรือไม่?”
“ใช่ๆๆ แน่นอน”
ลู่ซินหรานเหลือบเห็นกล่องไม้จันทน์บนโต๊ะ จากนั้นนางก็หยิบมันขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจและส่งให้ศิษย์พี่หญิง “ต้องรบกวนศิษย์พี่แล้ว”
“มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ศิษย์พี่หญิงรับกล่องและโยนมันเข้าไปในแหวนเก็บของพร้อมกับกล่องหลายใบที่มีการออกแบบคล้ายกัน
เหลิงอู่เหยียน ผู้นำนิกายของวิหารโหยวหลัว แม้นางจะถูกเรียกว่าปีศาจสังหาร แต่นางก็ห่วงใยศิษย์ในนิกายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ที่มาจากยอดเขาหลัก นางมักจะตรวจสอบความคืบหน้าในการบ่มเพาะของพวกเขาอยู่เสมอ
ศาสตร์แห่งการปรุงยาเองก็เป็นหนึ่งในเส้นทางการบ่มเพาะที่สำคัญที่สุด
ผู้อาวุโสหลายคนเคยแนะนำว่านางไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิ ดังนั้นนางจึงต้องรักษาความน่าเกรงขามอยู่เสมอ แต่เหลิงอู่เหยียนกลับมีความกระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก ดังนั้นมันจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติตามมาจนทุกวันนี้
......
ณ ยอดเขาปีศาจ
หิมะตกในคืนฤดูหนาวที่พระจันทร์เต็มดวง ร่างที่สวยงามไร้ผู้เทียบเคียงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ชุดคลุมของนางปลิวไสวราวกับคลื่นสีขาว
ดวงตาของเหลิงอู่เหยียนเต็มไปด้วยความลึกล้ำขณะที่นางเฝ้ามองทิวทัศน์ที่ไกลออกไป ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
ในขณะนั้นเอง ศิษย์หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและมอบศิลาหยกให้นาง
“นายท่าน นี่คือข้อมูลจากทวีปหลักเจ้าค่ะ”
“อืม”
หลังจากที่เหลิงอู่เหยียนหยิบศิลาหยก ศิษย์หญิงคนนั้นก็จากไป
//////////