ตอนที่ 17-27 ปูนบำเหน็จ
ที่เหนือหุบเขาอ่างโลหิต ริมขอบหน้าผา มีคนกลุ่มใหญ่ยืนรออยู่ตรงนี้โดยมีผู้นำคือประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโส
“พวกเขามาทำอะไรกันที่นี่?” ลินลี่ย์ค่อนข้างแปลกใจ
ลินลี่ย์บินเข้าไปหาทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำความเคารพ ประมุขกัซลีสันหัวเราะพลางกล่าว “ยินดีต้อนรับกลับ, ลินลี่ย์!” ข้างๆ ประมุขเผ่าก็คือประธานผู้อาวุโสอยู่ในชุดสีดำยาวและสวมหน้ากากเงิน
“ทำได้ดีจริงๆ ลินลี่ย์” ประธานผู้อาวุโสพูดขึ้นบ้าง
“ลินลี่ย์! น่าประทับใจจริงๆ เจ้าฆ่าอสูรเจ็ดดาวได้ถึงสองคน เลื่อมใส เลื่อมใสจริงๆ!” ผู้อาวุโสการ์วีย์ที่อยู่ใกล้ๆ หัวเราะลั่นเช่นกัน
“ปฏิบัติการครั้งแรกของผู้อาวุโสลินลี่ย์น่าประทับใจมากจริงๆ” ผู้อาวุโสผมทองฟอร์ลันหัวเราะร่าเริงเช่นกัน
เมื่อถูกประมุขเผ่าและกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้สรรเสริญชื่นชม ลินลี่ย์ค่อนข้างตะลึง “ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของข้าและของสมาชิกในหน่วยที่ทิ้งไว้ในหุบเขาอ่างโลหิตยังไม่ได้ไปแจ้งประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโสในเรื่องนี้เลย”
เพราะการเดินทางกลับกินเวลาไม่นาน ลินลี่ย์จึงตั้งใจจะรายงานเมื่อกลับไปถึง
ใครจะคิดกันเล่าว่าประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโสจะรู้เรื่องนี้แล้ว?
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ...ข่าวที่น่ายินดีนี้แพร่กระจายไปในหมู่ชาวเผ่าเพราะหน่วยการข่าวรายงานกลับมาที่ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็วมาก
“พอได้แล้ว ทุกคน อย่ามัวยืนอยู่ตรงนี้เลย มาเถิด ข้าสั่งให้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองไว้เรียบร้อยแล้ว” กัซลีสันหัวเราะลั่น จากนั้นมองดูลินลี่ย์ “ลินลี่ย์, มาเถอะ มาพร้อมกับข้า”
ลินลี่ย์บินเข้าไปหาทันที
ประมุขกัซลีสันตบไหล่ลินลี่ย์ ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม “ทำได้ดีมาก”
“ก็แค่โชคดี” ลินลี่ย์พูดทันที ถ้าเขาสู้กับพวกนั้นโดยตรง อสูรเจ็ดดาวทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งมากกว่าเขาแน่นอน ดังนั้นเขาประสบความสำเร็จได้เพราะเขาฆ่าอสูรเจ็ดดาวคนหนึ่งได้ทันที และจากนั้นผนึกกำลังกันฆ่าอสูรเจ็ดดาวอีกคนหนึ่ง
“ทำไมต้องถ่อมตัวนักเล่า?” กัซลีสันหัวเราะ
“ครั้งนี้ข้ากังวลห่วงใยเขามากจริงๆ ข้าไม่คาดเลยว่าภารกิจจะสำเร็จได้บริบูรณ์มากกว่าที่ข้าคาดหวังไว้” ประธานผู้อาวุโสกล่าว
ในทันใดนั้นกัซลีสัน ประธานผู้อาวุโสและลินลี่ย์บินไปด้วยกันอยู่หน้ากลุ่มผู้อาวุโส หน่วยสิบสามที่รอดชีวิตก็เหมือนกันบินเข้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขาสกายไรท์ หลังจากใช้เวลานานกลุ่มของลินลี่ย์ก็มาถึงตำหนักแก้วสีเทางดงาม
ผู้รับใช้ในตระกูลค่อนข้างมากกำลังลำเลียงถาดจานเป็นแถวเข้ามาในตำหนัก
ตำหนักมีความกว้างขวาง และสูงหลายสิบเมตร ภายในตำหนักมีเสาศิลาเก้าเสาที่ค้ำเพดาน ประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโสตรงไปที่ด้านหน้าตำหนัก จากนั้นนั่งลงพร้อมกัน ในเผ่าสถานะของประมุขเผ่าเพียงสูงกว่าประธานผู้อาวุโสเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ในเผ่าตระกูล ประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโสนับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นสูงสุด ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นเป็นตำแหน่งรองจากพวกเขา
“พวกเจ้าทุกคน! นั่งประจำที่ได้” ประมุขกัซลีสันโบกมือพลางหัวเราะ
“ลินลี่ย์, เจ้ามานั่งที่นั่งเกียรติยศทางด้านซ้าย” กัซลีสันชี้ที่นั่ง จากนั้นหัวเราะ “ที่สำคัญคือ งานเลี้ยงฉลองในวันนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้า”
“ข้า?” ลินลี่ย์ตะลึง
มีผู้อาวุโสอีกมากที่จะทรงพลังมากกว่าเขา และเกียรติประวัติของเขาก็ยังน้อยมาก
“ลินลี่ย์, ในเมื่อท่านประมุขบอกให้เจ้านั่ง อย่างนั้นเจ้าก็นั่งเถอะ” บุรุษหนุ่มผมขาวหน้าตาเย็นชาเดินเข้ามาหาและมีรอยยิ้มที่ยากปรากฏ
“ผู้อาวุโสบลู” ลินลี่ย์พยักหน้าจากนั้นนั่งลง
ขณะที่ผู้อาวุโสบลูนั่งลงด้านข้างลินลี่ย์ ในตำแหน่งที่นั่งเกียรติยศด้านซ้าย ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเมื่อเขานั่งยังจุดนี้ ที่สำคัญผู้อาวุโสบลูนี้เป็นผู้อาวุโสอัจฉริยะของเผ่า
ตามตำนานกล่าวว่าพลังของเขาแค่ด้อยกว่าประมุขเผ่าและประธานผู้อาวุโส และเหนือกว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ มาก เป็นหนึ่งในสามของไม้ตายประจำเผ่า
นอกจากนี้เมื่อบรรพบุรุษของพวกเขามหาเทพมังกรฟ้ายังมีชีวิตอยู่ เขารักและเอ็นดูบลูและใช้ความพยายามมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายของบลู ทำให้ร่างของบลูทรงพลังมาก
“ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราสู้รบกับแปดตระกูลใหญ่มาเป็นเวลาหมื่นปีแล้ว แต่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่หาได้ยากมาก” กัซลีสันนั่งอยู่บนที่นั่งด้านหน้าถอนหายใจ กล่าวโดยปกติถ้าฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถชนะได้ พวกเขาจะหนีทันที
การฆ่าอสูรเจ็ดดาวผู้พยายามหนีเป็นเรื่องยากมาก การฆ่าอสูรเจ็ดดาวได้สองคนในปฏิบัติการเดียวโดยที่ฝ่ายของตนสูญเสียน้อยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมาก
“ยากนักที่จะมีชัยชนะที่สง่างาม ถ้าเราสามารถฆ่าอสูรเจ็ดดาวสองคนได้ทุกครั้ง ไม่ว่าฝ่ายแปดตระกูลใหญ่จะมียอดฝีมือเท่าใด พวกเขาจะไม่สามารถต้านเราได้” ทันใดนั้นผู้อาวุโสบางส่วนเริ่มหัวเราะ
ทั่วทั้งตำหนักเต็มไปด้วยบรรยากาศร่าเริงเคล้าเสียงหัวเราะ
“ลินลี่ย์, เป็นอะไรไป?” บลูที่นั่งอยู่ข้างลินลี่ย์ตระหนักว่าลินลี่ย์ไม่ได้หัวเราะเลย
“ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่คิดถึงเรื่องผู้อาวุโสอาร์โฮสและผู้อาวุโสอื่นหลายคนที่เสียสละตน” ลินลี่ยถอนหายใจเบาๆ
ทันใดนั้น้ผู้อาวุโสหลายคนในห้องโถงเงียบทันที
หมื่นกว่าปีที่ผ่านมาการต่อสู้ไม่เคยหยุด เมื่อพวกเขาฆ่าศัตรูระดับอสูรเจ็ดดาว ยอดฝีมือฝ่ายตนเองก็ลดลงไปเรื่อยๆ อสูรหกดาวเสียชีวิตกันเป็นกลุ่มเทพทั้งหมด รากฐานอำนาจซึ่งตระกูลสร้างขึ้นมาหลายร้อยล้านปีก็ถูกกัดกร่อนทำลายความมั่นคงไปเรื่อย
“นี่พวกเจ้าคิดเรื่องอะไรกัน!” ประธานผู้อาวุโสตวาด
ทุกคนอดมองประธานผู้อาวุโสไม่ได้
ประธานผู้อาวุโสพูดอย่างเย็นชา “แม้ว่าทั่วทั้งตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราจะต้องตายไป เราจะไม่ยอมให้แปดตระกูลใหญ่บ่อนทำลายชื่อเสียงของตระกูลเรา! เมื่อบรรพบุรุษของเรายังอยู่ แปดตระกูลใหญ่เหล่านั้นกล้าต่อต้านเราหรือ? แต่ตอนนี้บรรพบุรุษของเราสิ้นแล้ว พวกเขาจะมาเพื่อล้างแค้นหรือ? ฮึ, เป็นไปได้ยังไงที่เจ้าพวกตัวตลกเหล่านี้จะทำให้ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ยอมรับ?”
“เพื่อประโยชน์ของตระกูล เราตายไปจะเป็นอะไรไป?” ผู้อาวุโสบลูพูดด้วยความภูมิใจเช่นกัน
“เพื่อประโยชน์เผ่าตระกูล!
ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงความหยิ่งภูมิใจของผู้อาวุโสหลายคนเช่นกัน พวกเขายอมตายดีกว่ายอมรับ
เหมือนอย่างคำพูดว่ายอมเป็นหยกแหลกลาญดีกว่าเป็นกระเบื้องสมบูรณ์
“เพื่อเผ่าตระกูล?” ลินลี่ย์ทบทวนในใจเงียบๆ เมื่อเขายังเยาว์วัย ลินลี่ย์ต้องการเอาดาบศึกมรดกบรรพบุรุษตระกูลบาลุคกลับคืนมา ลินลี่ย์มีความรู้สึกโหยหาถึงตระกูลบาลุค
จนถึงวันนี้ แม้ว่าเขาเข้าร่วมกับเผ่ามังกรฟ้าและได้พบชาวเผ่าตระกูลนับไม่ถ้วนที่มีสายเลือดมังกรเหมือนกับเขา ดังนั้นจึงมีความรู้สึกโหยหา
...ลินลี่ย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่านั่นคือความหยิ่งและภาคภูมิใจ
ถ้าลินลี่ย์ได้ควบคุมเผ่า บางทีเขาคงจะให้คนในเผ่าของเขาทั้งหมดซ่อนตัวเองอยู่ในเทือกเขาสกายไรท์และรอวันที่เมื่อพวกเขามีโอกาสล้างแค้นสำเร็จ 90% ก่อนจึงจะออกไปต่อสู้กับศัตรู
“บางที...เป็นเพราะข้าไม่เคยมีประสบการณ์กับช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์” ลินลี่ย์รำพึงกับตัวเอง
ความหยิ่งทะนงตนของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์มาจากความแข็งแกร่งความรุ่งเรืองที่มีมานานนับปีไม่ถ้วนทั่ว ความรุ่งโรจน์และชื่อเสียงของตระกูลฝังอยู่ในใจของผู้อาวุโสทุกคนมานานแล้ว
“พอได้แล้ว” กัซลีสันหัวเราะลั่น “ดูสีหน้าของพวกเจ้าสิ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลอง ทำไมต้องพูดคุยเรื่องแบบนั้นด้วย? มาเถอะมาดื่มฉลองกัน หัวข้อนั้นพักเอาไว้ก่อน วันนี้แค่ดื่มกินกันให้พอใจฉลองชัยชนะของลินลี่ย์!”
“ใช่แล้ว มาดื่มฉลองกันเถอะ!” ผู้อาวุโสทุกคนชูแก้วเหล้าขึ้นขณะมองมาทางลินลี่ย์ ลินลี่ย์อดรู้สึกเลือดลมพลุกพล่านมิได้ เขาชูแก้วเหล้าพร้อมกับสมาชิกหน่วยสิบสามทุกคนซึ่งอยู่ที่ริมตำหนัก ทุกคนชูแก้วพร้อมกัน
“แด่ชัยชนะ!” กัซลีสันประกาศเสียงสดใส
“แด่ชัยชนะ!”
ทุกคนในตำหนักตอบรับ และพวกเขากระดกแก้วเหล้าดื่มจนหมดแก้ว
ในระหว่างงานจัดเลี้ยง ไม่มีใครยกเรื่องน่าหดหู่ขึ้นมาพูด มีเรื่องโหดร้ายรุนแรงมากมายเกินไปเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปี ไม่ได้มีการฉลองดีๆ มานานแล้ว แต่ความสุขแบบนี้ทำให้ลินลี่ย์รู้สึกถึงความเศร้าที่ซ่อนอยู่ลึกในเบื้องหลังตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง
ความหดหู่ของตระกูลเก่าแก่ที่ตกต่ำลง
แต่ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่เผ่าก็ยังมีความภาคภูมิใจของพวกเขา! แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง พวกเขาก็ไม่มีการประนีประนอมเลย! ใครก็ตามที่ต้องการโจมตีตระกูลในช่วงเวลาที่อ่อนแอลงจะต้องจ่ายคุณค่ามหาศาลเช่นกัน!
อารมณ์เลี้ยงเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงก็มาถึงจุดสิ้นสุดและผู้อาวุโสแต่ละคนแยกย้ายกันไป ลินลี่ย์และสมาชิกหน่วยสิบสามเตรียมจะกลับเช่นกัน
“ลินลี่ย์, อยู่ก่อน” เสียงของประมุขเผ่าดังขึ้นจากข้างหน้าตำหนัก
ลินลี่ย์อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่เขาสั่งสมาชิกหน่วยสิบสามทันที “พวกเจ้ากลับไปก่อน”
“ขอรับหัวหน้า” เมลินาและสมาชิกคนอื่นบินกลับกันหมด
ลินลี่ย์กลับไปที่ตำหนัก จานภาชนะต่างๆ ในตำหนักตอนนี้ถูกลำเลียงออกไปโดยสาวใช้ด้วยความเร็วสูง ประมุขกัซลีสันเดินลงมาจากที่นั่งมาที่หน้าตำหนัก จากนั้นสั่ง “ลินลี่ย์, ไปคุยกันข้างในเถอะ”
“ขอรับ, ท่านประมุข”
ลินลี่ย์ตามกัซลีสันเข้าไปในห้องข้างตำหนัก
ที่ห้องด้านข้างมีขนาดไม่ใหญ่มาก หลังจากลินลี่ย์เดินเข้าไป เขาได้ยินเสียงแอ๊ดขณะที่ประตูปิดลงโดยอัตโนมัติ
“นั่งก่อน” หน้าของกัซลีสันมีรอยยิ้ม
ลินลี่ย์นั่งลงจากนั้นถาม “ท่านประมุข ท่านมีอะไรต้องการคุยด้วยหรือ?”
“ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้อาวุโส แต่ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าระหว่างประชุมสภาอาวุโส พวกเขากลับให้เจ้าไปหุบเขาอ่างโลหิตจริงๆ พอเวลาผ่านไป ข้าได้ทราบเรื่องนี้ข้าก็ไม่สามารถสั่งให้เจ้ากลับมาได้” กัซลีสันถอนหายใจ “เจ้ายังเป็นเพียงเทพแท้ ยังไม่สมควรจะให้เจ้าไปหุบเขาอ่างโลหิต”
กัซลีสันให้คุณค่ากับลินลี่ย์ไว้สูงมาก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะความเกี่ยวข้องกับบิดาของเขา มหาเทพมังกรฟ้า ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งเพราะพลังที่ลินลี่ย์ได้แสดงไว้
“เดิมทีข้าคิดว่าน้องสาวของข้าคงไม่มอบหมายงานอะไรให้เจ้า แต่ใครจะคิดกันว่านางกลับมอบหมายให้เจ้าจริงๆ?” กัซลีสันพูดต่อ
“ผู้อาวุโสอื่นต่างก็ต่อสู้ในนามของเผ่าทั้งนั้น จะยกเว้นข้าไว้ได้ยังไง?” ลินลี่ย์กล่าว
ตาของกัซลีสันเป็นประกาย เขาหัวเราะและพยักหน้า “ความจริงน้องสาวข้ากับข้าเข้าใจผิดกัน... ข้าคิดว่าน้องสาวข้าจะไม่ส่งเจ้าออกไปรบ แต่น้องสาวข้าคิดว่า...ข้ามอบพลังมหาเทพให้เจ้าไปแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถป้องกันตนเองได้ นั่นคือเหตุผลที่นางส่งเจ้าไป”
“พลังมหาเทพ?” ลินลี่ย์พูดอย่างงงงวย
“ถูกแล้ว”
กัซลีสันพยักหน้าขณะพูด “กล่าวโดยทั่วไป ทุกคนที่ได้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์เราในไม่ช้าจะได้รับหยดพลังมหาเทพ แต่ต้องมีคำอธิบายสำหรับการให้หยดพลังมหาเทพนี้ เจ้าจะต้องสร้างความดีความชอบสักอย่างหนึ่งเป็นอย่างน้อย เรื่องระหว่างเจ้ากับเอ็มมานูเอลน่ะหรือ นั่นเป็นเพียงปัญหาหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสแล้ว ก็ยังไม่เหมาะที่ข้าจะมอบหยดพลังมหาเทพให้เจ้าได้ในทันที”
“แต่ในครั้งนี้ เจ้านับได้ว่ากระทำความดีความชอบครั้งใหญ่”
แค่เพียงพลิกมือกัซลีดึงเอาหยดน้ำสีฟ้าออกมา ที่บรรจุภายในหยดน้ำสีฟ้าคือพลังที่ทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหว
“วันนี้ข้าขอมอบหยดพลังมหาเทพสายธาตุน้ำให้เจ้า” กัซลีสันกล่าว ขณะที่เขาพูดหยดพลังมหาเทพก็ลอยเข้าหาลินลี่ย์ ลินลี่ย์มองดูหยดพลังมหาเทพที่ลอยมาหาเขาด้วยอาการตกตะลึงสิ้นเชิง
มอบหยดพลังมหาเทพให้เขา?
เขาเองมีอยู่สองหยดแล้ว แต่แน่นอนในเวลาอย่างนี้ลินลี่ย์ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ขอบคุณท่านประมุข” ลินลี่ย์รีบยื่นมือรับหยดพลังมหาเทพไว้
กัซลีสันหัวเราะและพยักหน้า “ตอนนี้เจ้ามีหยดพลังมหาเทพแล้ว ต่อให้เจ้าวิ่งไปเจอสถานการณ์อันตรายบางอย่าง เจ้าจะรอดชีวิตกลับมาได้ แต่ลินลี่ย์เว้นแต่สถานการณ์วิกฤติจริงๆ เจ้าไม่อาจสูญเสียหยดพลังมหาเทพนี้ไปเปล่าๆ ถ้าเจ้าถูกบังคับให้ต้องใช้ออกไป เจ้าต้องกำจัดศัตรูให้ได้”
ลินลี่ย์ก้มหน้ามองหยดพลังมหาเทพ
นี่คือหยดพลังมหาเทพ แต่มันสามารถใช้ช่วยชีวิตเขาได้หรือ? สามารถใช้ป้องกันพลังโจมตีวิญญาณของคนอื่นได้ไหม? ลินลี่ย์จำได้ชัดถึงฉากที่มอสลีย์ใช้ทักษะเทพธรรมชาติโจมตี
“ท่านประมุข, พลังมหาเทพสามารถใช้ป้องกันพลังโจมตีวิญญาณได้หรือไม่?” ลินลี่ย์รีบถาม
เท่าที่ลินลี่ย์รู้ พลังมหาเทพน่าจะเป็นพลังที่มหาเทพมอบให้เทพคนหนึ่ง ไม่น่าจะเกี่ยวกับวิญญาณมากนัก
“แน่นอนว่าใช้ได้” กัซลีสันหัวเราะ
“ทำอย่างไร?” ลินลี่ย์พูดด้วยความสงสัย “ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พลังหยาบธรรมดาจะป้องกันพลังโจมตีวิญญาณได้ใช่ไหม?”
กัซลีสันหัวเราะหนักกว่าเดิม “ลินลี่ย์ เจ้ากำลังเข้าใจว่าพลังมหาเทพเป็นแค่ระดับสูงของพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่หรือ?” ลินลี่ย์พูดด้วยความสงสัย
“ผิดแล้ว” กัซลีสันส่ายศีรษะ “พลังมหาเทพคือพลังเฉพาะแบบ ตัวอย่างเช่นสามารถเสริมพลังร่างกายให้เราได้”
กัซลีสันสูดหายใจลึกจากนั้นพูดจริงจัง “ลินลี่ย์ ปีนั้นบิดาข้าอธิบายให้ข้าฟังว่าหลังจากเขากลายเป็นมหาเทพ... ร่างของเขาบรรจุไปด้วยพลังชนิดเดียวเท่านั้น พลังมหาเทพ!”
“หมายความว่ายังไง?” ลินลี่ย์พูดด้วยความสงสัย “แน่นอนอยู่แล้ว มหาเทพก็ต้องมีพลังมหาเทพ”
“สิ่งที่ข้าหมายความก็คือ..มหาเทพไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณ!” กัซลีสันกล่าว
“อะไรนะ?” ลินลี่ย์ตะลึง
วิญญาณเป็นรากฐานของคน ทุกคนต้องมีวิญญาณจึงจะสร้างพลังวิญญาณได้
“หรือจะพูดให้ถูกยิ่งขึ้นก็คือ พลังมหาเทพก็เหมือนกับพลังวิญญาณอยู่แล้ว!” กัซลีสันหัวเราะ “ดังนั้นพลังมหาเทพไม่เพียงแต่เป็นแหล่งพลังหยาบเท่านั้น แต่สามารถใช้เป็นแหล่งพลังวิญญาณในตัวได้ด้วย
“หา?” ลินลี่ย์ตกใจ
“เจ้าสามารถพึ่งพาการโจมตีวัตถุได้ แต่เจ้าก็สามารถใช้พลังโจมตีวิญญาณได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะพึ่งพาการป้องกันพลังโจมตีวิญญาณได้” กัซลีสันกล่าว