ตอนที่ 579 แข่งสมบัติ ใครมั่งคั่งกว่ากัน
“มังกรปีศาจแดนสวรรค์” ราชันย์พันปีศาจอัญเชิญคัมภีร์ชั้นศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างเจิดจ้าและทาบฝ่ามือกับคัมภีร์เบาๆ แสงสีทองสว่างวาบขึ้น มังกรปีศาจขนาดมหึมาปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา มังกรปีศาจนี้ไม่ใช่อสูรชั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่มันมีพลังอสูรฟ้าระดับหนึ่งขั้นสูง เนื่องจากมันเป็นอสูรประเภทมีปีก พลังรบของมันจึงไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ภูเขาหิมะอสูรฟ้าระดับสองแต่อย่างใด ตลอดทั้งร่างของมันมีเพลิงสีดำลุกโชน เกล็ดเหมือนทำจากหินอัคนี เขาแหลมเหมือนหอกปีศาจ ปีกยามที่กางออกยาวเกือบร้อยเมตร หัวของมันดูดุร้ายน่ากลัว นัยน์ตาปีศาจดำมืดลึกเหมือนถ้ำแฝงอันตรายเจือจางเหมือนกับจะกลืนกินชีวิตทุกอย่างได้
เย่ว์หยางยังมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ราชันย์พันปีศาจน่ากลัวอย่างแน่นอน
เขาเป็นเจ้าของคัมภีร์ชั้นศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางเห็นนักรบมนุษย์ครอบครองคัมภีร์ชั้นศักดิ์สิทธิ์
มังกรแดนสวรรค์คำรามลั่นในท้องฟ้า มันพ่นเปลวเพลิงเป็นสายยาวมาก ที่คาดไม่ถึงก็คือมันใช้พลังพิเศษเรียกผลึกอัญเชิญออกมาและเริ่มทำการอัญเชิญ
มังกรไฟยักษ์สามตัวมีขนาดครึ่งหนึ่งของมังกรปีศาจแดนสวรรค์ปรากฏตัวในสนามรบทันทีที่มันถูกอัญเชิญออกมา พวกมันไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าระดับของพวกมันทุกตัวก็ยังเป็นอสูรแพลตตินัมระดับสิบ แต่ความสามารถต่อสู้ของพวกมันแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่านักรบมนุษย์ อย่างน้อยก็เท่ากับปราณก่อกำเนิดระดับแปด
มังกรฟ้าแดนสวรรค์อสูรฟ้าระดับหนึ่งขั้นสูง บวกกับมังกรไฟยักษ์ที่มีพลังเท่ากับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับแปด
ศึกนี้ควรจะเผชิญหน้ายังไงดี?
แม้ว่าตั๊กแตนมัจจุราชจะถือกำเนิดมาพร้อมกับความสามารถในการต่อต้านสัตว์ตระกูลมังกรและชอบกินมังกร แต่มังกรปีศาจแดนสวรรค์ไม่ใช่ของขบเคี้ยวของตั๊กแตนมัจจุราชในตอนนี้... นางพญากระหายเลือดก็เชี่ยวชาญในการบิน แต่นางจะสู้กับมังกรสามตัวอายุพันปีและมังกรอีกตัวที่อายุห้าพันปีได้อย่างไร? เย่ว์หยางคิดจนหน้าผากย่น เขาจะเอาชนะมังกรแก่ทั้งสี่ตัวนี้ได้อย่างไร?
“ไมโบนเป็นนักสู้ที่ดี ข้าหวังว่าคุณชายสามคงชอบเป็นคู่ต่อสู้ให้มัน” ราชันย์ปีศาจมีแววยินดีอยู่ในดวงตา เมื่อเห็นว่าศัตรูของเขาจนแต้ม นั่นเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา
“นายท่าน, อาหมันของอาสาสู้ศึก!”
โคเงาอาหมันออกมาจากโลกคัมภีร์เชิดหน้ายืนอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง
ราชันย์พันปีศาจหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเช่นนี้
นางโคเงาต้องการจะสู้กับมังกรยักษ์สี่ตัวหรือ? นี่เป็นเรื่องตลกชัดๆ แม้แต่มังกรไฟยักษ์ก็สามารถบดขยี้นางได้ง่ายดาย อย่าว่าแต่ไมโบนมังกรแดนสวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดเลย
เย่ว์หยางหลับตาและสูดหายใจลึก เขาเรียกคัมภีร์ออกมาและซ้อนเงาปีศาจยักษ์บนตัวของอาหมัน อาหมันมีหัวใจธรณีสารและพลังงานของไตตันโบราณ นางคือเทพนักรบสตรีที่ไม่มีวันเหนื่อย ตราบใดที่นางยังคงยืนอยู่กับพื้น ไม่มีใครเอาชนะนางได้ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรแดนสวรรค์แน่นอน แต่ถ้านางทำให้มังกรแดนสวรรค์ถูกตัดกำลังทีละนิดๆ พลังของมันจะหมดได้ในที่สุด
โคเงาอาหมันเหวี่ยงโซ่ล่ามเทพออกไปขณะที่นางระเบิดพลังออกมาด้วยความส่งเสริมจากเงาปีศาจยักษ์
นางลากมังกรฟ้าที่หยิ่งผยองและดีใจลงมากับพื้น
นางล้วงบอลเวทสนามประลองมรณะและทำลายทันที ลากมังกรแดนสวรรค์หายไปพร้อมกัน
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าอาหมันจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเอาชนะมังกรปีศาจแดนสวรรค์ที่แข็งแกร่งได้ เขาหวังว่าเนตรมรณะจะสามารถใช้งานได้ทำให้ประหยัดเวลาได้อีกมาก
มังกรยักษ์สี่ตัวและนางโคเงาคู่ต่อสู้หายไปพร้อมกัน เรื่องนี้ทำให้ราชันย์พันปีศาจโมโหยิ่งขึ้น เขาคืออัจฉริยะพิเศษที่ไม่มีใครเทียบได้มานานสามพันปี จึงไม่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเด็กอายุยี่สิบปีทั้งที่เขามีสัตว์ระดับอสูรฟ้าอยู่มากมาย
“เทวทูตตกสวรรค์...” ราชันย์พันปีศาจต้องการใช้อสูรพิชิตเย่ว์หยางให้ได้
เขาเป็นราชันย์พันปีศาจในโลกนี้ด้วยอสูรนับไม่ถ้วนที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ถ้าเขาไม่สามารถข่มเจ้าเด็กนี่ได้ เขาจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร?
เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นเย่ว์หยางเผชิญหน้ากับอสูรของเขาอย่างใจเย็นมากและโต้ตอบความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา
จะแข่งกันด้วยอสูรใช่ไหม? มาดูกันว่าอสูรของใครจะมีมากกว่าและของใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
ราชันย์พันปีศาจชูมือและรังสีสว่างเจิดจ้าเป็นล้านๆ สายยิงออกมาจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ภายในรังสีเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ เงาร่างดำสายหนึ่งเดินทอดน่องออกมา ลักษณะของเขาทำให้สนามต่อสู้ถูกเงาทาบทับ แม้แต่แสงรัศมีก็บดบังจนหายไป เทวทูตมีปีกที่กางออกแล้วยาวมากกว่าสิบเมตร ปรากฏอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง อย่างไรก็ตาม พลังงานนี้และกำลังของเขาสามารถทำให้แสงหายไปได้
ปีกของเขาดำเหมือนหมึกและขนแต่ละเส้นเหมือนกับธนูดำหรือมีดดำ มีรังสีฆ่าฟันที่รุนแรง
เกราะสมบัติชั้นทองเข้ม กระบี่เทพมารดำสนิท... เทียบกับกระบี่แสงศักดิ์สิทธิ์ต้องคำสาปในมือของเสียงหวี่แล้ว กระบี่เทพปีศาจดูชั่วร้ายและแข็งแกร่งกว่า พลังกระหายเลือดเปล่งออกมาจากคมกระบี่ เหมือนกับว่ากระบี่เทพมารต้องการจะดื่มเลือดมนุษย์
แม้ว่าเทวทูตตกสวรรค์จะมีพลังปราณฟ้าระดับหนึ่ง แต่ความสามารถของเขาก็ถึงขั้นสุดยอดในพลังปราณฟ้าระดับหนึ่ง เขามีสายตาที่ดูเฉลียวฉลาด แค่ดูก็รู้ได้ทันทีว่ายากจะรับมือได้
เทวทูตตกสวรรค์ที่มีสติปัญญาน่ากลัวยิ่งกว่าเพชรฆาตโบราณสองตัวเสียอีก
“โห, ศัตรูแบบไหนกันที่ท่านต้องเรียกข้าออกมาด้วย?” เทวทูตตกสวรรค์ค่อยๆ ลอยลงมาที่พื้น เขาชี้มาที่เย่ว์หยาง แต่กลับเป็นตาดำของเขาที่มองอยู่แต่ราชันย์พันปีศาจ “องค์ราชา, เจ้าเด็กไร้ดั้งจมูกบังอาจยั่วท่านหรือ? อย่าโกรธกริ้วไปเลย รอเดี๋ยวม่อเฟยจะช่วยท่านฆ่ามัน! ท่านยังจำได้ไหม? สามพันปีที่แล้ว มีเด็กหยิ่งยโสคนหนึ่งที่ต้องการท้าทายศักดิ์ศรีของท่าน? ช่างน่าขัน, อย่าหงุดหงิดไปเลย ราชาของข้า ข้าจะใช้กระบี่ของข้าตัดหัวมันมาให้ท่านเพื่อระงับความโกรธของท่าน!”
“โธ่เอ๊ย...กระเทยนี่หว่า...” เย่ว์หยางไม่สามารถทนต่อการดัดเสียงของเทวทูตตกสวรรค์ เขาทำหน้าพะอืดพะอมทันที
ไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากน้ำเสียงนี้อ่อนช้อยอย่างในตำนานขนานแท้
สำหรับคนที่เก็บตัวอยู่ในบ้านตลอดเวลา เย่ว์หยางคงไม่สามารถอดทนต่อคนแบบนี้ได้ แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลก และมันมีเหตุผลของการคงอยู่ของพวกมัน ดังนั้นเย่ว์หยางได้แต่ทำเป็นเหมือนว่าเขาไม่ได้ยิน ความจริงเขากลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อดัดเสียงแบบนี้ไปด้วยถ้าเขาฟังมากเกินไป
เจ้าฮุยไท่หลางดันไม่อยู่ตอนนี้เสียด้วย ตั๊กแตนมัจจุราชก็ยังอ่อนแอเกินไป นางพญากระหายเลือดและมังกรไร้เขาเจี้ยงอิงก็ไม่ต่างกันมาก ใครจะสู้ในรอบต่อไปกันแน่?
เย่ว์หยางปวดหัว
เขาตระหนักได้ว่าราชันย์พันปีศาจผู้ใช้ชีวิตมานานหลายพันปีเป็นคนบ้าคนหนึ่งแน่แท้
น่าประทับใจมากพออยู่แล้วที่มีอสูรระดับอสูรฟ้า แต่เขากลับมีเป็นกลุ่ม และทุกตนก็มีพลังมากกว่าตัวก่อนๆ... ขณะที่นางเซียนหงส์ฟ้ากำลังถอนหายใจและเตรียมตัวพบกับศัตรูที่จู่โจมเข้ามา เงาร่างสองร่างวิ่งตรงมาตามทางเดิน
ผู้อาวุโสปีศาจเยี่ยนซั่วกวาดกรงเล็บต้องการสังหารคนทั้งสองที่เข้ามาตามทางผ่าน
แต่สตรีน้ำแข็งขยายตัวขึ้น มันสูงพอๆ กับผู้อาวุโสปีศาจเยี่ยนซั่วที่สูงแปดสิบเมตร สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเมื่อนางพ่นอากาศเย็นออกมาจากปาก ทั่วทั้งสนามต่อสู้เปลี่ยนสภาพเป็นโลกหิมะน้ำแข็งทันที เกล็ดหิมะตกกระจายรอบๆ สายลมเย็นจนถึงขั้วกระดูก น้ำแข็งจับตัวอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตา พื้นก็กลายเป็นน้ำแข็งและมีหิมะปกคลุม
ผู้อาวุโสปีศาจเยี่ยนซั่วกำลังมองดูเพลิงใจมือของเขาอย่างตกใจ มือข้างนั้นแข็งเนื่องจากความเย็น แม้แต่ไฟก็พลอยกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย
ดาบเทพเล่มหนึ่งฟันลงจากเหนือหัวเขา
แม้ว่าพลังของดาบจะยังไม่เพียงพอ แต่พลังสังหารที่สามารถฆ่าสรรพชีวิตได้ในหนึ่งวินาทีจากดาบก็สามารถขู่ขวัญผู้อาวุโสปีศาจเยี่ยนซั่วได้ จนเขาต้องรีบหลบทันที
เขาไม่โง่พอจะสู้กับอาวุธระดับเทพโดยตรง
แม้แต่ราชันย์พันปีศาจก็มีท่าทีตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นอาวุธระดับเทพนี้
“ดาบเทพจักรพรรดิอวี้จากตำนานน่ะหรือ?” ราชันย์พันปีศาจถอนหายใจแผ่วเบา แม้ว่าอาวุธระดับเทพจะอยู่ต่อหน้าเขา แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่มีโอกาสได้อาวุธเทพที่นักดาบสตรีนี้เป็นเจ้าของ
“ข้ามาสายเล็กน้อย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้กล้าหาญและน่าเกรงขามไม่ได้มองดูราชันย์พันปีศาจและไม่มองทั้งเทวทูตตกสวรรค์ที่พร้อมจะเข้าโจมตีเย่ว์หยางแล้ว หลังจากนางบังคับผู้อาวุโสปีศาจเยี่ยนซั่วให้ถอยไป นางเก็บดาบเทพไว้ที่ด้านหลังของนาง และสาวเท้ายาวเข้าหาเย่ว์หยาง ในสายตานางมีแต่เจ้าเด็กนี่ที่นางทั้งรักทั้งเกลียดพร้อมกันเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะต้องการเอาชนะไม่อยากแพ้ บางทีอาจเป็นเพราะต้องการปฏิเสธว่านางก็หลงรักเขา บางทีความรู้สึกที่มีต่อเขาคงพัฒนาดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนาน อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ตัวว่าเมื่อใดกันแน่ที่นางเริ่มชอบผู้ชายที่หัวเราะเหมือนกับเป็นคนชั่วร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะเสวี่ยอู๋เสียที่เป็นคู่หมั้น นางยังจะชอบเขาไหม? ถ้าเขาไม่แตะเนื้อต้องตัวนาง นางยังจะชอบเขาอยู่ไหม? องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ นางจึงตัดสินใจเลิกคิด มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่าซับซ้อน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ตราบเท่าที่นางยังรู้ว่าเขาอยู่ลึกในหัวใจนาง และเป็นคนเดียวที่นางคิดถึง
“องค์หญิง! ข้าน้อยถูกคนอื่นรังแกจะแย่อยู่แล้ว” เย่ว์หยางสำออยอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไร, ข้าจะฟันมันแก้แค้นให้เจ้า” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่เคยพูดอะไรอย่างปกติธรรมดา แต่ต่อหน้าศัตรู นางคือซือเจ๊นักดาบวังหลวงที่มีความสามารถที่สุด ไม่ใช่แค่แม่เสือสาวที่หยิ่งและเอาแต่ใจ
“ต่อให้เจ้ากระเทยที่น่าตายนั้นยั่วโมโห แต่ฝีมือเขาก็ไม่เลวนะ เจ้าจะรับมือเขาได้ด้วยตัวเองไหวไหม?” เย่ว์หยางกังวลห่วงใยเล็กน้อย
“สาวตระกูลเสวี่ยก็อยู่นี่เช่นกัน” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพูด เสวี่ยอู๋เสียลอยตัวลงมา ต่างกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่ใช้หมัดของนางทุบอกเย่ว์หยางทักทาย นางอ้าแขนและกอดเขาไว้และใช้ปากสีดุจเชอรี่จูบแก้มเย่ว์หยาง “ราชันย์พันปีศาจไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะเขาได้! จำไว้เจ้าคือบุรุษที่ข้ารู้สึกว่าโดดเด่นที่สุดในสามโลก”
“ตลกร้าย พวกเจ้าคิดว่าคำพูดพลอดรักที่ไร้สาระไม่กี่คำจะขู่ขวัญข้าจนถอยหนีได้หรือ?” เทวทูตตกสวรรค์หัวเราะเย็นชา หลังจากพูดด้วยความโมโห “มีเพียงราชาของข้าเท่านั้นเป็นบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในโลก พวกเจ้าทุกคนก็แค่สวะ ราชาของข้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะกับหอทงเทียนอย่างแท้จริง และเป็นบุรุษที่แท้จริงที่จะพิชิตโลก”
“เราจะฆ่าเจ้าผู้นี้ก็แล้ว.... ฝีมือของเรามีจำกัด ดังนั้นเราช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้เอง” เสวี่ยอู๋เสียจูบปากเย่ว์หยาง
รู้สึกตัวเบาว่องเสียเหลือเกิน
จูบของนางทำให้เย่ว์หยางมีไฟและเพิ่มพลังใจให้เขา
ไห่อิงอู่มองดูภาพนี้อย่างอิจฉา นางก็ต้องการโผเข้าอ้อมแขนเขาและจูบเขาด้วยเช่นกัน
แต่นางรู้ว่ามีสตรีที่โดดเด่นสองคนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ถ้านางต้องการประชันขันแข่งต่อหน้าของทั้งสองคน นางก็ต้องโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยังคงกอดเย่ว์หยาง แต่เมื่อเย่ว์หยางพยายามจูบปากนาง
นางหันหน้าหลบแล้วให้เขาจูบแก้มนางแทน
ในทางตรงกันข้าม เสวี่ยอู๋เสียนมีสายฟ้าอยู่ในมือซ้ายของนางและน้ำแข็งอยู่ในมือขวานางก็ลอยตัวเข้าหาเทวทูตตกสวรรค์
หลังจากหลุดจากอ้อมกอดของเย่ว์หยาง นางดึงม้วนเวทสนามประลองตัดสินออกมา ม้วนเวทสนามประลองตัดสินนี้จะส่งตัวพวกเขาไปยังอีกมิติหนึ่ง แต่ไม่ใช่มิติชนิดเดียวกับบอลเวทสนามประลองมรณะ พวกนางเป็นคู่หมั้นของเขา แม้ว่าพวกนางมั่นใจว่าจะฆ่าศัตรูได้ แต่พวกนางก็ต้องระวังแผนของศัตรู ดังนั้นพวกนางจึงไม่ยินดีเข้าไปในสนามประลองมรณะซึ่งต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง พวกนางกลับเข้าไปในมิติต่อสู้แทนซึ่งเปิดโอกาสให้นางมีโอกาสหลบหนี
เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพบเทวทูตตกสวรรค์ เมื่อม้วนเวทสนามประลองตัดสินถูกเปิดใช้งาน ทั้งสามคนก็หายไปทันที
“ระวังตัวด้วย...” ราชันย์พันปีศาจรู้สึกไม่สบายใจทันที เขาเตือนเทวทูตตกสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าม่อเฟยจะระมัดระวังระหว่างต่อสู้กับสตรีทั้งสอง ไม่ทำให้เขารู้สึกแย่ พวกเขาดูเหมือนไม่แข็งแกร่งเท่าใด แต่สัญชาตญาณนักรบของเขาบอกเขาว่า พวกนางอันตรายมาก อันตรายเกินกว่าที่พวกเขาเห็น
“ผู้อาวุโสราชันย์พันปีศาจ เจ้ายังมีอสูรฟ้าอื่นๆ อีกบ้างไหม?” เย่ว์หยางถามขณะหัวเรา ราชันย์พันปีศาจไม่ตอบสนอง และเย่ว์หยางเงยหน้าขึ้น “ถ้าไม่มี งั้นตาข้าบ้างละน่ะ”