บทที่ 10 ลู่ซินหราน
ลู่ซินหรานขึ้นไปบนลานประลองด้วยความตื่นตระหนก นางก้มศีรษะลงและร่างกายของนางก็สั่นเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน หลี่หรานยืนตรงข้ามนางโดยเอามือไพล่หลังและผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ทั้งสองสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
การประลองครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ มันดึงดูดศิษย์เกือบทั้งหมดจากยอดเขาหลัก
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ฝูงชนต่างยืนล้อมกันเป็นวงกลม
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เซิงจื่อกำลังจะประลองกับศิษย์น้อง!”
“อะไรนะ? ทำไมหนอนตัวเล็กๆถึงเข้าไปเขย่าต้นไม้ใหญ่เช่นนั้น!?”
“ศิษย์น้องหลู่เผอิญทำให้เซิงจื่อขุ่นเคือง นางช่างโชคร้ายจริงๆ”
“ก่อนหน้านั้นข้าเคยบอกนางไปแล้วว่าอย่ารบกวนเซิงจื่อ ไม่งั้นนางจะต้องเสียใจ!”
“ศิษย์น้องหลู่มีพรสวรรค์มาก ข้าหวังว่าเซิงจื่อจะเมตตาและไม่ทำให้นางกลายเป็นคนพิการ”
“ด้วยบุคลิกที่ไร้ความปราณีของเซิงจื่อ ครั้งนี้ศิษย์น้องหลู่น่าจะ... อนิจจา!”
ในเวลานี้ ศิษย์หญิงบางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลู่ซินหรานต่างรีบออกไปเรียกผู้อาวุโส
เหตุผลก็คือไม่มีใครที่ทำให้เซิงจื่อโกรธแล้วจบลงด้วยดี
มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่สามารถช่วยลู่ซินหรานได้ในตอนนี้
ในบริเวณใกล้เคียง ร่างที่สง่างามลอยลงมาอย่างช้าๆ ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หลี่หรานอย่างจริงจัง
“หรานเอ่อร์?”
......
บนลานประลอง หลี่หรานยกนิ้วชี้ขึ้นและพูดเบาๆว่า “ช่องว่างระหว่างเรานั้นใหญ่เกินไป ข้าจะไม่รังแกเจ้า ข้าจะไม่ใช้พลังจากฐานการบ่มเพาะหรืออาวุธวิญญาณใดๆ ข้าจะใช้เพียงนิ้วนี้เท่านั้น”
“ในเวลาหนึ่งก้านธูป เจ้าจะใช้วิธีใดก็ได้ ตราบใดที่เจ้าโจมตีข้าได้หนึ่งครั้ง ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นผู้ชนะ”
‘ไม่ใช้พลังจากฐานการบ่มเพาะและใช้เพียงนิ้วเดียว? ดูถูกกันเกินไปแล้ว!’
‘ในสายตาของเซิงจื่อข้าแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?’ ลู่ซินหรานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“เจ้าพร้อมหรือยัง?”
“ข้าพร้อมแล้ว!”
ลู่ซินหรานกำมืออย่างช้าๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่
แม้นางจะรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่นางก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นว่านางมีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงข้างเขา!
“งั้นมาเริ่มกันเถอะ” หลี่หรานกวักนิ้ว เขายืนอยู่ในท่าทางที่ดูเฉื่อยชาและไร้ความระมัดระวัง
ลู่ซินหรานสูดลมหายใจและฐานการบ่มเพาะของนางก็เริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
“สังหารไร้เงา!” นางหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ในชั่วพริบตาและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังหลี่หราน มือของนางฟาดไปที่คอของเขาราวกับคมมีด
สังหารไร้เงา หนึ่งในทักษะการลอบโจมตีขั้นสุดยอดของวิหารโหยวหลัว
ร่างของผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนเป็นเงาได้ และจบชีวิตของเป้าหมายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
แต่ทันทีที่นางขยับมือ นิ้วชี้ขาวเรียวของหลี่หรานก็แตะที่คอของนางแล้ว
ดวงตาของลู่ซินหรานเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าตะโกนเสียงดังมาก กลัวคนอื่นจะไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าหรือไง? เข้ามาอีกครั้ง” หลี่หรานพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสและดึงนิ้วของเขากลับ
ฟึบ~
ลู่ซินหรานปรับสภาพจิตใจของนาง นางกลายเป็นเงาอีกครั้งและโจมตีหลี่หรานอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่านางจะปรากฏตัวที่ใด นิ้วที่ว่องไวราวกับภูติผีนั้นมักจะเข้าถึงจุดบอดในการเคลื่อนไหวของนางก่อนเสมอ
ปัง!
นิ้วของหลี่หรานหยุดการเคลื่อนไหวของนางอีกครั้ง “นี่มันต่างกับเต่าตรงไหนกัน?”
ปัง!
“ช้าเกินไปแล้ว!”
ปัง!
“ยังช้าเกินไป! เจ้ามีพลังแค่นี้หรือไง?”
ปัง!
ลู่ซินหรานถูกส่งลอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า นางกระแทกลงบนลานประลองอย่างแรงและพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยฝุ่นผงและเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากของนางไม่น้อย
นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แผ่ออกมาจากจุดที่นิ้วของหลี่หรานแตะโดนระหว่างการต่อสู้ นางรู้สึกราวกับว่ากล้ามเนื้อและกระดูกจะแตกหักหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
หลี่หรานเอามือไพล่หลัง ชุดสีขาวของเขายังคงสะอาดหมดจด ไม่มีแม้แต่ฝุ่นผงเล็กๆ
เหล่าศิษย์รอบลานประลองต่างปิดตา
‘แย่แล้ว นี่มันแย่มาก!’
‘นี่คือผลจากการทำให้เซิงจื่อขุ่นเคือง?’
“เซิงจื่อ ได้โปรดปล่อยนางไป!” ผู้อาวุโสซุนที่มาถึงลานประลองอย่างเร่งรีบตะโกนออกมา
ลู่ซินหรานมีพรสวรรค์มาก นางเป็นรองเพียงหลี่หรานในวิหารโหยวหลัวและเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของผู้อาวุโสซุน
ขอบเขตการบ่มเพาะของนางต่ำเพียงเพราะนางพึ่งเริ่มบ่มเพาะได้ไม่นาน
“นางเป็นผู้สืบทอดเทคนิคการบ่มเพาะของข้า ข้าไม่สามารถปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับนางได้ โปรดยั้งมือด้วย!” ในขณะที่ผู้อาวุโสซุนกำลังจะเหาะขึ้นไปบนเวที แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็บังคับให้นางล้มลงกับพื้น
นางหันศีรษะไปด้วยความตื่นตระหนกและเห็นเหลิงอู่เหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ผู้นำนิกาย!” ผู้อาวุโสซุนรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
พลังที่มองไม่เห็นพยุงตัวนางขึ้น เหลิงอู่เหยียนพูดเบาๆว่า “อย่าเข้าไปยุ่ง คอยดูให้ดี”
“แต่ว่า...” ผู้อาวุโสซุนพยายามจะพูดบางอย่างแต่ก็ต้องกลืนมันลงไป
‘แม้แต่ผู้นำนิกายก็ไม่สนใจเจ้า... ซินหราน ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้วตอนนี้’ ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจเงียบๆ
บนลานประลอง หลี่หรานส่ายหัวและพูดอย่างดูถูกว่า “แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว? เจ้าเหลือเวลาอีกสิบอึดใจ เจ้าสามารถเลือกที่จะยอมแพ้ได้”
“ซินหราน ได้โปรดยอมแพ้ทีเถอะ!”
“อีกฝ่ายคือเซิงจื่อ เจ้าแพ้ก็ไม่มีสิ่งใดน่าเสียใจ!”
“ใช่ อย่าสู้อีกเลย เจ้ามาถึงขีดจำกัดแล้ว!”
เหล่าศิษย์รอบเวทีต่างตะโกนอย่างกระวนกระวาย
ลู่ซินหรานน่ารักน่าชังและเต็มไปด้วยเสน่ห์ เห็นได้ชัดว่านางเป็นที่นิยมมากในหมู่ศิษย์
ไม่มีใครอยากให้นางพบกับชะตากรรมที่น่าเศร้า
“ข้ายังไม่ถึงขีดจำกัด ข้ายังมีโอกาส!” ลู่ซินหรานเช็ดเลือดจากมุมปาก ไฟในดวงตาของนางลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น “เซิงจื่อ ข้าจะทำให้ท่านจดจำข้าไว้!”
“โอ้ ก็ลองดู” หลี่หรานพูดอย่างเฉยเมย
“สังหารไร้เงา แดนอเวจี!” ลู่ซินหรานกระตุ้นเทคนิคการบ่มเพาะของนางจนถึงขีดสุด ร่างกายของนางพร่ามัวราวกับกำลังจะหลอมรวมเข้ากับความมืดมิด
ความมืดมิดระเบิดออกและปกคลุมท้องฟ้าด้วยเงาก่อนที่จะกวาดลงไปยังหลี่หราน
ร่างที่แท้จริงของนางถูกซ่อนอยู่ในเงามืดเหล่านั้น และแม้แต่การใช้จิตสัมผัสระดับสูงก็แทบจะไม่สามารถหาตัวนางได้
เหล่าศิษย์ที่รายล้อมกันเป็นวงกลมต่างจับจ้องไปที่ลานประลอง พวกเขาไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องที่น่ารักของพวกเขาจะมีความกล้าหาญขนาดนี้
“เปล่าประโยชน์!”
หลี่หรานยกนิ้วของเขาขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นในอากาศ
สายลมหยุดลงอย่างกะทันหัน ร่างของลู่ซินหรานแข็งค้างอยู่กลางอากาศ นิ้วชี้ของหลี่หรานชี้ไปที่กลางหน้าผากของนาง
พรวด!
ลู่ซินหรานกระอักเลือดออกมา หลังจากนั้นนางก็ตกลงบนลานประลองราวกับสายป่านของว่าวที่ขาดวิ่น
//////////