ตอนที่ 586 ทหารแก่นี้จะไม่ยอมตาย
เพลิงปีศาจปะทุอย่างบ้าคลั่งในร่างของถังเทียน
ในที่สุดถังเทียนก็เข้าใจแล้วว่าเพลิงปีศาจที่แท้จริงคืออะไรเปลวไฟเย็นที่ครอบคลุมแช่อยู่ในกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเขาความเจ็บปวดจากร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกายเขายังคงโจมตีเขา
แต่ถังเทียนในตอนนี้ท่วมท้นไปด้วยความตั้งใจสู้ ดังนั้นความเจ็บปวดไม่ทำให้เขารู้สึกท้อถอยแต่กลับสร้างความโกรธมากยิ่งขึ้น
เพลิงปีศาจหรือ...
ผิวทุกตารางนิ้วบนตัวเขารู้สึกราวกับจะปริแยกความรู้สึกหนาวเย็นชอนไชลึกเข้าไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ของเขา
สายใยจิตสำนึกสุดท้ายของวิลเลียมอยู่ในเปลวไฟและเขาสังเกตถังเทียนอย่างใจเย็น เพลิงปีศาจคือวิชาจิตวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นมา มันไม่ได้เผาผลาญอะไรแต่มีพลังกัดกร่อนสภาพจิตใจได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด
เขากำลังรอโอกาส
ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเอ้อหมดสติ เขาจะไม่มีทางเลือกลงมือเช่นนั้นเสี่ยวเอ้อที่เป็นร่างวิญญาณคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แต่ถังเทียนเป็นคนที่อาศัยแต่กำลังกายของตนเองล้วนๆและไม่สามารถต่อต้านเพลิงปีศาจของเขาได้ เพลิงปีศาจเผาไหม้ความปรารถนาที่ลึกที่สุดดำมืดที่สุดของคน และนี่คือเหตุผลที่สมาพันธ์ชาวยุทธชิงชังเขาอย่างลึกซึ้ง
แต่แม้ว่าสมาพันธ์ชาวยุทธแม้แต่กลุ่มที่มีศรัทธากล้าแข็ง ก็ไม่สามารถทนทรมานต่อเพลิงปีศาจได้
ตราบใดที่ถังเทียนเผยข้อบกพร่องในสภาพใจของเขา เพลิงปีศาจจะเจาะผ่านและวิลเลียมจะสามารถฉวยโอกาสเข้าไปซ่อนอยู่ภายในใจของถังเทียนและควบคุมถังเทียนอย่างเงียบๆถึงตอนนั้นเสี่ยวเอ้อก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
งั้นนี่ก็คือเพลิงปีศาจงั้นหรือ?
ถังเทียนแค่น สีหน้าของเขาดูน่ากลัว อาการสนองตอบของเขาเกินกว่าที่วิลเลียมคาดไว้
ถังเทียนไม่สนใจวิลเลียมแม้แต่น้อยและวิ่งเข้าหาซุนเจี๋ยโดยตรง
ใช่แล้วเขาไม่สามารถคลี่คลายเพลิงปีศาจได้ แต่ทำไมเขาต้องทำด้วยเล่า?
เพลิงปีศาจตอนนี้คือวิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในคลังอาวุธของเขา!
ถังเทียนไม่มีร่องรอยว่ากลัวและไม่หยุดแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจวิลเลียมอย่างสิ้นเชิงและเตรียมจัดการซุนเจี๋ย ด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว เขาปลดปล่อยกรงเล็บเหล็กแดงร้อนแรงของเขา
กรงเล็บเพลิงภูตพราย!
พลังกรงเล็บเพลิงภูตพรายอาบเพลิงปีศาจผ่านการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
หิ่งห้อยปกคลุมเต็มท้องฟ้า และในบรรดาหิ่งห้อยยังมีจุดแดงนับไม่ถ้วนเป็นประกาย
หน้าของซุนเจี๋ยเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก
ภายในป่าสือเซินและกลุ่มของเขากำลังซุ่มอยู่เงียบๆ
สำหรับเซียนของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่รู้วิธีบินทันทีที่พวกเขาเกิดมาพวกเขาจะชอบอากาศ เมืองของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกสร้างอยู่ในท้องฟ้า และทหารโดยทั่วไปจะชอบซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆ
แต่สือเซินรู้ว่าหน้าผา ถ้ำ ป่าน้ำและหญ้าเป็นที่เหมาะพลางตัว
เขาโชคดีหลังจากออกมาไม่นาน เขาพบกับทีมเล็กและบอกข่าวเรื่องซุนเจี๋ย เขาประหลาดใจ เพราะเขารู้จักพลังของซุนเจี๋ยสำหรับนายท่านเหมิ่งหนานและพวกพ้องวิ่งออกไป นั่นจะเข้าปะทะโดยตรงหรือไม่?
สือเซินรู้ว่าความปลอดภัยของท่านเหมิ่งหนานคือสิ่งสำคัญที่สุด
ดังนั้นเขาไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนแผนและและไปสนับสนุนนายท่านเหมิ่งหนาน
ในเวลาอันรวดเร็วข้างหน้าอีก 15 กิโลเมตรความผันผวนของพลังรุนแรงพิสูจน์ได้ว่ามีการต่อสู้ สือเซินเดาว่านั่นคือท่านเหมิ่งหนานสะดุดกับซุนเจี๋ยจึงส่งคนสอดแนมออกไป
สือเซินฟังรายงานอย่างตั้งใจ เป็นไปตามคาดเป็นนายท่านเหมิ่งหนานทำให้สือเซินใจตก เขาไม่ต้องการสนับสนุนจนเขาต้องถูกฆ่า นั่นจะแย่เกินไป
แต่เมื่อเขาได้ยินว่าซุนเจี๋ยกำลังสู้ติดพันอย่างน่ากลัวกับท่านเหมิ่งหนาน เขาสะดุ้ง ตาทอประกายวูบวาบ
เขาตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นโอกาสที่ดี!
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับซุนเจี๋ยที่สู้กันตัวต่อตัว สำหรับสือเซินแล้วก็คือสละความได้เปรียบที่สุดของเขา และเมื่อได้ยินว่ากองทัพฝีมือดีได้แต่ชมอยู่ด้านข้างแผนที่ร้ายกาจจึงเกิดขึ้นในใจของสือเซิน
สำหรับสือเซินแล้ว โดยพื้นฐานไม่มีอะไร และสิ่งเดียวที่สร้างความคุกคามได้ก็คือซุนเจี๋ยและนักรบฝีมือดี 500 คน
ถ้าเป็นวันอื่นสือเซินคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารฝีมือดี500 นายของซุนเจี๋ยแน่ แต่ตอนนี้ซุนเจี๋ยกำลังว้าวุ่น สือเซินไม่กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย นอกจากนี้ สือเซินและกลุ่มของเขายังเปลี่ยนอาวุธและเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก ดังนั้นเขามั่นใจเพิ่มขึ้น
“ทุกคนเตรียมพร้อมเราจะเคลื่อนขบวนในอีกครึ่งชั่วโมง”
จากนั้นสือเซินนั่งลงการรบต่อเนื่องทำให้เขาอ่อนล้า นอกจากเขาแล้วพวกที่เหลือกำลังพักฟื้นอย่างสงบเป็นการง่ายที่สุดในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในจากการต่อสู้ ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องการกัดกร่อนของพลังงานมีแต่จะทำให้อาการบาดเจ็บหนักหนาสาหัสมากขึ้น ในฐานะทหารผ่านศึกวิธีการฟื้นตัวเป็นทักษะที่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง
แน่นอนว่าในแง่ของเคล็ดฟื้นฟูและพักฟื้นยาก็ยังมีความโดดเด่นมากขึ้น สถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลงและถ้านักสู้ไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลาไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ย่อมจะน่ากลัว
ทหารผ่านศึกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะไม่ปล่อยให้เรื่องทั้งหลายขึ้นอยู่กับโชค
“แม่ทัพ”อาเหล่งลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “แผนนี้อันตรายเกินไป”
สือเซินสับสนเล็กน้อยและยิ้มให้ “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อาเหล่งคิดว่ามีแผนการอันตราย?”
ทุกคนรอบๆ หัวเราะ อาเหล่งเป็นคนหุนหันที่สุดและมีนิสัยชอบเสี่ยง ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินว่าอาเหล่งรู้สึกว่ามันอันตรายทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องตลก
อาเหล่งแย้ง “นั่นคือซุนเจี๋ย ตราบใดที่เขายังไม่ถูกจัดการเราจะตกอยู่ในอันตราย”
เสียงหัวเราะเบาลง ทุกคนรู้ว่าอาเหล่งพูดถูก พวกเขาทุกคนรู้ความสามารถของซุนเจี๋ยสามารถสั่งการทหารได้ด้วยวัยเพียงเท่านั้น และรับตำแหน่งแม่ทัพที่มีศักยภาพมากที่สุดของทวีปฝานซิงโจวกองพลที่แปดของเขามีตระกูลซุนคอยหนุนหลังและประกอบไปด้วยทหารฝีมือดี
เมื่อมองอย่างมีเหตุผล ทุกคนรู้สึกว่าแผนของแม่ทัพเสี่ยงและอันตราย
สือเซินมองดูอาเหล่ง เขาคุ้นเคยกับทุกคนมาก ดังนั้นเขาพูดตามตรง “อาเหล่ง พูดสิ่งที่เจ้าอยากจะพูดออกมาเถอะ”
อาเหล่งไม่สามารถปกปิดเขาได้ จึงสบตาสือเซินตรงๆและกล่าว “แม่ทัพ!จากนี้ไปเราจะติดตามเจ้าเด็กน้อยนั่นหรือ?”
“เด็กน้อยอะไร?”หน้าของสือเซินเขียวคล้ำ “นั่นคือนายท่านเหมิ่งหนาน!”
“แต่เขาฆ่าคนของเราไปหลายคน”อาเหล่งยืนกราน
ทุกคนหยุดสิ่งที่กำลังทำและมองดูสือเซิน สีหน้าของพวกเขาหลายคนเห็นด้วยกับอาเหล่ง นายท่านเหมิ่งหนานเพิ่งฆ่าพี่น้องของพวกเขาไปห้าคน การยอมแพ้และเข้าร่วมกับเขาในพริบตา ทำให้ทุกคนรู้สึกว้าวุ่นใจ
“เขาใช้วิธีการที่น่าละอายทำเช่นนั้นหรือเปล่า?” สือเซินยืดตัวตรง “เขาเอาชนะเราด้วยตัวเขาเอง นั่นเป็นครั้งแรกที่เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น”
เมื่อเห็นเช่นนั้นอาเหล่งเตรียมจะเอ่ยปากพูด เขาตัดบทและพูดต่อ “เลิกมองหาข้ออ้างเถอะ เราทุกคนเป็นนักรบถ้าเราแพ้ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีเหตุผลหรือข้ออ้าง แค่อาศัยกำลังของเขาเองและเอาชนะเราอย่างมีเกียรติ ข้าสำนึกตัวดี นั่นสมควรแล้วเขาฆ่าพี่น้องเราห้าคน ถ้าเป็นผู้ที่ทำให้พวกเขาตาย ไม่ว่ายังไงข้าจจะต้องทุ่มชีวิตล้างแค้นแน่ แต่ในสงคราม ไม่มีอะไรต้องพูดมาก เราคือกองพลปีศาจเป็นผู้ที่มีชะตาต้องตายในสมรภูมิ”
ทุกคนเงียบเสียง
“อย่าลืมสิว่าเราเป็นเชลย ความจริงในตอนนี้เราควรจะตายไปแล้ว แต่เรายังคงมีชีวิตอยู่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับชุดอาวุธ” สือเซินพูดอย่างใจเย็น “เนื่องจากเรายอมแพ้ไปแล้วอย่าได้รู้สึกอิหลักอิเหลื่อและเลิกไม่สบายใจเสียที เราไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจ เรายอมแพ้ไปแล้วการทำเรื่องที่อันตรายต่อคุณชาย นั่นคือสิ่งที่ข้าสือเซินทำไม่ได้”
หน้าของอาเหล่งแดงด้วยความละอายและเขาแย้ง “ข้าไม่ได้พยายามวางแผนต่อต้านคุณชาย มันเป็นแค่ความรู้สึกข้าเท่านั้น...”
“รู้สึกอาย?” หน้าของสือเซินเต็มไปด้วยความลำบากและความรู้สึกซับซ้อน หลังจากผ่านไปนาน เขาถอนหายใจ “เขาพูดถูก, แล้วจะเป็นยังไงถ้ารู้สึกอดสู ข้าจะปล่อยให้มันทรมานข้า แต่ข้าจะไม่หาข้ออ้างอีกต่อไป ข้าคือขุนพลที่พ่ายแพ้ล้มเหลว มีอะไรที่จะตำหนิข้าอีกไหม? ข้ามักโกหกตัวเองเสมอตราบใดที่ข้ายังมีสายใยความหวัง ข้าจะไม่ยอมแพ้”
“แม่ทัพ...” ทหารหลายคนเริ่มลุกขึ้นยืน อาเหล่งอ้าปากกว้าง รู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ทุกคนรักสือเซินด้วยหัวใจ
สือเซินเริ่มมีผมหงอกแล้วใบหน้าของทุกคนไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้วในสายตาพวกเขา ใบหน้าของแต่ละคนเหนื่อยหน่ายเจ็บปวด พวกเขาผ่านความยากลำบากมามาก
“ข้าแก่แล้ว พวกเจ้าทุกคนแก่แล้ว”
ทันใดนั้นใจของเขาเริ่มคิดย้อนไปเกินกว่าทศวรรษที่ผ่านมาใบหน้าอ่อนเยาว์ของทุกคนดูเหมือนปรากฏในสายตาของพวกเขา
เราคงไม่ได้เติมเต็มความฝันของเรา หรือว่าเราแก่แล้ว?
เลือดลมของเรายังคงพลุกพล่านหรือว่ามันกลับเย็นแล้ว?
เรายังไม่ได้รับเกียรติความรุ่งเรืองในวัยหนุ่มของเราเลยหรือว่าเราจะแก่ไปในลักษณะนั้น?
ปากของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
นานเท่าใดแล้วที่กิจการในทวีปโยวโจวซบเซาเมื่อใดจะกลับไปสู่คืนวันที่รุ่งเรืองอีก วันที่มีความหวังและสดใส?
“ข้าคือขุนพลที่ล้มเหลวคนหนึ่งและตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าก็ยังล้มเหลวเสมอ”
เขาเหยียดมือห้ามพี่น้องที่ต้องการปลอบโยนเขา เสียงหยาบของเขาก้องอยู่ในอากาศ
“ตอนนี้เราแก่กันแล้วเวลาข้างหน้าเราเหลือกันอีกไม่กี่ปี บางทีเราอาจจะถูกฆ่าก็ได้ แต่ข้าไม่ต้องการจะนอนตายบนเตียง ข้ามักจะนึกย้อนถึงครั้งที่ยังอยู่ในทวีปโยวโจวโอว.. นั่นต้นไม้แดงซึ่งเป็นที่เรานั่งกินดื่มและสนุกกัน อาจูบอกว่าเขาต้องการแต่งเมียสักหกคน อาหุนบอกว่าเขาต้องการซื้อร้านที่ท้ายถนนนึกย้อนไปตอนนั้นแล้ว เมื่ออาเต๋อกำลังจะตาย เขาพูดพร่ำเพ้ออยู่ในอ้อมแขนข้าบอกว่าเขากลัว เขาบอกข้าว่าอย่าทอดทิ้งเขา ข้าบอกเขาว่าข้าจะไม่ทอดทิ้งเขาและนั่นที่ข้าตั้งใจจะสร้างอนุเสาวรีย์ให้พี่น้องของเราทุกคนและข้าบอกเขาให้อวยพรเราจากสวรรค์”
คนที่ทำเป็นหูหนวกอาจได้ยินได้หลายคนหันหน้าไปทางอื่นไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นตนตาแดง
“ตราบใดที่ข้ายังจับดาบเคลื่อนไหวได้ ข้าจะสู้ต่อไป ไม่ว่าอับอายเพียงใดไม่ว่าจะอดสูเพียงไหน ต่อให้อยู่ในจุดตกต่ำที่สุดก็ตาม ข้าจะไม่ยอมแพ้แน่!”
สือเซินหัวเราะ “ในฐานะคนแก่ เราไม่ควรพูดมากใครจะสนใจหน้ากันเล่า?”
อาเหล่งร้องไห้แล้ว “แม่ทัพ หยุดพูดได้แล้ว...”
“เนื่องจากเราสูญเสียจุดนี้ไปแล้วยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือที่เราต้องกลัวสูญเสียต่อ? เราสูญเสียมาจนวัยปูนนี้แล้ว ทำไมจะมายอมแพ้? ถ้าเราตั้งใจล้มเหลว อย่างนั้นข้าก็ต้องการดูผลการความพ่ายแพ้!”
สือเซินตะโกนทันทีทำให้ทุกคนตะลึง พวกเขาลุกขึ้นยืนกันหมดปาดน้ำตาและรวมอาวุธกันเงียบๆ
“เราคือกองพลปีศาจทวีปโยวโจวมีชะตาชีวิตที่ต้องตายในสมรภูมิ!”
สือเซินต้องการลดความเร็วการการพูด แต่เสียงของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาระลึกถึงใบหน้าผู้ตายไปแล้วผ่านจากอดีตที่ผ่านมา แม้ว่าหลายอย่างจะลืมไปแล้วก็ตาม
ความภาคภูมิใจ ศรัทธาและมิตรภาพของพวกเขา....
ตอนนี้พวกเขาแก่แล้ว...
สือเซินมองไปรอบๆเห็นรอยย่นบนใบหน้าทุกคน เห็นแผลเป็นบนตัวของพวกเขา เห็นประกายหม่นหมองของนัยน์ตาทุกคน ร่างกายที่แก่แห้งของพวกเขาดูเหมือนจะเรืองแสง
อารมณ์ที่พลุกพล่านพลุ่งขึ้นมาจากอกของสือเซิน
ต่อให้เราบาดเจ็บ เรายังอยู่ที่นี่!
ต่อให้เราแก่ เราก็ยังไม่แพ้!
เขาชูดาบและมีสีหน้าเข้มตวาดว่า“เราจะไม่ปฏิเสธการต่อสู้!”
“สู้ สู้ สู้!”
ทหารปีศาจทวีปโยวโจวทั้ง 45 เริ่มโห่ร้องทุกคน