ตอนที่ 579 ทางเลือกที่โง่เขลา
“ซื่อสัตย์ไว้!”
หลังของสือหย่งเจ็บปวดหลังของเขามีรอยแตกและรอยเลือด แม้ว่าจะทิ้งไว้เพียงรอยเดียวบนหลังของเขา สือหย่งก็ยังไม่ส่งเสียง แต่แววเกลียดชังแฝงอยู่ในดวงตาของเขา เชือกสีเขียวเข้มบาดลึกลงไปในเนื้อของเขา เขาสูญเสียความรู้สึกที่มีต่อพลังงาน ร่างของเขาซีดไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
เชือกสีเขียวเข้มมีชื่อว่าพันธนาการนักโทษ ใช้ผูกมัดเชลยโดยเฉพาะโดยมันจะฝังตัวลงไปในเนื้อของเชลย ประโยชน์ที่ดีที่สุดก็คือแยกเชลยออกจากความรู้สึกถึงพลังงานในอากาศอย่างสิ้นเชิง
เชลยไม่สามารถจะรวบรวมพลังงานได้ ดังนั้นเขาจะไม่ใช่ภัยคุกคาม
เชือกพันธนาการนักโทษเส้นยาวมัดคนได้เกิน200 คน พวกเขาเป็นเหมือนกลุ่มสัตว์ที่ถูกล่ามเข้าด้วยกัน
“เบามือหน่อย อย่าฆ่าเขา” รองหัวหน้ากองอีกคนหนึ่งตะโกน พวกเขาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก เมืองเป่ากวงมีประชากรน้อยกว่า 8000 คนยังห่างจากจำนวนที่พวกเขาต้องการได้ ทันใดนั้นพวกเขาตระหนักว่าภารกิจครั้งนี้จะไม่สำเร็จได้โดยง่าย การลงทัณฑ์ที่รุนแรงทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ พวกเขาไม่สนใจคนอื่นอีก จึงได้จับคนแก่ คนอ่อนแอและเด็กมาเพิ่มจำนวน
อีกกลุ่มหนึ่งออกไปตามหาสือเซิน
สีหน้าของสือหย่งเย็นชามุมปากมีรอยยิ้มอย่างใจเย็น ถ้าเพียงแต่คนพวกนี้รู้ว่าสือเซินถูกนายท่านเหมิ่งหนานซื้อตัวไปแล้ว ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะทำสีหน้ายังไง?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องท่านเหมิ่งหนานเลย เอาแค่กองกำลังปีศาจทวีปโยวโจวภายใต้การนำของท่านสือเซินก็เพียงพอจะทำลายคนพวกนี้ได้แล้ว เขาเองยังกลัวแทบปัสสาวะราด
อย่างไรก็ตามคนที่น่ากลัวที่แท้จริงก็ยังคงเป็นนายท่านเหมิ่งหนาน เฉพาะพลังของเขาล้วนๆ เขาเอาชนะกองกำลังปีศาจแห่งทวีปโยวโจวถึง 51คนได้ ถ้าความสำเร็จเช่นนั้นแพร่กระจายไปคงจะไม่มีผู้ใดเชื่อ
เขาอาสาวิ่งกลับไปเตือนให้ระวังความเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ เมื่อกองทหารนี้เคลื่อนไหวลงมือ เขาส่งข้อมูลกลับไปเรียบร้อยแล้ว และนายท่านเหมิ่งหนานคงได้รับข่าวสารนี้แน่นอน และเพื่อป้องกันการสูญเสียโดยไม่จำเป็น เขาปล่อยให้กองทหารรักษาการณ์เมืองเป่ากวงเลิกต่อต้าน
ทันใดนั้นการแสดงความคิดเห็นของคนสองคนแว่วเข้าหูของสือหย่ง ทำให้สือหย่งตะลึง
“ชื่อเสียงของท่านซุนเจิ้งจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน ภารกิจเกณฑ์ชาวบ้าน แม้แต่ท่านซุนเจี๋ยแห่งกองพลที่แปดก็เข้ามาช่วย”
“เจ้าไม่รู้ว่าท่านซุนเจี๋ยเป็นญาติกับนายท่าน ทั้งสองคนมีสัมพันธ์ที่สนิทกัน!”
“ตระกูลซุนจะขึ้นชื่อแท้จริงก็คราวนี้แหละ!”
“ใช่แล้ว....”
สีหน้าของสือหย่งเปลี่ยน เขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของซุนเจิ้งมาก่อนก็จริง แต่ชื่อของซุนเจี๋ยแห่งทวีปมหาศาลเขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อนยังไง? กองพลที่แปดคือหนึ่งในสามกองพลฝีมือดี ตระกูลซุนให้การสนับสนุนกองพลนี้มากมายไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์หรือมาตรฐานของทหาร พวกเขาแข็งแกร่งทรงพลังมากกว่ากองทหารทั่วไปในทวีปมหาศาล
หัวใจสือหย่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ข่าวสำคัญอย่างนั้น เขาเองความจริงกลับค้นหาไม่เจอ
หมดกัน....สีหน้าของเขากลายเป็นสีเทาเหมือนคนพ่ายแพ้
“กองพลที่สามสิบสองมีกำลังพล 1500 นายมาตรฐานกองทัพนี้ก็แค่ระดับล่างของทวีปมหาศาล ดังนั้นเครื่องไม้เครื่องมือจึงน่ากลัว ก่อนที่ซุนเจิ้งจะมา ข้ารับมือกลยุทธ์สงครามประจำวันและตั้งกระบวนศึกอย่างแน่นหนา แต่หลังจากซุนเจิ้งมาแล้ว ผู้คนเบื้องล่างทุกคนล้วนฟังเขา กินร่วมกัน ดื่มร่วมกันและสนุกสนานกันและวินัยกองทัพหละหลวม”
เมื่อสือเซินสรุปความเห็นเกี่ยวกับกองทัพ เขารู้สึกอาย ในฐานะผู้บัญชาการ เขาล้มเหลวในการควบคุมกองทัพ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่ายินดีเลย
เขายังคงพูดต่อ “ซุนเจิ้งเองไม่มีฝีมือเท่าใดนัก เทียบกับซุนเจี๋ยญาติของเขาแล้วเขายังอ่อนหัดและเป็นคนที่ไร้ประโยชน์อยู่มาก แต่ซุนเจี๋ยเป็นขุนพลทหารที่พิเศษและมีความสามารถมาก”
“ขุนพลทหารที่พิเศษ?” ถังเทียนชะงักค้าง คำพูดที่คุ้นเคยอย่างนี้ทำให้เขาตกใจ
ปิงก็ตกใจเช่นกัน แต่ในไม่ช้า เขาก็กลับมาตั้งสติได้นี่เป็นสถานที่ซึ่งผู้บัญชาการจากมา
“ใช่แล้ว ความสามารถพิเศษของเขาก็คือ ตาข่ายดาบ” สีหน้าของสือเซินเคร่งเครียด
“ตาข่ายดาบ? มันอะไร?” ปิงถาม
“ข้าไม่ทราบ” สือเซินส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาเคยใช้มาก่อนครั้ง มีบันทึกไว้ว่าเขาสังหารคนไป 700 คน ด้วยกำลังพล120 นาย”
“ผู้อาวุโสสือท่านเป็นขุนพลทหารพิเศษคนหนึ่งหรือเปล่า?” ถังเทียนถามสือเซินอย่างสงสัย
ตาของสือเซินฉายประกายเจิดจ้าทันที เขายิ้มจนเห็นฟันเหลืองอ๋อย “พลังสั่งการของข้าอยู่ 500 คน ยศทหารของข้าเป็นระดับร้อยโทแต่ก็ยังถูกคนประเมินไว้ต่ำอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามนอกจากพี่น้องของข้าเหล่านี้แล้ว ไม่มีใครอื่นรู้ ข้าคือขุนพลทหารพิเศษคนหนึ่ง ความสามารถพิเศษของข้าก็คือ พาหนะภูตพราย”
“พาหนะภูตพราย?” ถังเทียนสับสน เขาสามารถเดาได้ตรงๆ ว่าตาข่ายดาบคืออะไร จากชื่อได้ แต่พาหนะภูตพรายมันดูเป็นนามธรรมเกินไป
“มีเพียงกลุ่มของข้ากองร้อยปีศาจทวีปโยวโจวจึงจะใช้มันได้ แต่พลังของมันแข็งแกร่งมาก” สือเซินพูดด้วยความภูมิใจ
“พลังสั่งการของเจ้าสามารถเพิ่มได้อีกไหม?” ปิงถาม สำหรับผู้บัญชาการทหารพลังสั่งการสำคัญมากกว่าความกล้าหาญส่วนบุคคล ความสามารถสั่งการกำลังพล 500 ยังต่ำเกินไปบ้างและสามารถนำได้แค่หน่วยตระเวนเท่านั้น และไม่สามารถควบคุมกองทัพได้เต็มที่ ไม่ว่ากองทัพจะเล็กยังไงก็ตาม ปกติพวกเขาจะมีกำลังพลพันนาย ไม่สามารถเพิ่มพลังสั่งการก็หมายความว่าศักยภาพของขุนพลทหารก็ไม่มาก
“ข้าเพิ่มไม่ได้” สือเซินพูดอย่างเฉยเมย “อาจเป็นเพราะวิธีฝึกฝนของเราแต่กองพลปีศาจไม่เคยสร้างขุนพลที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้อีกเลย”
ปิงพยักหน้า เขาไม่พูดความคิดที่ค้างคาใจของผู้บัญชาการของเขา กองทัพที่ไม่เคยมีผู้บัญชาการทั้งหมดของพวกเขาเป็นคนธรรมดา และการก่อตั้งกองทัพดาวกางเขนใต้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของผู้บัญชาการ
นี่คือภูมิลำเนาของผู้บัญชาการ เมื่อเห็นสิ่งที่คุ้นเคยหลายอย่างทำให้ปิงคิดถึงอดีตโดยไม่รู้ตัว
ผู้บัญชาการท่านอยู่ที่ใดกันแน่?
“ทวีปใดมีวิชาจักรกลเจริญก้าวหน้ามากที่สุด?” ปิงถามขึ้นทันที
“วิชาจักรกล?” สือเซินสะดุ้ง “นั่นต้องเป็นทวีปทองในภูมิภาคตะวันออก
“ทวีปทอง ภูมิภาคตะวันออก?” ปิงพึมพำ
“ใช่แล้วทวีปทองแข็งแกร่งที่ในภูมิภาคตะวันออก วิชาจักรกลของพวกเขาไร้เทียมทานแม้ว่าประวัติศาสตร์ของพวกเขาจะสืบย้อนไปถึงสามหมื่นปี” สือเซินชำเลืองมองพยัคฆ์ฟ้าจักรกลมหึมาซึ่งให้ความรู้สึกที่ประทับใจกับเขา
“เฮ้ เฮ้ เฮ้, ลุงปิงรีบบอกแผนรบให้เราทราบเร็วๆ” ถังเทียนขัดคอคนทั้งสอง
ปิงค่อยตั้งสมาธิใหม่ ดวงตาเขากระจ่าง “แผนของเราง่ายมาก เล่าสือพวกเจ้าจะไปตามหมู่บ้านทุกแห่งสร้างความปั่นป่วน และดีที่สุดพากลุ่มพวกเขากลับมาที่ปราสาทดำ เราจะรบกับพวกเขาที่นี่”
“แผนนี้ไม่เลวเลย” สือเซินพยักหน้า มีความแตกต่างมากมายในเรื่องจำนวนคนระหว่างทั้งสองฝ่าย ถ้าพวกเขาไม่ได้ยืมพลังป้องกันของปราสาทดำ ก็คงยากจะชนะได้
ถังเทียนชูแขนทั้งสองข้าและตะโกน“เล่าสือชาวฟ้า ลุย ลุย ลุย!”
สีหน้าของสือเซินชะงักค้างทันที เขาหันหน้ามามองท่านเหมิ่งหนานอย่างว่างเปล่า เหมือนกับว่ากำลังมองเด็กปัญญาอ่อน
ปิงปลอบสือเซิน “อีกหน่อยพวกเจ้าจะชินไปเอง”
เมื่อเห็นว่าสือเซินพาผู้ใต้บังคับบัญลา45 คนชาวกองพลปีศาจออกไปอย่างเงียบงัน ถังเทียนพูดทันที “ลุงปิง ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง”
“ความคิดอะไร?” ปิงประหลาดใจเล็กน้อยและหันหน้ามา
“หลิงซิ่วข้าและที่เหลือจะไปเมืองเป่ากวงเพื่อช่วยทุกคน” ถังเทียนอธิบาย “งานของเล่าสือต้องใช้เวลาบ้าง เราสามารถทำอะไรได้ก่อนนั้น ถ้าเราช้าเกินไปสือหย่งและชาวเมืองที่เหลืออาจถูกส่งออกไปและนั่นจะเป็นปัญหาอย่างมาก”
ปิงไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเสนอของถังเทียนซึ่งเป็นความคิดที่ทื่อ เขาสังเกตว่าหวังจุนเซียนมีท่าทางกังวลอยู่ก่อนแล้ว สือหย่งถูกส่งไปสอดแนมและก็หมายความว่าสถานการณ์ที่เมืองเป่ากวงกำลังย่ำแย่
ตาของหวังจุนเซียนแดง เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์ เขาสูดหายใจลึกและปลอบโยนตนเองให้สงบและคำนับถังเทียน “จุนเซียนยินดีเป็นผู้นำทาง ข้าไม่มีความสามารถมากและอาจจะช่วยคุณชายได้ไม่มาก แต่ถ้าคุณชายต้องการให้ข้าทำอะไร ข้าจะทำให้โดยไม่ลังเลหรือขมวดคิ้วเลย”
ถังเทียนมีสายตาที่จริงใจและสงบ ปิงตระหนักว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เขาได้แต่พูด “งั้นเจ้าต้องลงมือให้เร็ว”
“รับประกันได้ลุง!” ถังเทียนโบกมือและมุ่งหน้าออกไปโดยไม่หันศีรษะกลับมาและกล่าว “เราจะรีบกลับมาโดยเร็ว”
แนวของผู้คนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ปิงมองดูเงาหลังถังห้าว ในสายตาของนายทหารพฤติกรรมของถังเทียนเป็นเรื่องโง่ เป้าหมายคุณค่าต่ำเช่นนั้น เขาต้องใช้ความเสี่ยงมากมันขัดกับกลยุทธสงครามอย่างสิ้นเชิง
เพราะพลังป้องกันของปราสาทดำที่ทำให้ปิงมั่นใจ ชาวบ้านกำลังมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการฝึกประจำวันของเขาพวกเขาอาจไม่สามารถบุกตะลุยได้ แต่ถ้ารักษาที่มั่นและป้องกันพวกเขามีความสามารถทำได้
ใบหน้าไพ่ของปิงอดยิ้มไม่ได้ ใครขอให้เขาอยู่กับเจ้าเด็กห้าวเล่า
เรื่องงี่เง่ากี่เรื่องแล้วที่เขาก่อนขึ้น? คนงี่เง่าก็ยังงี่เง่าอยู่เรื่อย
***********************
ซุนเจี๋ยไม่ได้นำกำลังพลมามากมายคนที่อยู่กับเขามีเพียงทหารฝีมือดี 500 คน เขายืนอยู่ในที่สูงมองดูทหารโหดร้ายที่กำลังไล่จับชาวบ้านสีหน้าของเขามองดูสงบ “อาเจิ้ง ต่อไปเจ้าอย่าเป็นขุนพลทหารเลยจะดีกว่าไปเล่นการเมืองเถอะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปทำธุรกิจซะ ข้าจะได้ไม่กังวลเกินไป”
ซุนเจี๋ยไม่ได้สวมเกราะแต่อย่างใดใส่แต่เพียงชุดสบายๆ เขามีรูปร่างสูงลักษณะหล่อเหลาทำให้เขาดูเหมือนบัณฑิตที่คงแก่เรียนไม่มีรังสีฆ่าฟันแม้แต่เล็กน้อย เขายังอายุเยาว์ แต่สามารถควบคุมกองทัพด้วยตนเองได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ก็จะเป็นจุดเด่นสะดุดตาทุกครั้ง
“เจ้าคิดว่าข้าต้องการหรือ?” เทียบกับพี่น้องคนอื่นของเขาไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือลักษณะ ซุนเจิ้งยังขาดอยู่มาก เขาเหยียดมือ “อย่างไรก็ตาม ข้าก็อยู่ในนี้มาหนึ่งปีแล้ว และเมื่อถึงเวลาข้าจะมีคุณสมบัติพอเมื่อได้เวลาลงไปหาดาวอื่นเพื่อหางานอื่นข้าจะได้มีเวลาสำหรับดื่มกิน”
“ยังดีที่เจ้ามีแผนอยู่แล้ว” ซุนเจี๋ยหัวเราะ
“อาเจี๋ยยังดีที่เจ้ามาที่นี่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ป้องกันไม่ให้ข้าไปหาสือเซิน เมื่อเรากลับไป เราจะแทนที่ตำแหน่งของเขาได้โดยตรง” ซุนเจิ้งกล่าว
ซุนเจี๋ยหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่านโกรธจริงๆ คราวนี้ข้าได้ยินว่าในห้องหนังสือ เขาปาแก้วชาใส่หน้าท่านจื่อชิง เมื่อท่านจื่อชิงเดินออกมา ทุกคนตกตะลึง ถ้าภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ เราจะตกเป็นเป้าหมายแน่นอน ข้าเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าดังนั้นข้าจึงมาดู”
“นั่นคือเหตุผลที่อาเจี๋ยเข้าใจมากที่สุด!” ซุนเจิ้งยิ้มอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นมีหน่วยสังเกตการณ์รายงาน “นายท่านทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ มีคนห้าคนเข้ามาใกล้เรา!”
ซุนเจี๋ยยิ้มและพูดกับซุนเจิ้ง “ข้าคาดว่าคนที่ได้ทราบข่าวและกำลังคิดหนีไปเถอะส่งหน่วยย่อยไปไล่จับพวกมันมา”
“ขอรับ” ทหารผู้ช่วยตอบ
ในเวลารวดเร็วยอดฝีมือดี 10 คนก็แยกย้ายจากฐานใหญ่และบินตรงไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้
“สองสามคนที่หลบหนีนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆถึงได้มาชนกับกองทัพของเจ้า ชีวิตมันโหดร้ายจริงๆ” ซุนเจิ้งหัวเราะ “น่าเสียดายที่มีจำนวนน้อย ถ้าพวกมันมาสักพันคนอย่างนั้นภารกิจของข้าคงจะสบายมากขึ้น”
ซุนเจี๋ยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ถ้าได้เวลาและเรามีจำนวนมากพอ ข้าจะช่วยเจ้าโค่นทวีปเซี่ยโจว”
คำพูดที่เขากล่าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ปัง!
เสียงระเบิดรุนแรงดังมาจากตำแหน่งตะวันตกเฉียงใต้ เปลวไฟปรากฏสะท้อนอยู่ในสายตาทำให้ม่านตาของเขาหดแคบ